“อะไรกัน เ้ากับข้าจะมองกันเช่นนี้ตลอดทั้งคืนอย่างนั้นหรือ?” เฉินอ๋องเอ่ยหยอกล้อ
หรงหว่านซีเบี่ยงสายตากลับมาอย่างสุขุม ท่าทีแลดูไม่ขัดเขินหรือลุกลี้ลุกลน ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏริ้วแดง และนี่คือสิ่งนางสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเอง
“สีชาดบนแก้มเ้าช่างงามนัก...” เฉินอ๋องเอ่ยหยอกเย้า
หรงหว่านซีรู้ว่าเขาจงใจแกล้งนาง ทว่านางกลับไม่ขุ่นเคือง หลังหยัดกายลุกขึ้นจึงถอนสายบัวทำความเคารพ “เตี้ยนเซี่ย เพราะต้องทำตามพิธีมากมาย หม่อมฉันค่อนข้างเหนื่อยล้าแล้วเพคะ จะดีหรือไม่หากเตี้ยนเซี่ยเสด็จไปบรรทมที่ใดสักแห่ง?”
ความหมายของคำว่าที่ใดสักแห่งของนางก็คือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่
ทว่าเฉินอ๋องกลับไม่ใส่ใจคำว่าที่ใดสักแห่งของนาง “เปิ่นหวางไม่ไปไหนทั้งนั้น คืนนี้คือคืนเข้าหอของข้ากับเ้า เปิ่นหวางจะไปที่อื่นได้อย่างไร?”
ขณะกล่าว เฉินอ๋องจับมือนางเพื่อประคองนางให้ลุกขึ้น จากนั้นพานางเดินไปยังโถง “ยังไม่ทันดื่มกระทั่งสุรามงคลเลยด้วยซ้ำ”
หรงหว่านซีมองจอกสุราสีทองสองใบและกาสุราสลักลายเป็ดคู่งามประณีตบนโต๊ะ...
ดื่มสุรามงคลสองจอกพร้อมกัน นับแต่นี้ต่อไปเคียงคู่ไม่แยกจากจนผมขาว...
หรงหว่านซีไม่อยากดื่มสุรามงคลในคืนเข้าหอกับเขา แม้ว่าวันนี้นางจะทำทุกอย่างตามประเพณีอย่างครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แต่สิ่งสุดท้ายนี้นางกลับไม่อยากทำ เพราะนางไม่อยากทำให้การแต่งงานครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ตามประเพณี
นางปฏิบัติตามประเพณีสำคัญทุกอย่าง แต่ประเพณีเล็กน้อยเช่นนี้ โดยเฉพาะยามอยู่กันเพียงสองคน หากปฏิเสธได้นางก็จะปฏิเสธ
“เตี้ยนเซี่ย” หรงหว่านซีถอนสายบัว “แท้จริงแล้วเตี้ยนเซี่ยก็ไม่ได้อยากดื่มสุรามงคลจอกนี้กับหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ? ที่นี่มีเพียงเตี้ยนเซี่ยกับหม่อมฉันแค่สองคน พวกเราไม่ต้องทำตามประเพณีทั้งหมดก็ได้เพคะ”
เฉินอ๋องหัวเราะแล้วเอ่ย “แค่สุราจอกเดียวเท่านั้น เปิ่นหวางกระหายพอดี เหตุใดถึงจะดื่มไม่ได้เล่า? เ้าไม่อยากดื่มกับเปิ่นหวางรึ?”
หรงหว่านซีก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ไม่ต้องใส่ใจมากนัก แค่คล้องแขนกันเท่านั้น ถือเสียว่าทำเพื่อความสนุก”
“มาเร็ว” เฉินอ๋องกวักมือเรียกนาง
หรงหว่านซีเข้าใจคำว่า “แค่สุราจอกเดียวเท่านั้น” ของเขาอย่างแจ่มแจ้ง
ใช่แล้ว แค่รู้สึกกระหายพอดี สุราเพียงจอกเดียวเท่านั้น ทำไมจะดื่มไม่ได้?
เฉินอ๋องกล่าวเช่นนี้เพราะกำลังจะเตือนนางว่าอย่างได้จริงจังมากนัก
อาจเป็เพราะนางถูกบรรยากาศของการเข้าหอทำพิษจึงได้คิดเป็อื่น กระทั่งคำนับฟ้าดินก็ยังทำมาแล้ว ยังจะต้องใส่ใจกับสุราจอกเดียวอีกหรือ? หากยังพยายามหลบหลีกต่อไปคงจะไม่เหมาะสมนัก
หรงหว่านซีเดินเข้ามาและรับจอกสุราที่เฉินอ๋องส่งให้
เฉินอ๋องคล้องแขนของตนกับแขนของหรงหว่านซี แววตาฉายแววขบขันขณะมองนาง...
หรงหว่านซีไม่ขัดเขินและดื่มรวดเดียวจนหมดจอก
หลังวางจอกสุราลงบนโต๊ะ เฉินอ๋องจึงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เป็อย่างไรบ้าง? สนุกอย่างที่เปิ่นหวางบอกหรือไม่? การมองอีกฝ่ายจากมุมนี้ทำให้ดูน่าสนใจไม่น้อย”
หรงหว่านซียกยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
“เอาล่ะ เปิ่นหวางก็เหนื่อยแล้ว นอนกันเถิด...” เฉินอ๋องกล่าวพลางเดินเข้าไปในห้องบรรทม
มิหนำซ้ำยังยืนอยู่หน้าราวแขวนอาภรณ์ จากนั้นถอดอาภรณ์ตัวนอกวางลงบนราวแขวนทำจากไม้อย่างสบายอกสบายใจ
ทว่าหรงหว่านซีกลับยืนอยู่ในห้องโถงโดยไม่ยอมขยับเขยื้อน
ไม่นานนัก เฉินอ๋องมัวแต่ถอดอาภรณ์ของตน ยามนี้จึงเหลือเพียงปราการชั้นสุดท้ายทำจากผ้าไหมเสียแล้ว
หรงหว่านซีเอาแต่ก้มหน้าไม่มองเขา
“เ้ามัวยืนนิ่งทำอะไรเล่า? มีเื่อะไรที่ยังทำไม่เสร็จอีกงั้นรึ?” เฉินอ๋องหันหลังกลับมา
ขณะเอ่ยได้ะโขึ้นเตียงโดยไม่รอให้นางตอบคำถาม เขาจัดการดึงผ้าห่มมาห่มและนอนลงกลางเตียง ตามด้วยเอ่ยถามนางว่า “เ้าจะนอนฝั่งข้างในหรือข้างนอก? หากเ้าไม่เลือกเปิ่นหวางจะนอนฝั่งข้างในแล้วนะ เปิ่นหวางชินกับการนอนข้างใน”
หรงหว่านซีลังเลครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ก็ได้เพคะ หม่อมฉันนอนฝั่งข้างนอกก็ได้เพคะ”
“เ้าทำธุระของเ้าไปเถิด...” เฉินอ๋องขยับเขาไปนอนข้างใน เอาแขนออกมานอกผ้าห่มและโบกมือไปทางนาง “ข้าจะนอนก่อนแล้ว เ้าอย่าอยู่ดึกมาก ข้าไม่ชอบให้มีแสงไฟเวลานอน...”
หรงหว่านซีถอดปิ่นหยกประดับไข่มุกบนศีรษะ ถอดตุ้มหูและเครื่องประดับบนชุดแต่งงาน ครั้นเหลือเพียงชุดแต่งงานไร้เครื่องประดับ นางจึงดับแสงเทียนสีแดง ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียงทั้งนี้ ถือเสียว่าเป็การสวมอาภรณ์นอน
แท้จริงแล้วเทียนหงส์คู่ัควรจะจุดไว้ตลอดทั้งคืน แต่เฉินอ๋องบอกว่าไม่ชอบให้มีแสงไฟไม่ใช่หรือ? หากดับก็คงจะดีกว่า
เฉินอ๋องไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่พลิกกายกลับมาและนอนเท้าแขนข้างหนึ่งมองนาง “จะดีที่สุดหากเ้าถอดชุดแต่งงานนี้ออก ชุดแต่งงานนี้มีตะเข็บผ้ามากเกินไป หากเปิ่นหวางนอนพลิกตัวโดยไม่ทันระวัง เกิดตะเข็บผ้าถูกผิวเ้าขึ้นมาจะไม่สบายตัวเอาได้”
“เตี้ยนเซี่ยก็ไม่ต้องพลิกกายเพคะ การนอนเช่นนี้จะทำให้หลับสนิทมากขึ้น” หรงหว่านซีเอ่ย
“ถ้าหลับไปแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองทำอะไรลงไป?” คล้ายเฉินอ๋องกำลังยกยิ้มขบขันยิ่งกว่าเดิม
ทว่าหรงหว่านซีกลับไม่เป็กังวลสักนิด “เตี้ยนเซี่ยเป็ผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่มีทางทำอะไรหม่อมฉันแน่นอนเพคะ”
“อ้อ? เ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เชียว หากข้าไม่ทำอะไรสักหน่อย คงจะสมดังใจเ้าเกินไปกระมัง?” เฉินอ๋องเอ่ย
น้ำเสียงเช่นนี้ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกคล้ายกำลังถูกจาบจ้วง
ทว่าหรงหว่านซีกลับหัวเราะและไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
“เ้าหัวเราะอะไร?” เฉินอ๋องยังคงนอนเท้าแขนมองนาง
เพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตากับเฉินอ๋อง หรงหว่านซีจึงหลับตาเอ่ย “เพราะหม่อมฉันนึกว่าเตี้ยนเซี่ยจะบอกว่า ในเมื่อหม่อมฉันเชื่อใจเตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยก็จะไม่ทำลายความเชื่อใจของหม่อมฉัน”
“เ้าคิดผิดแล้ว...” เฉินอ๋องเอนกายลงนอนและยังบิดี้เี “แต่ถ้าเ้าถอดชุดแต่งงาน ข้าก็คงไม่ทำอะไรเ้าเพราะไม่ได้นึกรำคาญชุดแต่งงานชุดนี้”
หรงหว่านซีไม่ขยับ เพราะนางตัดสินใจว่าจะไม่ใส่ใจการมีอยู่ของคนผู้นี้
ทว่าเสียงของเขากลับดังขึ้นอีกครั้ง
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและทุ้มต่ำ แม้แฝงด้วยความหยอกล้อ กลับยังคงทำให้ผู้อื่นไม่อาจหมางเมินความน่าเกรงขามของความเป็อ๋อง เมื่อหลับตาฟังยิ่งรู้สึกถึงความองอาจของบุรุษและคาดไม่ถึงว่าจะน่าฟังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นางเคยสนทนากับเขามาไม่น้อย ทว่าสมาธิมักจะจดจ่ออยู่บนใบหน้าเช่นคนรักอิสระของเขา กลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้ำเสียงของเขาจะน่าฟังถึงเพียงนี้
สิ่งที่เขากล่าวก็คือ “วันข้างหน้ายังต้องนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกันอีกนาน ถ้าเ้าเอาแต่สวมเสื้อผ้านอนหรือกลัดกลุ้มมากเกินไปก็จะล้มป่วยเอาได้ ทำตัวตามสบายสักนิด อย่างได้เก็บไปใส่ใจให้มาก”
ขณะหรงหว่านซีกำลังใช้ความคิด เขาก็นอนเท้าอีกครั้งและเอ่ยหยอกเย้า “เปิ่นหวางชอบผู้หญิงขี้อายมากที่สุด หากเ้าทำตัวตามสบาย เปิ่นหวางก็คงหมดความสนใจ”
หรงหว่านซีส่ายหน้ายิ้มพลางลุกขึ้น
ความเป็จริงแล้วเฉินอ๋องปรารถนาดี ชุดแต่งงานทั้งหนาและหนัก คาดว่าคงจะกลัวนางใส่นอนแล้วไม่สบายตัวกระมัง?
หรงหว่านซีถอดชุดแต่งงาน นางซุกกายเข้าไปในผ้าห่มโดยสวมเพียงชุดนอนสีแดง จากนั้นหลับตาลงเอ่ยเสียงเบาอย่างเชื่องช้า “หากเตี้ยนเซี่ยเป็ห่วงหม่อมฉันจริงๆ จะดีกว่านี้ถ้าภายหน้าเตี้ยนเซี่ยไปตำหนักอื่นและไม่ต้องมาที่นี่ หากทำเช่นนี้ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียงง่วงงุนของนาง เฉินอ๋องจึงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เอาล่ะ นอนเถิด เปิ่นหวางเหนื่อยแล้ว”
หรงหว่านซีพลิกกายนอนหันหลังให้เขา อาจเป็เพราะเฉินอ๋องดื่มสุรามาบ้าง ไม่นานนักเสียงกรนแ่เบาจึงดังขึ้น
ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ั้แ่จำความได้นางก็นอนคนเดียวมาโดยตลอด มีหรือจะเคยนอนเคียงกับผู้อื่น? เพราะฉะนั้นจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการร่วมเตียงกับบุรุษที่นอนกรนเสียงเบาอยู่ข้างกายเช่นนี้
กลิ่นสุราจากลมหายใจของบุรุษลอยคละคลุ้งเช่นนี้ หรงหว่านซีจะนอนหลับลงได้อย่างไร? แค่ฟังยังรู้สึกไม่สบายกายยิ่งนัก นางจึงไม่อาจหมางเมินการมีอยู่ของคนผู้นี้
ครั้นคิดจะลุกขึ้นก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเฉินอ๋องหลับตื้นหรือไม่ จึงกังวลว่าถ้านางลุกขึ้นอาจทำให้เขารู้สึกตัวจนตื่น นางรู้ว่าเฉินอ๋องก็วุ่นวายั้แ่เช้าจนดึกดื่น จะต้องเหน็ดเหนื่อยเป็อย่างมากแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงทำได้เพียงพยายามคุ้นชินกับการมีอยู่ของคนอีกผู้หนึ่ง ลมหายใจของคนอีกผู้หนึ่ง เพื่อทำให้ตนสามารถสงบจิตสงบใจและนอนหลับในสภาพเช่นนี้
เมื่อความง่วงงุนอย่างหนักเข้าจู่โจม หรงหว่านซีจึงจมเข้าสู่ห่วงนิทรา...
เพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ใหม่ ทำให้นอนหลับไม่ลึกมาก เช้าตรู่วันถักมา หรงหว่านซีจึงตื่นก่อนเฉินอ๋อง
ครั้นลืมตาขึ้น นางหันหลังไปมองเขา จนวินาทีสุดท้ายนางก็ไม่อาจมองข้ามการมีอยู่ของผู้ที่อยู่ข้างกาย
นึกไม่ถึงว่าเขาจะนอนได้เป็ระเบียบอย่างมาก แค่เปลี่ยนท่านอนจากนอนหันหลังให้นางเป็นอนหันหน้ามาหานางเท่านั้น หรงหว่านซีเห็นเขาขมวดคิ้วจึงคิดว่าเขาฝันร้าย ทว่าใบหน้ากับราบเรียบ ลมหายใจสม่ำเสมอ คล้ายไม่ได้กำลังฝันร้ายแต่อย่างใด ราวกับว่ายามหลับเขามักจะเป็เช่นนี้
ปกติเขามักจะทำตัวเ้าชู้รักอิสระ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มคล้ายไม่แยแสต่อสิ่งใดเป็ประจำ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจสังเกตเห็นความยากหยั่งถึงของเขา ทว่ายามนี้ คิ้วรูปดาบขมวดเข้าหากัน จมูกเป็สันงามดุจคมกระบี่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย แค่มองดูก็รู้ว่าเป็คนที่จักคิดพิจารณาและมีลักษณะของผู้ที่เห็นแก่บ้านเมือง ราวกับเทพเซียนลงมาเที่ยวเล่นและมอบเสียงหัวเราะสบายใจให้กับโลกมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นความทุกข์ตรมและเป็ห่วงเป็ใยผู้อื่น...
ขณะมองใบหน้ายามหลับใหลของเขา เมื่อไม่ทันรู้ตัว คาดไม่ถึงว่าหรงหว่านซีจะมองจนตกอยู่ในภวังค์ ราวกับขณะนางจดจ้องใบหน้าหล่อเหล่าของเขา สามารถมองเห็นทองเนื้อแท้ที่เผยออกมา...
“เ้าคิดจะมองเปิ่นหวางเช่นนี้ไปถึงเมื่อใด?” ทันใดนั้นได้ยินน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยดังขึ้น “ทำเอาเปิ่นหวางเขินอายจนรู้สึกตัวตื่น”
ทันทีที่หรงหว่านซีได้สติ นางไม่รู้สึกขัดเขินแต่อย่างใด กลับคิดว่า ‘มียามใดที่ท่านรู้สึกเขินอายด้วยหรือ?’
หรงหว่านซีหยัดกายลุกขึ้น นางหันหลังให้เขาและเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาอาภรณ์ คาดว่าคนของจวนเฉินอ๋องคงจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้นาง
เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าออก ภายในมีชุดกระโปรงหลากหลายสีสันจำนวนสิบกว่าตัวอย่างที่คิด
หรงหว่านซีเลือกชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกเหมย ทันใดนั้นได้ยินเสียงเฉินอ๋องเอ่ยออกคำสั่ง “เอาอาภรณ์มาให้เปิ่นหวางด้วย”
ด้วยเหตุนี้หรงหว่านซีจึงตั้งใจมองดูให้ละเอียด อาภรณ์ภายในตู้เสื้อผ้าไม่ได้มีแค่ของนาง แต่ยังมีสองถึงสามชุดที่เตรียมไว้ให้เฉินอ๋อง แสดงให้เห็นว่าข้ารับใช้ภายในจวนรอบคอบไม่น้อย หรงหว่านซีเลือกชุดสีขาวนวลพระจันทร์* ให้เขา ครั้นกำลังจะโยนให้กลับชักมือกลับเสียก่อน
“เ้าจะทำอะไร?” เฉินอ๋องเอ่ย
“ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าวังไปยกน้ำชา วันมงคลเช่นนี้ หากท่านสวมอาภรณ์สีราบเรียบเช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าใด” หรงหว่านซีเอ่ย
ขณะกล่าวหันไปหยิบเสื้อคลุมสีเขียวแล้วโยนให้เขา
เฉินอ๋องกลับไม่เื่มากแต่อย่างใด เอื้อมมือออกไปรับและเอ่ย “ไร้มารยาท”
เขาสามารถไม่ถือสาสายตาของนาง ทว่าเขาไม่อาจนิ่งเงียบต่อการปฏิบัติอย่างไม่แยแสสามีเช่นนี้
หรงหว่านซีไม่ตอบกลับ นางปิดประตูตู้เสื้อผ้าและคิดจะเรียกข้ารับใช้เข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าหวีผม
“เ้าชอบสีนวลจันทร์มากงั้นหรือ?” เฉินอ๋องถาม
“แค่รู้สึกว่าท่านสวมอาภรณ์สีนั้นแล้วดูสง่างามมากเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย
“อ๋อ? ในเมื่อเ้าชอบ วันหน้าเปิ่นหวางก็จะสวมบ่อยๆก็แล้วกัน” เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
*สีขาวนวลพระจันทร์ สีขาวมุกประกายฟ้า