่บ่าย หลังเลิกเรียน ซูเหลียนหรูเดินออกมาจากห้องเรียน ขณะเดินผ่านหลิวอวิ๋นชู นางก็ชะงักลงเล็กน้อย แล้วเขม่นหลิวอวิ๋นชูด้วยสายตาเย็นะเื “ฝากไว้ก่อนเถอะ” นางพูดทิ้งท้าย
หลิวอวิ๋นชูสั่นร่างกาย พลางพูดด้วยเสียงกระเส่า “ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว~”
ท่านโหวอันกั๋ว บิดาของหลิวอวิ๋นชูได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยหลวงก็โมโหจนแทบจะกระอักเื เขาเตรียมไม้แส้เอาไว้ก่อนที่หลิวอวิ๋นชูจะกลับถึงบ้านเสียอีก ทันทีที่หลิวอวิ๋นชูก้าวขาเข้าไปในบ้าน ท่านโหวอันกั๋วก็สั่งกับผู้ดูแลประจำบ้าน “ปิดประตู เด็กๆ จับเ้าลูกทรพีคนนี้เอาไว้!”
หลิวอวิ๋นชูถูกจับตัวเอาไว้โดยที่ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์เลยด้วยซ้ำ ท่านโหวอันกั๋วเหวี่ยงแส้ฟาดลงบนร่างของเขา พลางพูดด้วยความโมโหเพราะลูกชายไม่ได้ดั่งใจ “ไปมีเื่กับใครไม่ไป ทำไมต้องไปทะเลาะกับองค์หญิงเจ็ดด้วย เ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไงถึงได้กล้าหาญชาญชัยเช่นนี้? บิดายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามปี แค่ไม่ถูกเ้ายั่วโมโหจนหัวใจวายตายก็บุญแค่ไหนแล้ว! เ้าตาบอดหรือไง เฟิ่งสือจิ่นมีฐานะเป็อย่างไร แล้วองค์หญิงเจ็ดมีฐานะเป็อย่างไร เ้าไม่รู้หรือไงว่าควรเลือกข้างไหน? เอาแต่หาเื่วุ่นวายไปทั่ว ไม่มีใครชอบขี้หน้าเ้าสักคน อนาคตคงหาภรรยาไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ช้าก็เร็ว บ้านเราต้องถูกเ้าผลาญจนล้มละลายแน่ หากเ้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจนทำให้ตระกูลหลิวของเราเดือดร้อนไปด้วยละก็ เ้าจะกลายเป็คนบาปที่ทำลายพวกเราทั้งตระกูล! ถุย! เ้าลูกทรพีเอ๊ย!”
ท่านโหวอันกั๋วเบิกตากว้างพลางคำรามด้วยความโกรธ เขาด่าฉาดใหญ่โดยไม่ติดขัดเลยสักนิด ดูก็รู้ว่าสั่งสอนลูกชายเช่นนี้บ่อยจนช่ำชอง ทางด้านของหลิวอวิ๋นชู เขาถูกเฆี่ยนบ่อยจนเนื้อหนังในร่างกายทั้งหนาทั้งด้านไปหมดแล้ว ไม่เจ็บไม่คันด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น เมื่อถูกตีก็ยังแสดงท่าทีเ็ปอย่างออกนอกหน้า
ฮูหยินใหญ่แห่งจวนท่านโหวอันกั๋วยืนอยู่ข้างๆ นางประสานมือเอาไว้ที่ด้านหน้าอย่างสุภาพ พลางพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ท่านโหว ตีเสร็จก็เข้าไปกินมื้อเย็นกันเถอะ”
หลิวอวิ๋นชูร้องโอดครวญพลางพูดขึ้น “ท่านพ่อ ต้องเลือกยืนข้างไหน หรือเวลาไหนควรทำอะไร เื่แบบนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ข้ารู้ดีว่าความถูกต้องและยุติธรรมเป็อย่างไร ข้ารู้แค่ว่าจะทำสิ่งที่ผิดต่อจิตสำนึกของตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ต้องถูกกรรมตามสนองแน่...”
ท่านโหวอันกั๋วง้างมือขึ้น คล้ายกำลังจะเหวี่ยงแส้ลงอีกที “อยากถูกตีอีกใช่ไหม ยังกล้ามาเถียงข้าอีก! เ้าลูกเนรคุณไร้จิตสำนึก เ้าเคยทำเื่ผิดศีลธรรมน้อยมากหรือไง ถ้ายังกล้าเถียงอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะใช้แส้ฟาดหน้าเ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเชื่อหรือไม่?”
หลิวอวิ๋นชูปิดหน้าตัวเองด้วยท่าทางราวถูกรังแก คล้ายกลัวว่าท่านโหวอันกั๋วจะเหวี่ยงแส้ลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของตนจริงๆ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพูดต่อไป “ต่อให้เป็อย่างที่ท่านว่า เฟิ่งสือจิ่นก็ไม่ได้ด้อยกว่าองค์หญิงเจ็ดนี่ ต่อไปองค์หญิงเจ็ดก็ต้องแต่งงานกับคนอื่น และยังเป็ได้แค่องค์หญิงเหมือนเดิม แต่เฟิ่งสือจิ่นเป็ศิษย์เอกของท่านราชครู ต่อไป นางจะกลายเป็ราชครูของแคว้นจิ้นซึ่งมีอำนาจสั่งฟ้าสั่งฝนได้เชียวนะ!”
ท่านโหวอันกั๋ว “...” ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงข้อนี้นะ เหตุนี้ เื่นี้จึงถูกปล่อยผ่านไปเพียงเท่านี้ เขาทิ้งแส้แล้วสะบัดชายเสื้อ หมุนตัวกลับเข้าไปในโถงอาหาร “ไสหัวเข้ามากินข้าวเดี๋ยวนี้!”
คิดไม่ถึงว่าเมื่อวิทยาลัยหลวงส่งข่าวไปที่จวนราชครูว่าเฟิ่งสือจิ่นได้รับอนุญาตให้กลับมาเรียนต่อ แถมยังส่งคนไปเรียกตัวถึงสองครั้งแล้ว แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยังไม่ยอมกลับไปเรียนเสียที
ผลคือหลิวอวิ๋นชูถูกบิดาของเขาเล่นงานอีกครั้ง
ท่านโหวอันกั๋วตีไปพลาง พูดไปพลาง “ใครใช้ให้เ้าเสนอหน้าไปทำตัวเป็คนดีเช่นนี้ เห็นหรือยัง เ้าบาดหมางกับองค์หญิงเจ็ดแล้ว แต่จวนราชครูกลับไม่เห็นน้ำใจ! ทำไมข้าถึงได้มีลูกชายที่ไม่เอาไหนแบบเ้า!”
หลิวอวิ๋นชูปิดหน้าตัวเองพลางพูดด้วยท่าทางน้อยใจ “เช่นนั้นท่านก็คลอดลูกอีกคนสิ...”
ท่านโหวอันกั๋วพูด “...คลอดบ้านป้าเ้าน่ะสิ!”
หลิวอวิ๋นชูกล่าว “ลูกสาวก็ไม่เลวนะ...”
ท่านโหวอันกั๋วว่าอีก “ข้าโมโหจนปวดหัวไปหมดแล้ว ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิวอวิ๋นชูทั้งน้อยใจทั้งโมโห เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที “ข้าไปก็ได้!”
่พลบค่ำ เฟิ่งสือจิ่นกับจวินเชียนจี้เตรียมจะกินมื้อเย็นในห้องอาหารที่แสนราบเรียบ อาหารเย็นของพวกเขาก็เรียบง่ายมากเช่นกัน โดยอาหารส่วนมากเป็อาหารเจ เพื่อบำรุงร่างกายให้เฟิ่งสือจิ่น จวินเชียนจี้ยังต้มซุปกระดูกหมูด้วยตนเอง ซุปยังไม่เสร็จ เฟิ่งสือจิ่นกับเ้าสามมัดก็นั่งกลืนน้ำลาย รอคอยซุปตาแป๋วเสียแล้ว เ้าสามมัดกระดิกหางเงางามบนร่างอย่างตื่นเต้น มันกำลังรอคอยด้วยตาเป็ประกาย เพื่อเตรียมพร้อมจึงเข้าประจำที่และรออาหารจากเ้านาย
คิดไม่ถึงว่าในยามพลบค่ำเช่นนี้ ซูกู้เหยียนจะมาเยือนที่จวนราชครูด้วยตนเอง
ขณะที่เด็กรับใช้ในจวนมารายงาน จวินเชียนจี้จับทัพพีเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จับฝาหม้อเอาไว้ เขามีใบหน้านิ่งเรียบ กำลังคนซุปในหม้ออย่างเบามือ จากนั้นก็ใช้ทัพพีตักน้ำซุปขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จจึงพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “องค์ชายสี่มาด้วยธุระใด? มากินมื้อเย็นหรือ?”
ละอองน้ำที่ลอยออกมาจากหม้อลูบผ่านใบหน้าของเขาไปอย่างแ่เบา นิ้วยาวที่มีข้อกระดูกงดงามกับเล็บกลมที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดีมีละอองน้ำปกคลุมอยู่ แลดูชุ่มฉ่ำราวเพิ่งถูกน้ำชโลมผ่าน เย้ายวนน่ากินกว่าซุปในหม้อเสียอีก
เฟิ่งสือจิ่นกลืนน้ำลายที่เอ่อเต็มปากลงคอก่อนจะถามขึ้น “อาจารย์ รสชาติเป็อย่างไรบ้าง?”
จวินเชียนจี้บอก “ใช้ได้”
เด็กรับใช้รออยู่นาน ในที่สุดก็ถามด้วยเสียงแ่ “ท่านราชครู ไม่ทราบว่าท่าน... จะไปพบองค์ชายสี่หรือไม่?”
จวินเชียนจี้พูด “พาเขามาที่นี่”
“ขอรับ”
เมื่อซูกู้เหยียนมาถึง เฟิ่งสือจิ่นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่พลางดื่มน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อย นางหยิบกระดูกขึ้นมาหนึ่งชิ้น หลังดูดกินอยู่สักพัก ก็ส่งต่อไปให้เ้าสามมัดที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว เ้าสามมัดเลียกระดูกชิ้นนั้นอย่างเบิกบาน เฟิ่งสือจิ่นดูดน้ำมันที่ติดอยู่บนนิ้วมือของตนเบาๆ ริมฝีปากสีแดงที่เปิดและปิดลงดูเหมือนมะเขือเทศหวานฉ่ำ ช่างยั่วยวนเหลือเกิน
ซูกู้เหยียนชะงักลงเล็กน้อย เขารู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางการกินอาหารของเฟิ่งสือจิ่นอย่างน่าประหลาด จู่ๆ ความทรงจำก็ลอยกลับไปเมื่อหลายปีก่อน บนถนนที่เปลี่ยวเหงา สายฝนที่มีขนาดเล็กราวกับใยแมงมุมโปรยปรายลงมาอย่างเงียบงัน เขาจับมือที่เย็นเยียบของเด็กหญิงเอาไว้ และเดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กับนาง กำลังส่งนางกลับบ้าน
ลุงที่ขายผลไม้ชุบวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว กำลังวิ่งหลบสายฝนที่โปรยปรายลงมานั่นเอง ซูกู้เหยียนเหลือบไปเห็นท่าทางอยากกิน ทว่าดื้อรั้นของเด็กหญิง จึงซื้อผลไม้ชุบมาหนึ่งไม้ แล้วยื่นให้นาง “ข้าให้”
เด็กหญิงอมผลไม้ชุบเอาไว้ น้ำตาลสีแดงติดเลอะริมฝีปาก ทำให้ปากเล็กๆ แลดูอวบอิ่มและแดงสดยิ่งขึ้น นางยิ้มจนตาหยี “น้ำตาลนี่หวานจัง...”
นี่เป็ภาพเหตุการณ์ตอนที่ซูกู้เหยียนได้เจอเฟิ่งสือหนิงเป็ครั้งแรก ผ่านมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยได้เห็นเฟิ่งสือหนิงกินอาหารมูมมามเช่นนั้นอีกเลย สายตาที่มองไปยังเฟิ่งสือจิ่นเต็มไปด้วยความสับสน บางที อาจเพราะทั้งสองคนเป็พี่น้องฝาแฝดกัน จึงมีนิสัยและท่าทีเหมือนกันเช่นนี้
จวินเชียนจี้ยกถ้วยกับตะเกียบมาตั้งที่โต๊ะ “องค์ชายสี่เดินทางมาถึงที่นี่ มีธุระใดหรือ?”
ซูกู้เหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา “สือหนิงวานให้ข้ามาดูอาการของเฟิ่งสือจิ่น อยากรู้ว่าแผลของนางเป็อย่างไรบ้าง”
จวินเชียนจี้ตอบ “เช่นนั้น องค์ชายสี่คงจะมาช้าไปเสียหน่อย ไม่มาตอนที่แผลยังใหม่ แต่รอให้แผลใกล้หายแล้วค่อยมา เกรงว่าป่านนี้ คงไม่มีแผลให้ท่านดูแล้ว”
ซูกู้เหยียนหันไปมองเฟิ่งสือจิ่น “ในเมื่อหายดีแล้ว ทำไมถึงไม่ไปวิทยาลัยหลวง?”
เฟิ่งสือจิ่นพาดขาข้างหนึ่งลงบนโต๊ะพลางดื่มซุปอย่างสำราญใจ “ข้ายังปวดหัวเล็กน้อย อาจารย์บอกว่ายังไม่ควรไปวิทยาลัยหลวง” พูดจบก็นวดท้ายทอยเบาๆ “เฟิ่งสือหนิงอำมหิตจริงๆ ถึงได้ตีข้าเสียเต็มแรง แถมยังจงใจตีมาที่ท้ายทอยของข้าตั้งหลายครั้ง แต่แค่ไม่ถูกนางตีจนสมองกระทบกระเทือนและกลายเป็คนปัญญาอ่อน ก็ถือว่าในความเืเย็นของนาง ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง” นางมองนิ้วมือของตนเอง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเพิ่งใช้มือนี้จับกระดูกมาแทะ เฟิ่งสือจิ่นก็ยื่นมือไปเช็ดกับขนของเ้าสามมัดลวกๆ
ซูกู้เหยียนชะงักนิ่งลง “สือหนิงจะใจแข็ง ตีเ้าแรงแบบนั้นได้อย่างไร...”