“ไม่ต้องก็ได้เพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย “บรรดากูเหนียงในเรือนซูหนวี่ฟาง หอเทียนเซียงและหอจิ่นซิ่วคงจะไม่ชอบสีจืดชืดเช่นนี้”
เฉินอ๋องหัวเราะ จากนั้นหยัดกายลุกขึ้นไปรื้อลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งของนาง
หรงหว่านซีชะงักเพราะการกระทำของเขา นางหันไปมองเขาและยังไม่เรียกข้ารับใช้ให้เข้ามาในทันที คิดว่าเขากำลังพยายามหาอยู่งั้นหรือ...
“จิ๊... หนูฉายพวกนี้ไม่เตรียมมีดเล็กหรือกรรไกรไว้ให้เ้าเลยหรืออย่างไร... เปิ่นหวางเห็นแผ่นชาดสำหรับเม้มปากแล้วก็ดินสอสำหรับวาดคิ้วพวกนั้นต้องคอยตัดและเหลาอยู่ตลอดมิใช่หรือ?”
“ท่านจะเอากรรไกรไปทำไมกัน?” หรงหว่านซีเอ่ย
“เ้าไม่เข้าใจหรอก” เฉินอ๋องเอ่ย “แต่เ้าอย่าพึ่งเรียกผู้ใดเข้ามาเป็พอ”
ขณะเอ่ย เฉินอ๋องหมดอารมณ์จะหา เขามองนิ้วตนเองครู่หนึ่ง ทันใดนั้น...
“นี่! ท่านจะทำอะไร?”
ยังไม่ทันได้กัดลงบนนิ้ว ริมฝีปากของเขาก็ถูกผู้อื่นปิดเอาไว้เสียก่อน
หรงหว่านซีเอ่ย “ข้ามีวิธี ท่านอย่าทำให้มันโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้จะได้หรือไม่”
สายตาเฉินอ๋องฉายแววประหลาดใจ
หรงหว่านซีดึงมือของตนกลับและหันไปค้นลิ้นชักเพื่อหากล่องอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย
“ท่านไม่รู้หรอกหรือว่ายังมีของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเข็ม?” หรงหว่านซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอาระคนหยามเหยียด
“ข้านึกไม่ถึง เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้เห็นเท่าใด” เฉินอ๋องเอ่ย
หรงหว่านซียกยิ้ม สิ่งที่เขาพบเห็นอยู่ทุกวันล้วนแต่เป็สิ่งของที่สตรีใช้แต่งหน้าทาปาก แน่นอนว่าคงไม่ใส่ใจสิ่งของที่ใช้ทำการทำงานเช่นนี้
หรงหว่านซีพบเข็มเงินเล่มหนึ่ง นางเดินมาขอบเตียง จำได้ว่าเมื่อวานไม่เห็นมีผ้าสีขาวปูอยู่บนฟูกนอนผ้าไหมสีแดง ด้วยเหตุนี้นางจึงหาบริเวณหมอนทั้งสองใบ ผลคือพบว่าหมอนของเฉินอ๋องวางทับผ้าขาวผืนนั้นเอาไว้อย่างที่คิด
ผ้าผืนนี้จิ้นหมัวหมั่วปูเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ทว่าเฉินอ๋องสั่งให้นางออกไปเสียก่อน และหลังจากนั้นไม่ได้สั่งให้ผู้ใดมาปูเตียง
หรงหว่านซีรูดชายแขนเสื้อขึ้นด้วยฝ่ามือ นางทิ่มเข็มบนแขนเรียวเล็กของตนหนึ่งหน แม้จะเจ็บอยู่บ้าง ทว่านางไม่ถึงกับร้องโอดโอยเพราะความเจ็บเพียงแค่นี้ กระทั่งคิ้วงามยังไม่ขมวดเข้าหากันแม้แต่นิด นางเพียงแต่บีบเืให้หยดลงบนผ้าผืนนั้นอย่างสุขุม
จากนั้นปล่อยชายแขนเสื้อลงและเอาเข็มกลับไปวางไว้ที่เดิม
เป็เหตุให้เฉินอ๋องมองจนนิ่งงัน...
นางรู้อะไรไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่เ้าเข้าใจก็ไม่ควรแสร้งทำเป็ไม่รู้มิใช่หรือ?
เมื่อหันหลังกลับมา จึงพบกับสายตาของเฉินอ๋องที่... บอกไม่ถูกว่าแท้จริงแล้วคือสายตาเช่นไร มีทั้งความประหลาดใจ จนปัญญา รวมไปถึงคล้ายกับค่อนข้างชื่นชม... ปะปนอยู่ในแววตานั้น
“เป็อะไรไปเพคะ?” หรงหว่านซีเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
เฉินอ๋องเดินเข้ามาโดยไม่กล่าวสิ่งใด เขาเลิกชายแขนเสื้อของนางขึ้นและมองดูรอยเข็มขนาดเล็กที่ยังมีหยดเืไหลซึมออกมา
“สตรีเช่นเ้านี่...” เฉินอ๋องหมุนแขนของนางคล้าย้ายืนยันว่าไม่มีร่องรอยาแที่อื่นอีก
หรงหว่านซีกำลังรอให้เฉินอ๋องพูดต่อ ทว่าเฉินอ๋องกลับไม่เอ่ยสิ่งอื่นใด
และกระทำการ...
หัวคิ้วของหรงหว่านซีกระตุก นางยื้อแขนเอาไว้คล้าย้าชักแขนกลับ
เพราะยามนี้ริมฝีปากของเฉินอ๋องกำลังแตะลงบนแขนเรียวเล็กของนาง มิหนำซ้ำยังใช้ลิ้นไล่เลียปากแผล
ทว่าเฉินอ๋องมีพละกำลังมากยิ่งนัก รวมถึงนางยังไม่ทันตั้งตัว ทำให้ขัดขืนได้ไม่สำเร็จ
รอจนกระทั่งเฉินอ๋องปล่อยนาง หรงหว่านซีจึงรีบดึงชายแขนเสื้อลง สายตาที่ใช้มองเฉินอ๋องในยามนี้ฉายแววกรุ่นโกรธ
“ข้ากำลังช่วยเ้าอยู่นะ” เฉินอ๋องอธิบาย “ทำเช่นนี้จะช่วยหยุดเื ข้าไม่เห็นจะรังเกียจกลิ่นคาวเืของเ้าเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เืหยดนั้นยังอยู่บนลิ้นของข้า...”
ขณะเอ่ยเฉินอ๋องยังจะอ้าปากคล้าย้าแลบลิ้นให้นางดูหลักฐาน แต่เมื่อคิดว่าการทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก จึงปิดปากลงทั้งที่ยังไม่ทันได้อ้าออก
หรงหว่านซีไม่รู้ว่าเขาไปฟังวิธีเหลวไหลเช่นนี้มาจากที่ใด นางรับรู้เพียงความสะอิดสะเอียนครู่หนึ่ง ร่างทั้งร่างรู้สึกไม่ดีนัก คล้ายทุกตารางนิ้วบนิัล้วนเต็มไปด้วยััจากริมฝีปากของเขา เป็เหตุให้นางสะดุ้งกายและขนลุกไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่ได้
“หากไม่เชื่อเ้าก็ลองดู เืหยุดไหลแล้วใช่หรือไม่?” เฉินอ๋องเอ่ย
หรงหว่านซีมองดู ผลคือเืหยุดไหล แต่นางคิดว่าแผลเล็กถึงเพียงนั้น เดิมทีเืก็คงไม่ไหลออกมาอีกอยู่แล้ว
“ข้าจะจำความผิดนี้ของท่านเอาไว้” หรงหว่านซีเอ่ย
นางเอ่ยเพียงหนึ่งประโยค ก่อนจะร้องะโไปทางด้านนอก “ผู้ใดก็ได้เข้ามา...”
“ไอหยา...” เฉินอ๋องได้ยินเช่นนั้นจึงรีบวิ่งไปยังขอบเตียง จัดการเอาผ้าขาวเปื้อนเืผืนนั้นมาปูให้เรียบร้อย ก่อนจะใช้ผ้าห่มทับเอาไว้
จิ้นหมัวหมั่วขานรับ จากนั้นจึงพาอวิ๋นฉาง ชูเซี่ย และจือชิวเข้าไปปรนนิบัติล้างหน้าหวีผม
เมื่อเห็นผ้าผืนนั้นจึงเก็บออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยความดีใจยิ่งนัก
หรงหว่านซีรู้ว่านางจะต้องไปกราบทูลพระพันปีและพระสนมเอกอย่างแน่นอน
เฉินอ๋องล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก่อน หรงหว่านซีไม่ยื้อแย่งโต๊ะเครื่องแป้งกับเขา หลังล้างหน้าบ้วนปากเสร็จจึงมองอวิ๋นฉางหวีผมให้เขาอยู่อีกด้านหนึ่ง
แต่จะว่าไปแล้ว ยามผมยาวของเขาสยายลงบนไหล่ ช่างรูปงามเสียจนผู้พบเห็นเป็อันต้องตกตะลึง
เขามองนางผ่านกระจกและเอ่ยถาม “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
หรงหว่านซีไม่เข้าใจความหมายของเขาในทันทีทันใด จึงปริปากเอ่ย “หือ? อะไรเพคะ?”
“เข็ม” เฉินอ๋องเอ่ยเตือนความจำ
“อ่านจากตำราเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย “เคยบอกเตี้ยนเซี่ยไปแล้วมิใช่หรือเพคะ?”
“อ้อ... เปิ่นหวางนึกออกแล้ว”
ทว่าเฉินอ๋องกลับยกยิ้มร้าย “อ่านมาอย่างละเอียดเสียจริง เ้ายังอ่านเจออะไรอีกหรือไม่?”
ใบหน้าของหรงหว่านซีราบเรียบ “บอกไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะว่าอ่านแค่ด้านหน้าไม่กี่หน้า”
“ผู้ใดจะรู้เล่า...” เฉินอ๋องเอ่ยพลางยกยิ้ม
“ข้ารู้เพียงผู้เดียวก็พอแล้วเพคะ ผู้อื่นไม่จำเป็ต้องรู้” หรงหว่านซีเอ่ยอย่างเ็า
เฉินอ๋องถูกขัดความสนใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่างไร้อารมณ์ขันเสียจริง ทั้งยังไม่รู้จักหน้า...”
เดิมทีเขาจะกล่าวออกไปว่า “ทั้งยังไม่รู้จักหน้าแดง” แต่นึกขึ้นได้ว่าตนมองนางผ่านกระจก สตรีผู้นี้ ไม่ว่าการพูดจาหรือท่าทางล้วนสุขุมยิ่งนัก แลดูคล้ายไม่รู้สึกกระดากอายแม้แต่นิด ทว่าแก้มของนางกลับซื่อตรงยิ่งนัก
เฉินอ๋องหันหน้ากลับไปมองนางโดยพลัน
ผลคือพบว่าสตรีนางนั้นกำลังยืนแก้มแดงอยู่หน้าประตูพระจันทร์แกะสลักลายดอกไม้
“พระชายาแต่งหน้าเสร็จแล้วหรือ? ช่างรวดเร็วเสียจริง” เฉินอ๋องเอ่ยหยอกเย้า
มีเพียง์เท่านั้นที่รู้ว่ายามนี้หรงหว่านซีอยากจะเอาเชือกมัดปากเขามากเพียงใด!
แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบและเอ่ยอย่างเ็า “เตี้ยนเซี่ยโปรดรีบหน่อยเถิดเพคะ อย่ามัวแต่ยึดโต๊ะเครื่องแป้งของหม่อมฉันเอาไว้ไม่ยอมลุก”
เฉินอ๋องหันกลับไปให้อวิ๋นฉางหวีผมและเอ่ย “เหตุใดจึงกลายเป็โต๊ะเครื่องแป้งของเ้าเสียแล้ว? สิ่งของในจวนอ๋องแห่งนี้ล้วนแต่เป็ของเปิ่นหวาง”
ประโยคนี้คือความจริง หรงหว่านซีไม่อาจโต้แย้ง และทำได้เพียงปิดปากไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินอ๋องลุกขึ้น เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ถึงตาเ้าแล้ว”
ขณะหรงหว่านซีกำลังนั่งลง ในหัวของเฉินอ๋องกลับนึกบางสิ่งได้กะทันหัน “ข้าจะจำความผิดนี้ของเ้าเอาไว้”
“เหตุใดเตี้ยนเซี่ยจึงตรัสเช่นนี้?” หรงหว่านซีไม่เข้าใจ
“เ้าบอกว่าสิ่งของของเปิ่นหวางเป็ของเ้า นี่คือการ่ชิง ไม่ใช่ความผิดงั้นหรือ?” เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
หรงหว่านซียิ้มตาม เพราะนางเข้าใจเจตนาของเฉินอ๋อง คาดว่าอีกครู่เฉินอ๋องคงต้องบอกกับนางว่า จะดีกว่าหรือไม่หากพวกเราเสมอกัน?
ชูเซี่ยเป็ผู้หวีผมให้หรงหว่านซี เฉินอ๋องจึงสั่งให้จิ้นหมัวหมั่วตั้งสำรับ หรงหว่านซีเห็นว่าสายตาของจิ้นหมัวหมั่วฉายแววขบขันขณะขายรับ เมื่อเห็นเช่นนี้ หรงหว่านซีจึงยิ่งวางใจ
จิ้นหมัวหมั่วจะต้องคิดว่าท่านอ๋องและพระชายารักใคร่กันยิ่งนัก หากพระพันปีหรือพระสนมเอกตรัสถาม จิ้นหมัวหมั่วจะต้องกราบทูลสิ่งที่ได้เห็นเมื่อยามเช้าอย่างแน่นอน
จิ้นหมัวหมั่วคือผู้ดูแลนางกำนัลของจวนอ๋อง การฟังคำสั่งของเฉินอ๋องถือเป็เื่ปกติ แต่เพราะหน้าที่ผู้ดูนางกำนัลของจวนเฉินอ๋อง นางย่อมต้องติดต่อกับสำนักพระราชวังอย่างแน่นอน คาดว่าไทเฮากับพระสนมเอกทรงคุ้นเคยกับนางไม่น้อย คงเอ่ยถามไถ่ถึงเื่ภายในจวนอ๋องเป็ปกติ เพราะฉะนั้นจะนับประสาอะไรกับการถามไถ่เื่ภายในจวนหลังเฉินอ๋องเข้าพิธีมงคล?
หากสามารถทำให้ไทเฮากับพระสนมเอกคิดว่าพวกเขารักกันก็ถือเป็เื่ดี เพราะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาอีกหลายอย่าง
ชูเซี่ยเกล้ามวยผมเฉียงข้างให้หรงหว่านซี เพราะชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ปักลายดอกเหมยแดง ชูเซี่ยจึงเอาต่างหูหินโมราสีแดงที่ใส่เมื่อวานออกมาใส่ให้หรงหว่านซี
“เปลี่ยนคู่ใหม่ที่เป็เพียงต่างหูไข่มุกธรรมดาก็พอแล้ว” หรงหว่านซีเอ่ย
“เพคะ” ชูเซี่ยขานรับ จากนั้นหยิบต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งจากกล่องเครื่องประดับมาใส่ให้หรงหว่านซี
เฉินอ๋องรู้ว่าหรงหว่านซีกำลังระมัดระวังกิริยา แม้ต่างหูหินโมราสีแดงคู่นั้นจะเหมาะกับชุดของนางเป็อย่างมาก แต่เพราะความเหมาะสมจนเกินไปจะทำให้ดูโอ้อวดไปสักหน่อย ใบหน้าของนางงามล้ำเป็ทุนเดิม เมื่อแต่งหน้าด้วยสีชมพูอ่อนเช่นนี้จึงทำให้ยิ่งงดงามอย่างน่าตกตะลึง หากการแต่งกายยังโดดเด่นจนเกินไป อาจทำให้บรรดาผู้าุโไม่พอใจนัก
“เตี้ยนเซี่ยเพคะ สำรับอาหารเช้ามาถึงหน้าประตูแล้ว จะให้เข้ามาจัดวางเลยหรือไม่เพคะ?” อวิ๋นฉางที่อยู่นอกประตูเฝ้ารอคำสั่ง
เฉินอ๋องสั่งเพียงหนึ่งคำ “เข้ามา” อวิ๋นฉางพาหญิงรับใช้สามนางเข้ามาข้างใน แต่ละนางต่างถือถาดทองไว้ในมือ ในถาดมีถ้วยจานไม่ใหญ่ไม่เล็กสองถึงสามใบวางอยู่ แสดงให้เห็นว่าสำรับอาหารเช้าของจวนอ๋องมิได้ฟุ่มเฟือย ขอแค่พอทานเท่านั้น
ความคิดที่หรงหว่านซีมีต่อเฉินอ๋องต้องเปลี่ยนไปอีกหน เขาควบคุมดูแลภายในจวนอย่างมีระบบระเบียบถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะเป็คุณชายจอมเหลาะแหละได้อย่างไร?
หลังบรรดาหญิงรับใช้จัดสำรับเสร็จและถอยออกไป อวิ๋นฉางยังคงยืนดูด้วยท่าทางคล้ายกับ้าปรนนิบัติเฉินอ๋องเสวยอาหาร
ชูเซี่ยกับจือชิวพึ่งมาอยู่ในจวนอ๋อง ยังไม่เข้าใจกฎระเบียบภายในจวนนัก พวกนางจึงไม่รู้ว่าควรจะออกไปหรืออยู่ต่อ ด้วยเหตุนี้จึงหันไปมองหรงหว่านซี
เมื่อครั้งอยู่ในจวนแม่ทัพ ปกตินางจะให้เด็กรับใช้ทั้งสองคนนี้นั่งลงทานอาหารด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรในเรือนก็มีกันแค่สามคน ไม่จำเป็ต้องเคร่งครัดระเบียบอะไร ทว่าจวนอ๋องนั้นต่างออกไป
หรงหว่านซีไม่อยากให้พวกนางทั้งสองยืนรอโดยเปล่าประโยชน์ จึงเอ่ยออกคำสั่ง “พวกเ้าทั้งสองออกไปเถิด”
เมื่อเฉินอ๋องเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยสั่งอวิ๋นฉางเช่นกัน “อวิ๋นฉาง เ้าก็ออกไปเถิด”
แววตาอวิ๋นฉางหม่นแสงเล็กน้อย “เพคะ...”
หญิงรับใช้ทั้งสามต่างถอยออกไป หลังจิ้นหมัวหมั่วสั่งให้ตั้งสำรับอาหารอาจจะกำลังไปยุ่งวุ่นวายเื่อื่น ภายในห้องนี้จึงเหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคน
แม้ดวงตาทั้งสองคู่จะมองสบกัน ทว่าหรงหว่านซีกลับรู้สึกว่าเช่นนี้ยังดีกว่าสักหน่อย อย่างน้อยก็เป็ตัวของตัวเองอยู่บ้าง
อาหารเช้ามีซุปพุทราจีนใส่เม็ดบัว ขนมถั่วลิสงกวน ขนมดอกกุ้ย ข้าวต้มกลีบดอกป่ายเหอ* รวมถึงอาหารทานเล่นจำนวนหนึ่ง
ความหมายแฝงภายในอาหารเหล่านี้ คงไม่จำเป็ต้องเอ่ยก็รู้
หรงหว่านซีแสร้งทำเป็ไม่รับรู้ ทว่านางกลับได้ยินเฉินอ๋องเอ่ยชมว่า “อืม... ข้าวต้มดอกป่ายเหอวันนี้รสชาติไม่เลว”
ทางด้านหรงหว่านซียังคงยึดตามคำสอนที่ว่า “ยามกินไม่พูด ยามนอนไม่คุย”
หลังเสร็จสิ้นการทานมื้ออาหารที่เงียบสงัด เฉินอ๋องจึงสั่งให้อวิ๋นฉางเข้ามาปรนนิบัติบ้วนปาก หรงหว่านซีและเฉินอ๋องต่างใช้น้ำชาจากใบชาเขียวบ้วนปาก เมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างมากแล้ว ใกล้เวลาจะต้องเข้าวังไปถวายน้ำชา พวกเขาจึงพากันออกจากจวน
ขณะอยู่บนรถม้า ในที่สุดเฉินอ๋องก็เอ่ยออกมาว่า “เช้าวันนี้เปิ่นหวางลงบัญชีความผิดเ้าหนึ่งอย่าง เ้าก็ลงบัญชีความผิดเปิ่นหวางเช่นกัน...”
“ก็ได้เพคะ ถือว่าเสมอกันก็ได้เพคะ” หรงหว่านซีเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้เฉินอ๋องกล่าวจบ
*ดอกป่ายเหอหรือดอกลิลลี่ ดอกลิลลี่มีสรรพคุณในการถอนพิษ บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้ใจสงบเป็ต้น และคำว่าป่ายเหอในภาษาจีนแปลว่าเคียงคู่ร้อยปี