ทันใดนั้นต้วนเทียนหลางได้เดินลงจากอัฒจันทร์
ฉู่ชิ่งที่อยู่ข้างๆ เขาก็เดินตามต้วนเทียนหลางที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปยังลานประลองเป็ตาย
พวกเขาทั้งสองล้วนทรงพลังเป็อย่างมาก แต่ละก้าวที่ก้าวออกมาดูเหมือนจะช้า แต่ระยะทางไม่กี่สิบเมตร เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็มาถึงบนลานประลองเป็ตายแล้ว
ท่วงท่าเดินราวกับเดินอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้
“ทุกคนในนิกายหยุนไห่จงฟัง!”
ต้วนเทียนหลางกวาดสายตามองไปยังฝูงชน และกล่าวเสียงดังว่า “ข้าต้วนเทียนหลาง เป็ตัวแทนของฝ่าา เพื่อมาคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นไปยังเมืองจักรพรรดิ เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ที่เป็สถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดโดยอยู่ภายใต้คำสั่งของฝ่าา แต่ประมุขของพวกเ้าปฏิเสธข้า ฝ่าฝืนพระบัญชาของฝ่าา วันนี้ฝ่าาได้ทรงพิโรธ จากนี้ไปนิกายหยุนไห่จะถูกลบออกจากอาณาจักรเสวี่ยเยว่”
คำพูดของต้วนเทียนหลางได้ลึกลงไปยังจิตใจของทุกคนจนสั่นสะท้าน เขาจะลบนิกายหยุนไห่ออกจากอาณาจักรเสวี่ยเยว่?
ทำให้นิกายที่ยิ่งใหญ่ต้องถูกขับไล่เช่นนี้ มีเพียงวิธีเดียวนั่นคือ… การกำจัด
คนเหล่านี้้ากำจัดนิกายหยุนไห่!!!
ความตื่นตระหนกของทุกคนเริ่มมากยิ่งขึ้น พวกเขาทุกคนต่างมาเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เพื่อกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง การถูกฆ่าโดยไม่มีเหตุผล มันไร้ความยุติธรรมสิ้นดี
“อย่างไรก็ตามฝ่าาทรงเมตตาจึงได้ให้โอกาสแก่พวกเ้า ศิษย์หลัก ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอก รวมไปถึงศิษย์ที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหิน ถ้าพวกเ้าจะฏนิกายหยุนไห่ เพื่อเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และนิกายอื่นๆ นี่เป็เพียงวิธีเดียวที่พวกเ้าจะรอดจากความตายได้”
ต้วนเทียนหลางได้กล่าวอีกครั้ง จึงทำให้ในหัวของฝูงชนกึกก้องไปด้วยเสียงแผดคำราม
้าให้พวกเขาฏนิกายหยุนไห่? นอกจากนี้ยังเป็ศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับ และศิษย์ที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหิน ถึงมีคุณสมบัติที่จะฏได้เท่านั้น?
ศิษย์ที่ไม่มีรายชื่ออยู่บนผนังหินร่างกายพลันเย็นะเื พวกเขาไม่สิทธิ์เลือกที่จะมีชีวิต พวกเขาจะต้องถูกกำจัดออกไป
หนานกงหลิงและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว การกระทำของคนเหล่านี้ก็เพื่อทำลายนิกายหยุนไห่
นับพันปีมาแล้วที่นิกายหยุนไห่ได้ดำรงอยู่ แม้ว่าจะความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลย ไม่ได้มีความขัดแย้งถึงกับต้องเกิดการต่อสู้ แต่คราวนี้กลับต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น
นิกายเฮ่าเยว่ หมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน นิกายโมโซ่ว รวมทั้งองค์ชายเทียนหลาง มารวมกันเป็กลุ่มเพื่อกำจัดนิกายหยุนไห่
เห็นได้ชัดว่าแค่มีเชื้อพระวงศ์อย่างองค์ชายเทียนหลางได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ความสมดุลของอำนาจแต่ละนิกายที่ทรงพลังนั้นก็แตกหักลงไป จนนิกายหยุนไห่ต้องกลายเป็เหยื่อ
“ทำไมถึงเลือกนิกายหยุนไห่?”
สีหน้าของหนานกงหลิงยังคงเย็นะเื และจ้องเขม็งไปที่ต้วนเทียนหลาง ราวกับจะกินเืกินเนื้อ หรือว่านิกายที่อยู่มานานนับพันปี ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของหนานกงหลิงจะต้องล่มสลาย?
“หนานกงหลิง เ้าไม่เข้าใจเหรอ?” ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะยิ้มเยาะ
“ถ้าบอกว่ามันเป็เพราะข้าปฏิเสธลูกชายของเ้าไปแล้ว แต่เ้ากลับไม่เชื่อ เกรงว่าเ้าจะไม่เชื่อใจตัวเองมากกว่านะ เพราะว่านิกายเฮ่าเยว่ หมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน พวกเขาต่างต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ช่างน่าไร้สาระเสียจริง”
หนานกงหลิงปรายตามองฉู่ชิ่งและห่านเสวี่ยเทียน
“ฮ่าๆ เ้าพูดถูก นิกายฉู่จางเริ่มต้นด้วยการปฏิเสธ แต่เมื่อข้าบอกพวกเขาว่าข้าจะให้นิกายหยุนไห่เป็ค่าตอบแทน พวกเขาจึงตอบตกลงในทันที”
น้ำเสียงของต้วนเทียนหลางที่เย็นะเืทำให้ฝูงชนประหลาดใจ ยกนิกายหยุนไห่ให้นิกายอื่น?
“ข้าพอจะเดาได้” หนานกงหลิงโศกเศร้า เมื่อพบว่าต้วนเทียนหลางทำไมถึงมาชมการทดสอบ ตอนนี้หนานกงหลิงสงสัยว่าทำไมฉู่ชิ่งถึงได้อยู่ที่นี่ด้วย
“ส่วนเหตุผลที่เ้าบอกมา มันง่ายมาก เพราะนิกายหยุนไห่ของพวกเ้ามันอ่อนแอที่สุดและง่ายที่จะกำจัด ฉะนั้นส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งในนิกายมาให้ข้าซะ ไม่งั้นนิกายหยุนไห่จะถูกทำลายทันที”
“เ้าโกหก!”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น รูปร่างที่สง่างามกำลังเดินออกมาจากฝูงชน และค่อยๆ เดินไปบนลานประลองเป็ตาย การแสดงออกของนางทั้งเกลียดชังและขมขื่นเป็อย่างมาก
“ต้วนเทียนหลาง เ้ามันโกหก”
ใบหน้าที่สวยงามของหลิ่วเฟยในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าดูซีดขาว และร่างกายก็สั่นเทาไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ที่เ้าเลือกนิกายหยุนไห่ เป็เพราะเ้าอิจฉาริษยาท่านพ่อของข้า อิจฉาในความแข็งแกร่งและความสามารถของเขา ดังนั้นเ้าถึงได้เลือกนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังใช้อุบายหลอกกองทหารม้าโลหิตมาที่นี่ เ้า้าให้ท่านพ่อของข้าแปดเปื้อน และอยากให้ท่านพ่อของข้าเสียใจ”
สายตาของหลิ่วเฟยเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และกล่าวอย่างเ็าว่า “ต้วนเทียนหลาง ความชั่วในหัวใจของเ้ามันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลิ่วเฟยจึงรู้สึกใ ในนิกายหยุนไห่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้สถานะของหลิ่วเฟยว่าท่านพ่อของหลิ่วเฟยเป็ใคร ตอนที่ได้ยินคำพูดของหลิ่วเฟย ดูเหมือนท่านพ่อของนางจะเป็คนที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่องค์ชายต้วนเทียนหลางแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ที่มีชื่อเสียงยังต้องอิจฉาริษยา
นอกจากนี้ยังมีกองทหารม้าโลหิต ที่เป็กองกำลังของท่านพ่อของหลิ่วเฟย?
“เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน!”
จู่ๆ ผู้คนจำนวนมากต่างกระซิบกระซาบ ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ถ้าบอกว่ามีคนที่ส่องแสงเจิดจรัสมากกว่าองค์ชายเทียนหลาง และยังมีคนสรรเสริญไปทั่วอาณาจักรนั่นก็คือเทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน
เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันเคยนำทัพหลายพันคนเข่นฆ่าศัตรูนับหมื่นเป็เวลา 10 วัน 10 คืนเพื่อปกป้องเมือง เรียกได้ว่าเขาคือผู้ที่กอบกู้เมืองเอาไว้
เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน หนึ่งคน หนึ่งลูกศร หนึ่งอาชา นำทัพหลายพันคนไล่ฆ่าศัตรูนับพันลี้ด้วยลูกศร สุดท้ายร่างกายของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเื ก่อนจะหมดสติไป
เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันเป็ผู้พิทักษ์แห่งเสวี่ยเยว่ และเป็ที่รู้จักกันในนามว่า กองทหารม้าโลหิต เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้เหล่าข้าศึกก็พากันหวาดกลัวจนตัวสั่น
สิ่งที่ทำให้นิกายหยุนไห่รู้สึกเป็เกียรติมากนั่นคือหลิ่วชั่งหลัน เขาเป็คนของนิกายหยุนไห่ แม้ว่าเขาจะทำงานให้กับราชวงค์ แต่กลับเป็ความภาคภูมิใจของนิกายหยุนไห่มาโดยตลอด
หลิ่วเฟย นางก็แซ่หลิ่วเหมือนกับท่านพ่อของนาง แน่นอนว่ามันทำให้ใครหลายๆ คนต่างชื่นชมและหลงใหลในตัวนาง
“เฟยเฟย ทำไมเ้าคิดอย่างนั้นกับลุงต้วนของเ้ากัน ข้ากับท่านพ่อของเ้านั้นสนิทสนมกันมาก เป็ทั้งมิตรสหายเสมือนพี่น้อง ข้ามีความสุขดีที่เขามีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วข้าจะอิจฉาเขาไปทำไมกัน?”
ต้วนเทียนหลางยิ้มขณะส่ายหน้า และจองเขม็งไปที่ั์ตาของหลิ่วเฟยเผยให้เห็นสีหน้ามีเมตตา จึงทำให้ผู้คนต่างรู้สึกกลัว
เขาและท่านพ่อของหลิ่วเฟยเป็มิตรสหายที่สนิทสนม และเขาได้กล่าวกับหนานกงหลิงว่าถ้าอยากตำหนิก็ให้ไปตำหนิหลิ่วชั่งหลัน หลอกลวง หลอกลวงจนทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียนออกมา
“เ้าและท่านพ่อข้าเป็พี่น้อง เป็มิตรสหาย? งั้นทำไมเ้าต้องทำลายนิกายหยุนไห่ที่ข้าและท่านพ่ออยู่ด้วย?”
หลิ่วเฟยมองใบหน้าของต้วนเทียนหลางอย่างนึกขยะแขยง
“เฟยเฟย นี่คือสิ่งที่ฝ่าา้า ที่ข้าต้องทำลายนิกายหยุนไห่ ทั้งหมดเป็เพราะเพื่อเสวี่ยเยว่ ไม่ใช่เพราะเื่ส่วนตัว อีกอย่างนิกายหยุนไห่ในตอนนี้มีแต่แย่กับแย่ลง มีแต่ศิษย์ที่อ่อนแอและผิดพลาด เทียบไม่ได้กับเงื่อนไขของข้าที่เหนือกว่าของพวกเ้า”
“นอกจากนี้ข้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องยินดีเป็อย่างมาก ถ้าเ้าไม่เชื่อก็ดูด้วยตาตัวเองเถอะ”
รอยยิ้มจอมปลอมของต้วนเทียนหลางพลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก และหันไปมองรอบๆ เมื่อเขากวาดสายตามองไปที่ฝูงชน จู่ๆ เขาก็ดูเย็นะเืทันที
“เมื่อครู่ที่ข้าพูดเป็ความจริง ศิษย์ที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหิน หาก้าออกจากนิกายหยุนไห่ โปรดไปตรงกองทหารม้าโลหิตตรงนั้น จำไว้ว่าพวกเ้าไม่มีเวลาให้เลือกมากนัก”
เมื่อต้วนเทียนหลางกล่าวจบ บรรยากาศรอบๆ พลันปะทุรุนแรงมากขึ้น เหล่าศิษย์ต่างคิดอยู่ภายในใจอย่างกระวนกระวาย
มีศิษย์มากมายมองไปยังอัฒจันทร์ที่ท่านประมุขและเหล่าผู้าุโอยู่
“คนที่อยากไป ก็ไปเถอะ ทิ้งนิกายหยุนไห่ไว้เื้ัเสีย”
จู่ๆ ผู้าุโเป่ยก็พูดขึ้นและโบกมือไปมา จึงทำให้หลายๆ คนต่างสับสน
“ผู้าุโเป่ย”
หนานกงหลิงแสดงให้เห็นสีหน้างงงวย
“ท่านประมุข เคารพในการตัดสินใจของพวกเขาเถิด”
เสียงของผู้าุโเป่ยดูเศร้าโศก ทำไมกัน… ศิษย์ที่มีรายชื่ออยู่บนผนังหินล้วนมีพร์ที่ยอดเยี่ยม มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะสำเร็จมาได้ถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังอนาคตยังสามารถไปได้ไกลกว่านี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
“เอาล่ะ” หนานกงหลิงเข้าใจผู้าุโเป่ยจึงไม่ได้ปฏิเสธไป และพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านประมุขและผู้าุโ”
เมื่อเห็นหนานกงหลิงพยักหน้า และมีศิษย์มุ่งหน้าไปยังกองทหารม้าโลหิตด้วยร่างกายอันสั่นเทาในทันที
มีศิษย์คนหนึ่งนำ จึงมีอีกหลายๆ คนเริ่มเคลื่อนไหว เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็มีศิษย์นับร้อยมุ่งหน้าไปยังกองทหารม้าโลหิต และจำนวนศิษย์ที่ไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน รวมทั้งศิษย์หลัก เห็นได้ชัดว่ามีศิษย์มากมาย้ามีชีวิตรอด
“หยุดอยู่ตรงนั้น” ต้วนเทียนหลางโบกมือ พลางยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขและความภาคภูมิใจ
“เฟยเฟย เ้าเห็นหรือไม่? นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ข้าได้ให้โอกาสที่ดีกว่าแก่พวกเขา พวกเขาล้วนมีคุณสมบัติที่พิเศษและได้ทรยศต่อนิกายหยุนไห่”
แต่สีหน้าของหนานกงหลิงกลับตรงกันข้ามกับเขา ร่างกายตอนนี้สั่นเทาด้วยความโกรธ
“หลินเฟิง เ้าพูดถูก ในยามที่พวกเขาอ่อนแอ นิกายก็ไม่เคยเห็นความสำคัญของพวกเขา และเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะรับใช้นิกายจากใจจริงได้อย่างไร”
หนานกงหลิงจ้องมองไปที่หลินเฟิงที่ยืนอยู่บนลานประลองเป็ตาย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยแต่เมื่อเห็นศิษย์จำนวนมากทรยศเช่นนี้ แม้กระทั่งไม่มีพิจารณาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ในใจของหนานกงหลิงตอนนี้ยังคงเ็ปเป็อย่างมาก
ท่ามกลางวิกฤตจะอยู่หรือตายนั้น เป็อีกหนึ่งการทดสอบที่ดีที่สุดว่าศิษย์เ่าั้มีใครภักดีต่อนิกายหยุนไห่เบ้าง
“น่าเสียดายที่เ้าปรากฏตัวช้าเกินไป ถ้าเ้าเกิดเร็วกว่านี้สักสิบปี บางทีตำแหน่งประมุขนี้อาจเป็ของเ้า หรือบางทีเ้าอาจจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับชั่งหลัน”
หลินเฟิงในตอนนี้ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะเป็เช่นนี้
สำหรับหนานกงหลิงนั้น หลินเฟิงยังคงชื่นชม คงพูดไม่ได้ว่าเขาทำเพื่อตัวเอง อย่างน้อยหนานกงหลิงก็เป็ห่วงเป็ใยนิกายอย่างแท้จริง
