ซูเหลียนหรูถูกประชดจนพูดไม่ออก นางทั้งโกรธทั้งแค้น “หลิวอวิ๋นชู ของของเ้าหายไป แล้วทำไมต้องดึงข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย! สมบัติประจำตระกูลของเ้าหรือจะเทียบกับสร้อยมุกพระราชทานของข้า?”
หลิวอวิ๋นชูเบะปาก “ชิ ไหนบอกว่าทุกคนในวิทยาลัยหลวงมีสิทธิเท่าเทียมกันไง ขนาดสิ่งของยังถูกแบ่งชนชั้นเลย นับประสาอะไรกับนักศึกษาในวิทยาลัยหลวง”
ซูเหลียนหรูหันไปบอกซูกู้เหยียน “อาจารย์ หลิวอวิ๋นชูจงใจปั่นหัวพวกเราเล่นชัดๆ!”
ซูกู้เหยียนครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นจึงพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ทุกคนในวิทยาลัยมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะใดๆ ทั้งนั้น สิ่งของก็เช่นกัน หยกของหลิวอวิ๋นชูกับสร้อยมุกขององค์หญิงเจ็ดล้วนมีความสำคัญเท่ากัน เพียงแต่ การสงสัยว่าผู้อื่นเป็ขโมยโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้ หาใช่สิ่งที่พึงกระทำไม่ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง พวกเ้าทุกคน ลองค้นโต๊ะของตัวเองดูก่อนว่ามีหยกของท่านชายหลิวอยู่หรือไม่ ท่านชายหลิวจะได้หมดข้อสงสัยเสียที”
หลิวอวิ๋นชูพูดอย่างไม่ถือสา “อาจารย์พูดถูก ข้าไม่ควรค้นโต๊ะของพวกเ้าอย่างไร้มารยาทอย่างที่องค์หญิงเจ็ดเคยทำจริงๆ นั่นแหละ พวกเ้าลองค้นกันเองเถอะ แค่ให้ข้าดูอยู่ห่างๆ ก็พอ”
เขาเดินไปตามเส้นทางในห้องแล้วหันซ้ายแลขวาไม่หยุด เมื่อเดินมาที่ด้านหน้าสุดของห้อง เขาก็จ้องไปที่ซูเหลียนหรูตาไม่กะพริบ ซูเหลียนหรูตรวจสอบของในโต๊ะของตนด้วยท่าทางหยิ่งผยอง หลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นจึงยิ้มร่า “องค์หญิงเจ็ด ให้ข้าช่วยค้นให้ดีหรือเปล่า?” เขาถกแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะเข้าไปหาซูเหลียนหรู
ซูเหลียนหรูรีบพูดขึ้น “อย่าได้คืบจะเอาศอกนะ!”
หลิวอวิ๋นชูหน้าหนาอยู่แล้ว เขาพูดทวนประโยคที่ซูเหลียนหรูเคยพูดกับเฟิ่งสือจิ่น “ใต้โต๊ะเรียนก็มีแค่ตำราเรียนธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าอายเสียหน่อย ก็แค่ค้นใต้โต๊ะครู่เดียว ไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์เสียหน่อย หรือเ้ากลัวว่าจะถูกจับได้ เลยไม่กล้าให้ค้น?”
คำพูดของเขาแดกดันได้อย่างเจ็บแสบเหลือเกิน ซูเหลียนหรูสบถเสียงต่ำ “จะค้นก็ค้นเลย แต่หากไม่เจออะไร เ้าต้องอธิบายเื่นี้แก่ข้า”
ทว่าเมื่อนางยื่นมือเข้าไปใต้โต๊ะ ยังไม่ทันได้ควานหาเลยด้วยซ้ำ นิ้วมือก็ััโดนวัตถุที่มีผิวเย็นและเนียนเรียบชิ้นหนึ่ง ซูเหลียนหรูหัวใจกระตุกวูบ นางคุ้นเคยกับััเช่นนี้ดี มันเป็ััจากหยกนั่นเอง ซูเหลียนหรูไม่ได้โง่ เมื่อรู้ดังนั้นนางก็เข้าใจทันทีว่าทั้งหมดนี้เป็แผนการของหลิวอวิ๋นชู เขา้าทำให้นางอับอาย!
แต่ความหยิ่งทะนงที่ติดตัวมาั้แ่เกิด ไม่อนุญาตให้นางติดกับเช่นนี้ นางเริ่มคิดแผนการขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือเรียวรีบยัดหยกชิ้นนั้นกลับเข้าไปลึกกว่าเดิม หากหลิวอวิ๋นชูหาไม่เจอ เขาก็ใส่ร้ายนางไม่ได้แล้ว และนางก็ไม่มีทางคืนหยกชิ้นนี้ให้เขาเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น นอกจากแผนจะล้มเหลวแล้ว หลิวอวิ๋นชูยังสูญเสียหยกประจำตระกูลไปโดยเสียเปล่า ซึ่งเขาไม่อาจฟ้องร้องกับใครได้ ทำได้แค่ข่มความเ็ปเอาไว้ในใจคนเดียว
แต่ยังไม่ทันที่แผนจะสำเร็จ หลิวอวิ๋นชูก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ราวรู้ทันนิสัยและความคิดของซูเหลียนหรูเช่นนั้น เขาประกายรอยยิ้มสดใสพลางเดินเข้าไปใกล้ แล้วจับข้อมือที่เตรียมจะดันหยกเข้าไปในมุมมืดของซูเหลียนหรูเอาไว้อย่างแม่นยำ
ซูเหลียนหรูสะดุ้งเฮือก ใบหน้าของนางซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด “ทำอะไรของเ้า บังอาจทำตัวเสียมารยาทกับองค์หญิงหรือ?” ซูเหลียนหรูคำรามเสียงแหลม
หลิวอวิ๋นชูบังคับดึงมือของซูเหลียนหรูกลับออกมา บัดนี้ นิ้วสวยของนางกำลังจับหยกแขวนชิ้นหนึ่งเอาไว้ และหยกชิ้นนั้นก็คือหยกสมุทรครามที่หลิวอวิ๋นชูกำลังตามหานั่นเอง ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แม้แต่ซูเหลียนหรูก็ยังอดรู้สึกหนักใจขึ้นมาไม่ได้ น่าเสียดายที่หลิวอวิ๋นชูจับนางได้อย่างอยู่หมัด และนางก็ไม่อาจหนีออกจากกับดักนี้ได้เลย
หลิวอวิ๋นชูหรี่ตา พลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย “นี่คืออะไร ทำไมหยกแขวนของข้าถึงไปอยู่กับองค์หญิงได้ ตอนนี้จับได้คาหนังคาเขา ยังมีอะไรอยากพูดอีก?”
ซูเหลียนหรูตอกกลับอย่างเย้ยหยัน “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยกแขวนของเ้ามาอยู่กับข้าได้อย่างไร เ้าคิดว่าหยกแขวนธรรมดาๆ เช่นนี้จะเข้าตาข้าหรือ? นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆ!” นางหันไปมองซูกู้เหยียน “อาจารย์ โปรดให้ความยุติธรรมกับข้าด้วย!”
หลิวอวิ๋นชูยืดตัวตรง เขาหยิบหยกแขวนออกมาจากมือของซูเหลียนหรู พลางพูดอย่างใจเย็น “เ้ามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าข้าใส่ร้ายเ้า? ตอนที่เ้าหาสร้อยมุกของตัวเองเจอจากลิ้นชักใต้โต๊ะของคนอื่น ทำไมเ้าถึงไม่คิดว่าเป็การใส่ร้ายบ้างล่ะ?” เขาหันไปทำความเคารพต่อซูกู้เหยียน “อาจารย์ วิทยาลัยหลวงมีกฎระเบียบเคร่งครัด องค์หญิงเจ็ดขโมยสมบัติประจำตระกูลของข้า ต่อให้เป็เชื้อพระวงศ์ หากทำผิดก็ต้องได้รับโทษไม่ต่างจากราษฎร นางควรถูกเฆี่ยนด้วยแส้วินัยยี่สิบครั้ง!”
ซูกู้เหยียนกำลังครุ่นคิดว่าควรจะจัดการกับเื่นี้อย่างไร
กงเยี่ยนชิวก้าวออกมาอย่างรู้หน้าที่ “ท่านอาจารย์ องค์หญิงเจ็ดมีฐานะสูงส่ง มีสมบัติล้ำค่ามากมาย ด้วยนิสัยขององค์หญิง เป็ไปไม่ได้ที่จะขโมยสมบัติประจำตระกูลของท่านชายหลิว ศิษย์คิดว่าเื่นี้ต้องเป็เื่เข้าใจผิดกันแน่ ไม่แน่ อาจมีคนจงใจยัดหยกแขวนของท่านชายหลิวเข้าไปในโต๊ะขององค์หญิงเองก็ได้ อาจารย์ โปรดตรวจสอบเื่นี้ด้วย”
หลิวอวิ๋นชูห้อยหยกแขวนไว้ที่เอวท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลาย พลางพูดขึ้นด้วยเสียงเกียจคร้าน “ใครจะไปรู้ว่าองค์หญิงเจ็ดมีรสนิยมประหลาดอะไรหรือไม่หยกนี้เป็ของที่จะส่งมอบไปสู่ภรรยาในอนาคตของข้า ไม่แน่ นางอาจแอบชอบข้าอยู่ก็ได้”
“บังอาจนัก!” ซูเหลียนหรูกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ข้าเป็ถึงองค์หญิงแห่งแคว้นจิ้น จะหมายตาอันธพาลอย่างเ้าได้อย่างไร!”
หลิวอวิ๋นชูไม่ได้โกรธเพราะคำพูดของนาง กลับกัน เขากลับหันไปมองกงเยี่ยนชิวด้วยรอยยิ้มแทน “แต่คุณหนูกงก็พูดถูก ไม่แน่ อาจมีคนยัดหยกเข้าไปในโต๊ะ เพื่อใส่ร้ายองค์หญิงก็ได้ ครั้งนี้เป็เช่นนี้ได้ เื่ของเฟิ่งสือจิ่นก็อาจจะเป็เช่นนี้เหมือนกัน ไม่ใช่หรือ? ในเมื่ออาจารย์อยากตรวจสอบเื่นี้ เช่นนั้นก็ตรวจสอบเื่ของเฟิ่งสือจิ่นไปด้วยเลยเถิด”
เจี่ยนซืออินโกรธจนแทบจะเสียสติ นางพูดขึ้น “เื่นั้น เ้าเป็คนยัด...”
กงเยี่ยนชิวรีบดึงแขนเสื้อของเจี่ยนซืออินเป็การห้ามปราม เจี่ยนซืออินจึงเงียบเสียงลง
หลิวอวิ๋นชูพูดต่อ “เอ๋... ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ วันนั้น ข้าเห็นคุณหนูกงกับน้องซืออินพาเฟิ่งสือจิ่นไปที่ห้องสมุดร้างที่ป่าด้านหลัง ตอนข้าไปถึง เห็นองค์หญิงเจ็ดกับเฟิ่งสือจิ่นกำลังสนทนากันอยู่ ตอนนั้น เฟิ่งสือจิ่นหน้าบวมไปข้างหนึ่ง แต่องค์หญิงเจ็ดกลับบอกว่านางหกล้มเอง” ซูเหลียนหรูขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ อีกด้าน หลิวอวิ๋นชูพูดทอดถอนใจ “ถึงว่า นางถึงไม่มาเรียนตลอด่บ่าย เมื่อมาคิดเช่นนี้แล้ว เื่นี้ดูน่าสงสัยไม่น้อยเลย...”
ถึงว่า เฟิ่งสือจิ่นหายไปทั้งวัน
ซูเหลียนหรูหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยียบ “หรือว่า แม้แต่การที่เฟิ่งสือจิ่นหกล้มก็เป็ความผิดของข้าด้วยหรือ ข้าอุตส่าห์หวังดี เข้าไปเช็ดหน้าให้นาง แต่กลับทำบุญได้บาปสินะ? เ้ามีหลักฐานอะไร ถึงได้มาพูดป้ายสีผู้อื่นเช่นนี้?”
หลิวอวิ๋นชูเบะปาก “ข้าไม่มีหลักฐาน เช่นนั้น เ้ามีหลักฐานที่ยืนยันว่าไม่ได้ขโมยหยกแขวนของข้าหรือไม่?”
ซูเหลียนหรูโกรธจัดจนเริ่มหายใจหอบ
หลิวอวิ๋นชูพูดขึ้นอีก “เ้าเองก็ไม่มีหลักฐาน วันนั้นก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเฟิ่งสือจิ่นขโมยสร้อยมุกของเ้าด้วยเช่นกัน ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นก็ให้นางกลับมาเรียนที่วิทยาลัยหลวงเถิด” พูดจบก็หันไปคารวะซูกู้เหยียนอีกครา “อาจารย์ โปรดอนุญาตด้วย”
คาบเรียน่เช้าถูกรบกวนจนแทบไม่ได้เรียน แน่นอน ซูเหลียนหรูไม่มีทางถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีถึงยี่สิบครั้งอยู่แล้ว แต่นางถูกสั่งให้กลับไปคัดหนังสือห้าจบเท่านั้น ทางด้านของเฟิ่งสือจิ่น นางได้รับอนุญาตให้กลับมาศึกษาที่วิทยาลัยหลวงอีกครั้ง หรือจะพูดให้ถูกต้อง ซูกู้เหยียนไม่เคยสั่งห้ามไม่ให้นางมาศึกษาในวิทยาลัยหลวงั้แ่แรกแล้ว
เมื่อเื่นี้ไปถึงหูของเฟิ่งสือจิ่น นางก็รู้สึกใเป็อย่างมาก คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหลิวอวิ๋นชูที่ทำตัวเป็อริกับนางมาโดยตลอด จะสร้างเื่ใหญ่โตเช่นนี้เพื่อนาง เขาช่างใจกล้าบ้าบิ่น ไม่เกรงกลัวผู้ใดเลยจริงๆ