ลมหิมะพัดผ่านกระทบกาย ไออุ่นที่สะสมไว้จากการผิงไฟตั้งนานสลายหายไปภายในชั่วพริบตาเดียว
ไร่ในฤดูหนาวไม่มีงานให้ทำถ้ามิใช่เพราะหลายเดือนมานี้เซี่ยจื่ออวี้ส่งของให้ไม่น้อยข้าวของที่ทางไร่แบ่งสรรแก่สามีภรรยาหวังคงน้อยนิดยิ่งกว่าเดิม้าผิงไฟตอนฤดูหนาวหรือ? ซุกตนเองอยู่ในบ้านห่อผ้าห่มหาความอบอุ่นไปเสียเถอะ! มีฟืนหรือถ่านไม้ให้ที่ไหนนับประสาอะไรกับระบบทำความร้อน [1] ความคึกคักของไร่ก็ผกผันตามจำนวนคนข้าราชการที่มีความสามารถต่างพาครอบคัวทยอนกลับเมืองไป เพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ล้วนหมดหวังในการจะได้กลับเมืองอีกทั้งคนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ร่างกายไม่แข็งแรง เจ็บไข้อ่อนแอทำงานมากไม่ได้ ทำให้ไร่ต้องจ่ายเงินเลี้ยงดูพวกเขาด้วย!
เลี้ยงดูก็จริง แต่ไม่พ้นแค่ให้อาหารเลี้ยงปากท้องไม่ต้องหิวตายคุณภาพชีวิตลำเค็ญเป็ที่สุด
บ้านใครมีบุตรกตัญญู ก็มักจะส่งของมายังไร่มากหน่อยดังนั้นชีวิตจึงพอดำเนินต่อไปไหว
ส่วนคนที่ไม่มีใครดูดำดูดี ก็ตรากตรำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในจดหมายของหวังเจี้ยนหัวไม่เคยปกปิดคุณงามความดีของเซี่ยจื่ออวี้เมื่อก่อนเขายังแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่พอสอบติดมหาวิทยาลัยจึงสามารถส่งเงินและข้าวของมาไร่ได้รัฐอุ้มชูนักศึกษามหาวิทยาลัย ทว่าไม่ได้เลี้ยงดูทั้งครอบครัวของนักศึกษาถ้าไม่มีเงินสนับสนุนของเซี่ยจื่ออวี้ ชีวิตในไร่ของบิดามารดาหวังเจี้ยนหัวไม่อาจพัฒนาเช่นนี้
เมื่อนึกถึงฤดูหนาวเมื่อปีกลายที่เธอและสามีทำได้เพียงอุดอู้อยู่แต่ในห้องสวมใส่เสื้อผ้าทั้งหมด และขดตัวภายในผ้าห่มก็ยังหนาวอยู่ดีแววตาที่มารดาหวังเจี้ยนหัวมองเซี่ยจื่ออวี้จึงมีไมตรีมากยิ่งขึ้น
“จื่ออวี้สินะ เธอลำบากกับเจี้ยนหัวของพวกเรายิ่งนัก แต่ในใจของพ่อเจี้ยนหัวเขาขมขื่นเขายังปลงไม่ตก มักคิดถึงชีวิตเมื่อก่อนของครอบครัว เธออย่าถือสาตาแก่นั่นเลยนะ...ป้าชอบเธอมาก และขอบคุณที่เธอคอยดูแลเจี้ยนหัว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอสนับสนุนเจี้ยนหัวให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาคงยังเสียเวลาในชนบทอยู่”
มีคนสมเหตุสมผลสักคนจนได้ความไม่สบายใจของเซี่ยจื่ออวี้จึงเบาบางลงเล็กน้อย
มารดาหวังเจี้ยนหัวนับความดีความชอบในการสนับสนุนลูกชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยไว้กับเซี่ยจื่ออวี้เซี่ยจื่ออวี้เองก็ไม่ได้ซื่อบื้อถึงขั้นจะอธิบายความจริงออกไป
รับคำขอบคุณของมารดาหวังเจี้ยนหัวไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน และยังปลอบโยนเธอกลับอีกด้วย
“คุณป้า ฉันอยู่กับเจี้ยนหัวไม่ลำบากสักนิด คุณป้ากับคุณลุงอยู่ที่นี่ถึงจะเรียกว่าลำบาก! คุณป้าเชื่อฉันเถอะ ชีวิตจะดียิ่งขึ้น คุณป้าและคุณลุงจะต้อได้ออกจากสถานที่ย่ำแย่แบบนี้แน่นอน”
มารดาหวังเจี้ยนหัวขอบตาแดง
“เด็กดี ขอบคุณที่เธอห่วงใยฉันและพ่อเจี้ยนหัวเสมอนะฤดูหนาวปีนี้หนักกว่าปีก่อนมาก ฉันจะพาเธอไปห้องครัวเพื่อต้มน้ำล้างหน้าและล้างมือเสียหน่อยดีกว่า”
สตรีทั้งสองพบกันครั้งแรก กล่าวคำปลอบใจซึ่งกันและกันเพียงสองสามประโยคความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นขึ้นในบัดดล
ในห้องครัว เซี่ยจื่ออวี้ได้ใช้น้ำอุ่นในการล้างเนื้อล้างตัวตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหาร คุณภาพอาหารการกินของไร่ต่ำมาก วันแรกของตรุษจีนนั้นถึงได้เห็นเนื้อติดมันสักชิ้นสองชิ้นในน้ำแกงผู้คนที่เคยเป็ข้าราชการเหล่านี้เกือบต่อสู้กันเพียงเพื่อแย่งเนื้อสัตว์เพิ่ม ดังนั้นเมื่อเซี่ยจื่ออวี้อุ่นซาลาเปาไส้หมูที่นำติดตัวมาอยู่ในครัวจนร้อนดีกลิ่นหอมจึงฟุ้งทั่วห้อง ศีรษะของคนอื่นหน้าประตูต่างกำลังพากันชะเง้อหา
“วันนี้วันอะไร กินเนื้อหรือ?”
“นายได้กลิ่นไปเองแล้ว ตรุษจีนเพิ่งกินเนื้อไป นี่ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยนะ”
“แต่นี่เป็กลิ่นเนื้อชัดๆ”
กลิ่นซาลาเปาไส้หมูหอมหวนยิ่งนักเซี่ยจื่ออวี้มองคนสองคนที่หน้าประตูรับส่งกันราวกับกำลังร้องเสี้ยงเซิง [2] ซาลาเปาที่เธอเตรียมมานั้นมีจำนวนไม่น้อย แต่พบใครก็ไม่อาจให้ได้หรือเปล่า? เธอมองว่าที่แม่สามีหวังว่าจะได้รับสัญญาณบอกใบ้บ้าง มารดาหวังเจี้ยนหัวแค่แสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน
เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้
เซี่ยจื่ออวี้เข้าใจสถานการณ์ทันที
คนสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูพูดคุยกันอยู่นานแต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงก่นด่าว่าขี้เหนียวโดยไม่กลัวว่าพวกเธอจะได้ยินจากนั้นจึงเดินจากไป
หร่านซูอวี้ยกยิ้มอย่างขมขื่น เอื้อเฟื้อหรือ?ถ้าเอื้อเฟื้อเธอและสามีคงหิวตายไปตั้งนานแล้ว! เป็คนโชคร้ายที่ซุกหัวอยู่ไร่และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้หลุดพ้นเหมือนกันเธอจึงไม่จำเป็ต้องทนให้ท้องหิวโหยเพื่อไปประจบประแจงใคร! การยกซาลาเปาให้พวกเขารับประทานทำให้เธอและสามีออกจากสถานที่เลวร้ายนี้ได้หรือ? มีแต่จะถูกคิดว่าเป็คนแสนดีเท่านั้น วันนี้ให้ซาลาเปาพรุ่งนี้คนพวกนั้นก็ต้องหน้าด้านมาขอยืมถ่าน หรือมายืมยารักษาโรคที่ล้ำค่ากว่าอาหารและอุปกรณ์ทำความอบอุ่น
อาหารไม่พอยังทนหิวได้สักสองมื้อทว่าความรู้สึกของการเจ็บป่วยจนต้องนอนบนเตียงช่างทรมานยิ่งนักหร่านซูอวี้ไม่อยากลิ้มลองรสชาติของความเจ็บป่วยนี้อีกครั้งโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เซี่ยจื่ออวี้ก็นึ่งซาลาเปาจนร้อนจ่ายเงินอีกเล็กน้อยเพื่อซื้อน้ำสองขวดจากห้องครัวเดินถือกลับไป
เมื่อเห็นเซี่ยจื่ออวี้จ่ายเงินเพื่อน้ำเพียงสองขวด หร่านซูอวี้ก็รู้สึกไม่เข้าใจเซี่ยจื่ออวี้ไม่เสียดายเงินแม้แต่น้อย
“ให้เจี้ยนหัวล้างเท้าอุ่นมือเสียหน่อยน่ะค่ะ”
หร่านซูอวี้ปลื้มปีติยิ่งนัก ภรรยาควรคำนึงถึงสามีเสมอเธอพึงพอใจในความฉลาดและเอาใจใส่ของเซี่ยจื่ออวี้สถานะทางการเงินบ้านหวังไม่เหมือนเก่าหร่านซูอวี้คิดว่าหากหวังเจี้ยนหัวหาคู่หมายที่มีฐานะดีช่วยเหลือได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ แต่หวังเจี้ยนหัวไร้คนปรนนิบัติแน่นอน อย่าว่าแต่ถือน้ำร้อนให้หวังเจี้ยนหัวล้างมือล้างเท้าเลยอาจต้องให้หวังเจี้ยนหัวคอยปรนนิบัติแทนเสียด้วยซ้ำ!
ใจหร่านซูอวี้ยอมรับการเลือกของลูกชาย ท่าทีที่มีต่อเซี่ยจื่ออวี้จึงเป็กันเองมากขึ้น
ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกลับถึงบ้าน บรรยากาศในห้องกลับไม่ค่อยดีนักบิดากับบุตรชายตระกูลหวังพูดคุยไม่ลงรอยจึงแยกตัวกัน เซี่ยจื่ออวี้ทำเป็ไม่รับรู้และเรียกหวังเจี้ยนหัวให้อุ่นเท้า
หร่านซูอวี้หาอ่างไม้ให้ หวังเจี้ยนหัววางเท้าที่เย็นแข็งลงในอ่างสบายเสียจนแทบอยากครางออกมา
กลางวันของฤดูหนาวนั้นสั้น ฟ้าสว่างช้าและมืดไว พอทั้งสี่คนรับประทานซาลาเปาเสร็จท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว ไฟฟ้าของที่นี่จำกัดเวลาใช้ทุกวันหร่านซูอวี้ทราบั้แ่แรกว่าพวกหวังเจี้ยนหัวจะมา ห้องหับในไร่ว่างอยู่ไม่น้อยเธอจึงยืมห้องว่างหนึ่งห้อง และพยายามรวบรวมเครื่องนอนออกมาให้ จากนั้นก็พาเซี่ยจื่ออวี้ไปพักผ่อนที่อีกห้องหนึ่ง
แน่นอนว่าไม่ใช่การนอนห้องเดียวกับหวังเจี้ยนหัว ทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกันหากคนนอกรู้เข้าจะเยาะเย้ยเอาได้
ตกกลางคืนหวังเจี้ยนหัวและบิดานอนห้องเดียวกันส่วนหร่านซูอวี้และเซี่ยจื่ออวี้นอนด้วยกัน
“คุณลุง เจี้ยนหัว ทั้งสองคนรีบพักผ่อนเถอะนะคะ”
เซี่ยจื่ออวี้ทิ้งท้ายและตามหร่านซูอวี้ออกไป หวังเจี้ยนหัวก็ตามออกไปส่งด้วย “ไปเถอะ ฉันกับเธอไปยืมผ้านวมอีกสองผืนจากคนดูแลไร่กันกลางคืนอากาศยิ่งเย็น เธอกับแม่ฉันหนาวจนแข็งจะทำอย่างไร?”
คนของไร่ไม่เป็มิตร แต่หากใช้ต้าถวนเจี๋ยก็ถือเป็อีกเื่หนึ่งแล้ว
ขอแค่จ่ายเงินไหว อย่าว่าแต่ผ้านวมสองผืนเลย ทางไร่ยังสามารถจัดแจงถุงอุ่นที่บรรจุน้ำร้อนให้อีกด้วยถุงน้ำร้อนสองอันใส่ไว้ในผ้านวมจะอบอุ่นได้เกือบทั้งคืน เผาถ่านยังต้องระวังว่าจะได้รับสารพิษดังนั้นถุงน้ำร้อนจึงปลอดภัยกว่า ข้าราชการจำนวนหนึ่งของไร่ที่ยังไม่สามารถกลับเมืองได้ย่อมไม่มีทางเพลิดเพลินกับสวัสดิการเช่นนี้ฟืนที่ใช้สำหรับสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาวล้วนเป็สิ่งที่พวกเขาเก็บรวบรวมเองก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
เก็บมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะคนของไร่จะยึดเอาไว้นอกเสียจากติดสินบนบ่อยครั้งคนของไร่ก็จะหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้ผิงไฟสร้างความอบอุ่นกันตามสบาย
การติดสินบนมีทั้งจ่ายด้วยเงินและสิ่งของ เช่นพวกเขาที่ยังไม่ได้กลับเมืองนอกจากจะถูกองค์กรหลงลืมไปแล้ว ครอบครัวก็ไร้ซึ่งผู้มีอำนาจมาคอยมอบความช่วยเหลือเดิมทีสามีภรรยาบ้านหวังก็เป็คนที่ถูกละทิ้ง ทว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหวังเจี้ยนหัวมุมานะสอบติดมหาวิทยาลัยและเริ่มส่งของมายังไร่เ้าหน้าที่ดูแลไร่ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของบ้านหวัง นึกคิดไปเองว่าบ้านหวังมีผู้มีอำนาจคอยส่งของมาช่วยเหลือจึงผ่อนปรนความเข้มงวดในการคุมพวกเขา
หร่านซูอวี้มองอยู่ข้างๆ ตอนเซี่ยจื่ออวี้ให้เงินไปนั้นไม่มีท่าทีเสียดายสักนิดเดียว
แม้ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่อย่างน้อยก็แปลว่าเซี่ยจื่ออวี้พอมีเงินทองถึงได้มั่นใจเช่นนี้เธอไม่รบกวนการปูที่นอนของวัยรุ่นทั้งสอง จึงกลับบ้านไปหยิบหมอนตามลำพังเห็นสามียังอารมณ์ไม่เบิกบานอยู่ ก็อดโพล่งคำถามที่อยู่ในใจออกไปไม่ได้
“ฉันว่าแม้เด็กจื่ออวี้คนนี้จะมีภูมิลำเนาชนบท แต่เหมือนฐานะจะพอใช้ได้นะ?”
หลายเดือนที่ผ่านมา เงินและข้าวของที่ถูกส่งมาไร่เป็ครั้งคราวรวมกันแล้วเป็จำนวนหลายร้อยหยวนมาเยี่ยมเยียนคราวนี้ก็ถือของฝากถุงเล็กถุงใหญ่มากมายมาให้เมื่อก่อนหร่านซูอวี้ไม่มีทางเห็นความสำคัญของเงินและสิ่งของเพียงแค่นี้ต่อให้คนอื่นรู้สึกหิวโหย เธอก็ไม่ได้หิวโหยด้วยอยู่ดี ทว่าตอนนี้นั้นไม่เหมือนกันคนที่เคยลำบากเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ไร้ซึ่งเงินทองและข้าวของอื่นๆชีวิตช่างทรมานเสียจริง!
หวังก่วงผิงไม่ยี่หระ “เจี้ยนหัวบอกว่าพ่อแม่เธอทำธุรกิจอิสระด้านนอกไม่ใช่ว่ากำลังปฏิรูปเศรษฐกิจหรือ ทำธุรกิจคงได้เงินบ้างล่ะนะ”
หวังก่วงผิงไม่สนใจ เขาช่างรู้จักความเป็ไปภายนอกน้อยเหลือเกินไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยสิ้นเชิง ความเข้าใจต่อการทำธุรกิจอิสระของเขานั้นยังคงเป็พวกการลอบจำหน่ายสินค้าที่มีผลพลอยได้ทางการเกษตรในตลาดมืดอยู่ด้วยซ้ำ
เชิงอรรถ
[1]ในที่นี้คือ 供暖 เป็ระบบการทำความร้อนในอาคารเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในห้องให้อบอุ่น แก้ไขปัญหาความหนาวเย็นโดยระบบกลางจะคอยเติมเชื้อเพลิงทำความร้อน และส่งความร้อนตามท่อไปยังอาคารบ้านเรือนต่างๆ
[2] 相声 เสี้ยงเซิง คือการทอล์คโชว์ที่แสดงด้วยคนสองคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้