“หึๆ...ดีมาก เช่นนี้ก็ดี...พระชายาช่างจิตใจงดงามนัก เอ่ยเพียงนิดเดียวก็เข้าใจ” ประโยคแรกยังถือว่าพอจริงจังอยู่บ้าง ทว่าประโยคหลัง “คงเป็เพราะหัวใจของพวกเราทั้งสองตรงกันกระมัง”
“อีกครู่หลังกลับจากวังหลวง เตี้ยนเซี่ยจะทำอะไรเพคะ?” หรงหว่านซีเอ่ยถาม ทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา
เฉินอ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “คงไปเรือนซูหนวี่ฟาง ข้าเคยบอกว่าอยากพาเ้าไปลองชิมอาหารแปลกใหม่ของที่นั่น”
“ประโยคเช่นนี้ เตี้ยนเซี่ยเก็บไว้ให้บรรดากูเหนียงของเรือนซูหนวี่ฟางเถิดเพคะ พวกนางคงจะยินดีที่ได้มีใจตรงกันกับเตี้ยนเซี่ย” หรงหว่านซีเอ่ยอย่างเยือกเย็น
เมื่อถูกนางฉีกหน้าเช่นนี้ เฉินอ๋องไม่เพียงไม่กรุ่นโกรธ เขากลับรู้สึกขบขันเสียด้วยซ้ำ สตรีนางนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ...
หลังจากต่อล้อต่อเถียงกันั้แ่เช้า เขารู้สึกว่าชีวิตเริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้าง
เมื่อมาถึงประตูวังทางทิศเหนือ เฉินอ๋องลงจากรถม้าไปก่อน จากนั้นหันกลับมายื่นมือให้หรงหว่านซี
หรงหว่านซีนึกถึงข้อตกลงระหว่างพวกเขา นางจึงส่งมือออกไป ไม่เช่นนั้นเขาคงบอกว่า ‘ข้าจะจำความผิดหนนี้ของเ้า เพราะเ้าปฏิเสธความปรารถนาดีของเปิ่นหวาง’
คนทั้งสองมุ่งหน้าไปยังตำหนักสือหนิงกงเป็ที่แรก ปั๋วหมัวหมั่วเป็ผู้ออกมาต้อนรับ “วันนี้ไทเฮามีอาการประชวรเล็กน้อย ตรัสว่าทรงทราบถึงความตั้งพระทัยของเตี้ยนเซี่ยและเหนียงเหนียง จึงรับสั่งให้เตี้ยนเซี่ยกับเหนียงเหนียงเสด็จไปยังตำหนักของพระสนมเอกก็พอเพคะ”
หรงหว่านซีเข้าใจเจตนาของไทเฮา การดื่มน้ำชาจากลูกสะใภ้ควรเป็หน้าที่ของแม่สามี ไทเฮาทรงไม่อยากแย่งหน้าที่ของพระสนมเอก
ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “รบกวนปั๋วหมัวหมั่วทูลถามไถ่ไทเฮาแทนเปิ่นเฟย[1] ยามนี้ยังเช้ามากนักจึงไม่กล้ารบกวนไทเฮา หลังพวกเรากลับมาจากเข้าเฝ้าที่ตำหนักอีหลาน หากมีเวลาก็จะกลับมาขอเข้าเฝ้าไทเฮาอีกครั้ง”
ปั๋วหมัวหมั่วขานรับว่า ‘เพคะ’ จากนั้นเอ่ย “ส่งเสด็จเตี้ยนเซี่ย ส่งเสด็จเหนียงเหนียงเพคะ...”
ปั๋วหมัวหมั่วผู้นี้คือย่าของปั๋วเหม่ยเหรินที่อยู่ในจวนอ๋อง ครั้งก่อนที่นางมายังตำหนักสือหนิงกง ปั๋วหมัวหมั่วยืนอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา เพราะต้องหลบเลี่ยงการมองพระพักตร์ของไทเฮา หรงหว่านซีจึงมองไม่เห็นหน้านางอย่างชัดเจน ครั้นพบกันในวันนี้ แม้จะบอกว่าค่อนข้างมีอายุและน่าจะย่างห้าสิบ แต่เพราะนางติดตามไทเฮา การดูแลผิวพรรณจึงดีไม่น้อย ครั้นมองดูก็เห็นถึงเค้าโครงความงามอย่างชัดเจน จากองคาพยพทั้งห้า คาดว่าเมื่อครั้งยังสาวคงจะเป็หญิงงามผู้หนึ่ง
“ปั๋วเหม่ยเหรินที่อยู่ในจวนได้ครองหัวใจของเตี้ยนเซี่ยหรือไม่เพคะ?” ระหว่างทางเดินไปยังตำหนักอีหลาน หรงหว่านซีจึงเอ่ยถามออกไปตามตรง
แท้จริงแล้วนางแค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เมื่อได้ใกล้ชิดกับเขาก็ไม่รู้สึกห่างเหินแต่อย่างใด ในทางกลับกันนางเริ่มรู้สึกเป็กันเองขึ้นมาเล็กน้อย
“พระชายาฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ พรุ่งนี้เ้าลองดูเองก็แล้วกัน” เฉินอ๋องเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “หรือพวกเรามาลองเล่นเกมกัน หลังจากพบบรรดาอนุชายาในจวน เ้าลองบอกเปิ่นหวางสิว่าเปิ่นหวางชอบนางใดมากที่สุดและไม่ชอบนางใดมากที่สุด หากทายถูก... หากเ้าทายถูก.... เ้าลองบอกมาว่าเ้าอยากได้อะไรเป็รางวัล?”
“หากทายถูก เตี้ยนเซี่ยติดค้างคำขอหม่อมฉันหนึ่งเื่ก็แล้วกันเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย “รอให้หม่อมฉันนึกออกเสียก่อนค่อยขอรางวัลจากเตี้ยนเซี่ยอีกครั้ง ดีหรือไม่เพคะ?”
เฉินอ๋องเอ่ยหยอกเย้า “แต่เื่นี้จะต้องเป็แค่เกมเท่านั้น ไม่อาจเอาจริงเอาจังจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจากที่เปิ่นหวางแค่จะเล่นเกม กลับกลายเป็รับปากเื่ความเป็ความตายกับเ้า จะไม่เสียเปรียบเกินไปหน่อยหรือ?”
“เตี้ยนเซี่ยวางใจได้เพคะ หม่อมฉันรู้จักประมาณ ไม่มีทางขออะไรที่ไม่เหมาะสมจนเกินไปเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย
“ดี” เฉินอ๋องเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นก็เป็อันตกลงว่าจะเล่นเกมนี้ แต่หากเ้าทายไม่ถูกจะทำอย่างไร?”
“หากทายไม่ถูก หม่อมฉันก็จะรับปากเตี้ยนเซี่ยหนึ่งเื่เช่นกันเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย
“ดี!” เฉินอ๋องตอบรับพลางยกยิ้ม
หรงหว่านซีไม่กังวลว่าหากนางทายถูกแล้วเฉินอ๋องจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะนางมีวิธีที่จะทำให้ตนได้รับคำตอบที่แท้จริง แท้จริงแล้ววิธีนี้ง่ายมาก แค่ให้พวกเขาทั้งสองเขียนออกมาพร้อมกันก็ได้แล้วมิใช่หรือ?
ในที่สุดก็มาถึงตำหนักอีหลาน หลังนางกำนัลเข้าไปกราบทูลจึงพากันเดินเข้าไปในตำหนักหลัก
พระสนมเอกนั่งรออยู่บนเก้าอี้ประทับ เมื่อพบว่าพวกเขาทั้งสองเข้ามา ดวงหน้าเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดูจึงประดับด้วยรอยยิ้ม
หรงหว่านซีกับเฉินอ๋องคุกเข่าคำนับพระสนมเอก หลังจากนั้นมีนางกำนัลยกน้ำชาเข้ามา ทว่าส่งให้นางเพียงถ้วยน้ำชาที่ไม่มีถาดรองขนาดเล็ก
หรงหว่านซีรับถ้วยน้ำชามาถือไว้ในมือ แต่กลับต้องพบว่า...ชาถ้วยนี้ร้อนยิ่งนัก
ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่เปลี่ยนสี นางหยัดกายลุกขึ้น เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าพระสนมเอก จากนั้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะเพื่อถวายน้ำชา “เอ๋อร์สี[2] ยกน้ำชาคำนับหมู่เฟยเพคะ”
พระสนมเอกพยักหน้ารับและจับบริเวณปากถ้วยน้ำชา นางยกขึ้นจิบเพียงครู่ แต่คาดว่าคงไม่ได้ดื่มน้ำชาภายในถ้วย เมื่อวางลงบนโต๊ะด้านข้างถึงเอ่ย “ดีมาก ลุกขึ้นเถิด”
ขณะลุกขึ้น หรงหว่านซีเห็นว่าน้ำชาถ้วยนั้นยังคงร้อนจนมีไอพวยพุ่งออกมา
ยามนี้นิ้วมือถูกความร้อนลวกจนแดงเสียแล้ว
ทว่าพระสนมเอกกลับเอ่ยเพียงหนึ่งคำว่า “ดีมาก” แสดงให้เห็นว่าการที่นางไม่โยนถ้วยน้ำชานี้ทิ้ง ถือเป็การกระทำที่ “ดีมาก”
พระสนมเอกบอกให้พวกเขาทั้งสองลุกขึ้น หลังถามไถ่ทั้งรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันไปส่งสายตาให้นางกำนัลด้านข้าง ไม่นานนัก นางกำนัลผู้นั้นได้ถือกล่องเครื่องประดับงามประณีตขนาดเล็กออกมา
นางกำนัลย่อกายอยู่ต่อหน้าหรงหว่านซี หลังเปิดกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กจึงส่งมาตรงหน้าหรงหว่านซี นางพบว่าข้างในคือกำไลข้อมือทำจากหยกขาว เนื้อหยกงดงามและไร้จุดด่างพร้อย ถือเป็ของหายากยิ่งนัก
“กำไลหยกขาวเส้นนี้ ไทเฮาทรงมอบให้เปิ่นกงเมื่อครั้งพึ่งเข้าวัง วันนี้เปิ่นกงยกมันให้เ้า” พระสนมเอกเอ่ย
หรงหว่านซีลุกขึ้นทำความเคารพพระสนม “เอ๋อร์สีขอบพระทัยหมู่เฟยเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” พระสนมเอกเอ่ย จากนั้นหันไปสั่งเฉินอ๋อง “เฉินเอ๋อร์ เ้าจงสวมให้พระชายา หมู่เฟยจะดูสักหน่อย”
เฉินอ๋องถือกำไลหยกขาวไว้ในมือ เขายื่นมือออกมาขอมือหรงหว่านซี เพราะอยู่ต่อหน้าพระสนมเอก หรงหว่านซีจึงไม่กล้ารีรอและส่งข้อมือไปให้เฉินอ๋อง
เฉินอ๋องสวมกำไลหยกขาวในมือให้กับหรงหว่านซี เอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “แม้พระชายาจะสวมแล้วไม่งดงามเท่าหมู่เฟย แต่ถือว่าเหมาะมากพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกเอ่ยพลางยกยิ้ม “เ้าเด็กคนนี้ ช่างรู้จักเอาใจหมู่เฟยเสียจริง จากที่เปิ่นกงดู เอ๋อร์สีของเ้าสวมแล้วงามกว่าเสียด้วยซ้ำ”
หรงหว่านซีไม่เข้าร่วมบทสนทนาหยอกล้อของสองแม่ลูกและย่อกายถอนสายบัวเพื่อขอบพระทัยพระสนมอีกครั้ง
หลังจากสนทนาเรื่อยเปื่อยครู่หนึ่ง เมื่อเห็นพระสนมเอกเริ่มเหนื่อยล้า เฉินอ๋องจึงเป็ผู้ขอทูลลา หรงหว่านซีพอใจกับการกระทำของเฉินอ๋องเป็อย่างมาก เพราะคล้ายกับเขาจะรู้ถึงบางสิ่งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ เพราะถ้าให้นางเป็คนขอทูลลาคงจะไม่เหมาะสมนัก
พวกเขาออกจากตำหนักสือหนิงกง เพื่อให้ครบถ้วนตามประเพณี จึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักสือหนิงกงเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮาอีกครั้ง
เมื่อรู้ว่าพวกเขาไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกมาแล้ว หนนี้ไทเฮาจึงยอมให้เข้าเฝ้า หลังสนทนาเื่สัพเพเหระครู่หนึ่ง พระพันปีจึงตรัสพลางแย้มยิ้ม “ในเมื่อหมู่เฟยของเ้ามอบของขวัญให้เ้าแล้ว อายเจียก็ไม่มีของสิ่งใดที่เหมาะสมพอใจจะให้เ้า ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ให้อะไรแล้ว”
หรงหว่านซีเอ่ยอย่างสุภาพ “ขอเพียงเสด็จย่ามีพระพลานามัยแข็งแรง เพียงเท่านี้ก็ถือเป็ของขวัญล้ำค่าที่สุดของเอ๋อร์เฉินแล้วเพคะ”
หรงหว่านซีรู้ว่าไทเฮาพยายามหลบหลีกให้พระสนมเอก เพราะฉะนั้นการที่พระพันปีไม่พระราชทานสิ่งใดให้นาง ไม่ได้เป็เพราะนางทำอะไรผิด
พระพันปีหยักพระพักตร์ “วันหน้าจงมานั่งเล่นในวังกับเฉินเอ๋อร์บ่อยๆ ไม่ต้องเคร่งครัดอะไรมาก”
เฉินอ๋องยังคงเป็ผู้ขอทูลลา หรงหว่านซีและเฉินอ๋องจึงพากันทูลลาพระพันปี
ไทเฮารับสั่งกับปั๋วหมัวหมั่ว “ฮว้านอวิ๋น เ้าจงไปส่งเ้าสามกับภรรยาของเขา”
“เพคะ” ปั๋วหมัวหมั่วขานรับ
ในประโยคสนทนาเมื่อครู่ แม้ปั๋วหมัวหมั่วจะยืนอยู่ข้างกายพระพันปี ทว่าพระพันปีกลับไม่ได้ถามไถ่ถึงบรรดาอนุชายาภายในจวน และยิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะลำเอียงถามไถ่ถึงปั๋วเหม่ยเหริน
ทว่าโดยปกติผู้ที่มีหน้าที่ส่งแขกคือนางกำนัลระดับล่างอย่างจิ้นิ่ ไม่จำเป็ต้องให้ปั๋วหมัวหมั่วเป็ผู้ออกมาส่งด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นเฉินอ๋องยังแวะเวียนมาตำหนักสือหนิงกงบ่อยครั้ง ตามหลักแล้วไม่จำเป็ต้องดูแลอะไรมากนัก แต่วันนี้พระพันปีกลับสั่งให้ปั๋วหมัวหมั่วเป็ผู้ออกมาส่ง แสดงให้เห็นว่าพระพันปีอยากให้ปั๋วหมัวหมั่วมีโอกาสพูดคุยกับนางเื่ฝากดูแลปั๋วเหม่ยเหริน
ทว่าปั๋วหมัวหมั่วกลับไม่พูดถึงเื่ฝากดูแลปั๋วเหม่ยเหรินกับนาง เพราะขอแค่นางรู้ถึงเจตนาของพระพันปีก็เท่ากับปั๋วหมัวหมั่วได้เอ่ยออกมาแล้ว
เห็นทีพระพันปีคงจะให้ความสำคัญกับปั๋วเหม่ยเหรินเป็อย่างมาก และกำลังเตือนนางว่าปั๋วเหม่ยเหรินต่างจากอนุชายานางอื่นๆ
ปั๋วหมัวหมั่วส่งพวกเขาถึงหน้าประตูตำหนักสือหนิงกง นางเพียงแต่เอ่ยอย่างนอบน้อมและถอนสายบัว “ส่งเสด็จเตี้ยนเซี่ย ส่งเสด็จเหนียงเหนียงเพคะ”
และไม่ได้กล่าวสิ่งอื่นใด
แม้หรงหว่านซีจะเข้าใจถึงความหมายของพระพันปี ทว่านางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับปั๋วหมัวหมั่ว เพราะนางยังไม่เคยพบปั๋วเหม่ยเหรินอย่างเป็ทางการ ข้อหนึ่ง นางยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของปั๋วเหม่ยเหริน ข้อสอง นางก็ยังไม่รู้ว่าปั๋วเหม่ยเหรินเป็ที่โปรดปรานหรือไม่
เื่การเป็ที่โปรดปราน แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่เื่ที่ผู้อื่นสามารถยืนยัน เพราะขึ้นอยู่กับวาสนาของตนเท่านั้น
การเข้าเฝ้าฉิ่งอานในวันนี้ไม่มีบรรยากาศอึมครึมเหมือนกับการเข้าวังสองครั้งก่อน เว้นเสียแต่บททดสอบของพระสนมเอกขณะยกน้ำชาเท่านั้น เมื่อพวกเขาออกจากประตูทางทิศเหนือของพระราชวัง แม้นิ้วมือบวมแดงอย่างสาหัส ทว่าหรงหว่านซีกลับทำตัวผ่อนคลายยิ่งนัก
ถ้าภายหน้าพวกเขาต่างคนต่างอยู่และการเข้าออกวังยังคงน้อยครั้ง นางแค่มีหน้าที่ต้องจัดการเื่ราวภายในจวน โดยเฉพาะเื่ของบรรดาอนุชายาให้ระเบียบเรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว
และขอเพียงองค์รัชทายาทไม่สร้างปัญหา ทำให้บิดาของนางสามารถเกษียณราชการกลับบ้านเกิดได้อย่างราบรื่น บางที...นางอาจมีโอกาสได้ออกไปจากจวนอ๋องจริงๆ อาจจะหลังจากนี้หนึ่งปี สองปี หรือสามปี... เมื่อใดที่เฉินอ๋องเลิกยึดติดกับการสูญเสียฉินอิ่งเยว่และไม่อยากเอาคืนองค์รัชทายาท เมื่อนั้นก็คือเวลาที่นางสามารถจากไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีสักวันหนึ่ง
“เตี้ยนเซี่ยไม่ได้บอกว่าจะไปเรือนซูหนวี่ฟางหรือเพคะ?” เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเฉินอ๋อง หรงหว่านซีพบว่าเฉินอ๋องก็ลงรถม้าเช่นกัน
“แล้วเปิ่นหวางไม่ได้บอกหรือว่าจะพาเ้าไปด้วย?” เฉินอ๋องเอ่ย
ไม่รอให้หรงหว่านซีกล่าวสิ่งใด เฉินอ๋องพลันเอ่ยออกมาว่า “ที่กลับจวนเพราะยังมีธุระ ไม่ใช่เพราะเ้าไม่ไป เปิ่นหวางถึงไม่ไป”
เดิมทีหรงหว่านซีไม่ได้คิดไปทางด้านนั้นแม้แต่นิด แม้ว่าเฉินอ๋องจะปฏิบัติดีกับนางระดับหนึ่ง บางครั้งบางคราวมักกล่าววาจาหยอกเย้าอยู่บ้าง ทว่านางก็ไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองสักครั้ง
เมื่อเดินเข้าจวนเฉินอ๋อง หรงหว่านซีจึงมีเวลาว่างชมบรรยากาศภายในจวนอย่างละเอียด
เฉินอ๋องเอ่ยหลังจากเห็นนางเดินไม่ช้าไม่เร็ว “อะไรกัน มือเ้าเจ็บไม่ใช่หรือ? กลับไปใส่ยาเสียก่อนแล้วค่อยมาดูก็ไม่สาย”
ความจริงนางเจ็บจนชาไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้หรงหว่านซีจึงไม่นึกใส่ใจนัก
ทว่าความห่วงใยจากเฉินอ๋องทำให้นางค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนางนึกว่าเขาจะไม่สนใจเื่เล็กน้อยเช่นการทดสอบของสตรี
“หมู่เฟยก็จริงๆ เลย” เฉินอ๋องเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ก่อนหน้านี้ก็ทดสอบไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงมีน้ำชาร้อนโผล่มาอีก”
“ก่อนหน้านี้คือการทดสอบความกล้าและความรู้ ทว่าครั้งนี้คือการทดสอบความอดทนเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย “หากจะเป็เอ๋อร์สีของเชื้อพระวงศ์ก็คงไม่อาจเลี่ยงเื่พวกนี้”
เฉินอ๋องหัวเราะพลางหันหลังกลับมามองนางขณะยืนอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้...
[1]เปิ่นเฟยคือคำแทนตัวของพระชายา
[2]เอ๋อร์สีหมายถึงลูกสะใภ้