วินาทีต่อมา จวินเชียนจี้ก็หางตากระตุกขึ้น เขามองดูเฟิ่งสือจิ่นล้วงเข้าไปในหน้าอกของนางเองต่อหน้าต่อตา มือเล็กควานหาทั้งทางซ้ายและทางขวา... โชคยังดีที่เป็เวลากลางคืน ถนนสายนี้เหลือพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น ไม่เช่นนั้น หากคนอื่นมาเห็นเข้าต้องไม่งามแน่ จวินเชียนจี้เริ่มสงสัยขึ้นมา ว่าตนตามใจเฟิ่งสือจิ่นอย่างไร้ขอบเขตเกินไปหรือไม่
เฟิ่งสือจิ่นขมวดคิ้วมุ่น นางควานหาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หาบางอย่างจนเจอ คิ้วงามค่อยๆ คลายออกจากกัน มือเล็กดึงของสิ่งนั้นออกมาข้างนอก มันคือกระต่ายตัวเล็กที่กำลังหลับสนิทนั่นเอง... จวินเชียนจี้กุมขมับ เขารู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
เฟิ่งสือจิ่นวางกระต่ายลงไปในมือของจวินเชียนจี้ “อาจารย์ ช่วยข้าอุ้มหน่อย คืนนี้มันดื่มสุราเยอะไปหน่อย”
จวินเชียนจี้ “...” เขาก้มลงไปมองกระต่ายในมือ เ้ากระต่ายมีร่างกายที่อบอุ่น ร่างเล็กๆ ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ โดยมีกลิ่นสุราจางๆ ลอยออกมาด้วย
เฟิ่งสือจิ่นปีนป่ายขึ้นไปบนหลังของจวินเชียนจี้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางใช้เท้าและมือเกาะเขาเอาไว้ราวกับปลาหมึก แต่จวินเชียนจี้สูงเกินไป ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหนก็ปีนขึ้นไปบนนั้นไม่ได้เสียที จึงทำได้เพียงพูดเสียงอู้อี้ออกมาอย่างมึนเมา “อาจารย์... ช่วยย่อตัวลงหน่อยได้หรือไม่...”
จวินเชียนจี้จนปัญญากับนาง เขาย่อตัวลง แล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหลัง อุ้มเฟิ่งสือจิ่นขึ้นมาขี่หลัง และล็อกขาของนางเอาไว้อย่างมั่นคง เฟิ่งสือจิ่นในตอนนี้ เป็เหมือนโคลนอ่อนยวบที่ถูกแปะอยู่บนผนังเช่นนั้น เมื่อจับจนมั่นคงแล้ว จวินเชียนจี้จึงเริ่มก้าวเดินอย่างใจเย็น
“อาจารย์...”
“หือ?” จวินเชียนจี้ตอบด้วยเสียงราบเรียบ
เฟิ่งสือจิ่นกอดคอของเขาเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลางพึมพำขึ้นเบาๆ “ท่านเป็เทพจากบนฟ้าหรือเปล่า...” นางชี้ไปยังดวงดาวบนนภาด้วยแขนที่โอนเอนไปมา “ข้าต้องบินขึ้นไปบนนั้นใช่ไหม ถึงจะตามท่านทัน...”
ผ่านไปนานกว่าจวินเชียนจี้จะตอบกลับมา “อาจารย์ไม่ใช่เทพอะไรหรอก แต่เป็มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มนุษย์ที่มีความรู้สึกและความปรารถนาเป็ของตัวเอง”
เฟิ่งสือจิ่นหลับสนิทอยู่บนหลังของจวินเชียนจี้ ที่นางสามารถนอนหลับได้อย่างหมดห่วง เพราะนางรู้ว่าชายที่อยู่เคียงข้างนางมานานถึงหกปีคนนี้ นับั้แ่วันที่เขารับนางไปเป็ศิษย์ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีวันทอดทิ้งนางอีกแล้ว ต่อให้คนทั้งโลกจะเกลียดชังและละทิ้งนาง นางก็ยังมีอ้อมแขนของคนผู้นี้คอยรองรับเสมอ
วันต่อมา หลิวอวิ๋นชูเดินทางไปยังวิทยาลัยหลวงโดยมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง ผลก็คือ เขาถูกซูกู้เหยียนลงโทษให้ยืนอยู่หลังห้องตลอดทั้ง่เช้า เมื่อถึง่บ่ายเขาก็มีอาการเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียที เขาจำเื่เมื่อวานได้ไม่มากแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาดื่มจนเมาหัวราน้ำเช่นนี้ เมื่อวานเขาเชิญเฟิ่งสือจิ่นไปกินเนื้อย่างด้วยกัน และเฟิ่งสือจิ่นก็ไปกับเขา... แต่ต่อจากนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้น?
หลิวอวิ๋นชูกลุ้มใจเป็อย่างมาก ตกลง เฟิ่งสือจิ่นให้อภัยเขาหรือยังหนอ? แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟขึ้นมา ถุย... เขาถูกลาถีบกะโหลกมาหรืออย่างไรถึงได้ใส่ใจว่าเฟิ่งสือจิ่นจะยอมยกโทษให้ตนหรือไม่? สิ่งที่เขา้า ไม่ใช่การยกโทษจากเฟิ่งสือจิ่น แต่เขาทำไปเพราะไม่อยากผิดต่อจิตสำนึกของตนเองต่างหาก! เอาเป็ว่าตอนนี้เขาก็สารภาพความจริงออกไปแล้ว เื่นี้ก็จบลงแล้วเช่นกัน ต่อไป เขาไม่จำเป็ต้องรู้สึกผิดอีก
แต่เพียงไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง
หลิวอวิ๋นชูนั่งอยู่ที่มุมห้องเพียงลำพัง หากไม่มีเฟิ่งสือจิ่นคอยรบราต่อสู้กันเหมือนเมื่อก่อนเขาต้องเหงามากแน่ๆ ตอนที่เฟิ่งสือจิ่นยังอยู่ เพราะอยากเอาชนะนางในทุกๆ ด้าน หลิวอวิ๋นชูจึงฟังการสอนของซูกู้เหยียนบ้างเป็ครั้งคราว มาตอนนี้ เมื่อไม่มีนางแล้ว เขาก็ตอบคำถามของอาจารย์ไม่ได้อีกเลย เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า่เวลาหลายสิบปีก่อนที่จะเจอเฟิ่งสือจิ่น เขาใช้ชีวิตอย่างไร และผ่านมันมาได้อย่างไรกันแน่?
หลังต่อสู้กับความคิดของตนเองอย่างหนัก เขาก็ตัดสินใจอย่างหนักแน่น ไม่ว่าเฟิ่งสือจิ่นจะยอมหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้เฟิ่งสือจิ่นกลับมาเรียนให้ได้ เช่นนั้น ตนจะได้หาความสุขจากนางได้ด้วย
เหตุนี้ หลิวอวิ๋นชูจึงมาวิทยาลัยหลวงด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าั้แ่เช้าตรู่ เขามาเร็วกว่าทุกๆ วัน เป็นักศึกษาคนแรกที่ก้าวเข้ามาในวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ หลิวอวิ๋นชูเดินวนไปตามโต๊ะในห้องเรียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งประจำตำแหน่งของตนเอง แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาราวกับเด็กเรียน
นักศึกษาคนอื่นๆ ทยอยเข้ามาในห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง เจี่ยนซืออินกับกงเยี่ยนชิวเดินเข้ามาพร้อมกันเหมือนเช่นเคย เมื่อเห็นว่าหลิวอวิ๋นชูกำลังอ่านหนังสืออยู่ พวกนางก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างประหลาดใจ เจี่ยนซืออินถามด้วยรอยยิ้ม “พี่อวิ๋นชู กำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ ถึงได้ดูตั้งใจเช่นนี้?”
หลิวอวิ๋นชูส่งสายตาเ้าเล่ห์กลับไป “อ่านหนังสือปกเหลือง[1]ไง อยากมาอ่านด้วยกันไหม?”
เจี่ยนซืออินเป็สตรี ย่อมมีนิสัยขี้อายเป็ธรรมดา นางหน้าแดงขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วมองเขม่น “ท่านชายบ้าจริง!”
หลิวอวิ๋นชูแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง “มันถูกเรียกว่าหนังสือปกเหลือง เพราะปกของมันทำมาจากกระดาษแข็งสีเหลืองล่ะ เนื้อหาในนี้เป็เื่ราวที่น่าสนใจของนักปราชญ์ทั้งหลายเท่านั้น ทำไมเ้าต้องหน้าแดงเช่นนี้ด้วย?” เขาพูดพลางปิดหนังสือลง จากนั้นก็มองปกหนังสือสีเหลืองสลับกับใบหน้าที่เขินอายจนทำตัวไม่ถูกของเจี่ยนซืออิน ไม่นานเขาก็มีท่าทีกระจ่างแจ้ง และพูดลากเสียงยาวเหยียดด้วยรอยยิ้มกะล่อน “อ้อ... น้องซืออินคงจะคิดลึกเกินไปสินะ? ข้าปากไม่ดีก็จริง แต่ดูเหมือนความคิดของน้องซืออินจะดูไม่ดีกว่าข้าอีกนะ”
เจี่ยนซืออินไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปดี อีกทั้งยังกลัวว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะ นางจึงกระทืบเท้า แล้วเดินไปยังที่นั่งของตนเองโดยไม่สนใจหลิวอวิ๋นชูอีก กระทั่งนักศึกษาคนอื่นๆ มาถึงจนครบแล้ว องค์หญิงเจ็ด ซูเหลียนหรูถึงก้าวเข้ามาในห้องเป็คนสุดท้าย
ซูกู้เหยียนในชุดสีขาวสะอาดเดินเข้ามาในห้องภายใต้แสงตะวันยามเช้า กลีบดอกไหวหลายกลีบที่ยังไม่ถูกปัดออกไป แปะอยู่บนไหล่อย่างแ่เบา ใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้านกับท่าทีเรียบเฉยของเขา ทำให้นักศึกษาหญิงไม่รู้เท่าใดพากันหลงใหลและวาดฝันไปกับมัน เขายืนอยู่ข้างโต๊ะสอน ชายกระโปรงยาวจรดพื้นดิน มือสีขาวสะอาดเปิดพลิกตำราด้วยท่าทางสง่างาม ทุกการเคลื่อนไหวแลดูสุขุมและเต็มไปด้วยมารยาทของบัณฑิต แม้แต่นิ้วเรียวที่ลูบเปิดหนังสือก็ยังบ่งบอกถึงความเป็บัณฑิตผู้มีความรู้ของเ้าของได้อย่างยอดเยี่ยม
เจี่ยนซืออินสะกิดกงเยี่ยนชิวที่กำลังมองเหม่อเบาๆ พลางพูดแซวด้วยรอยยิ้ม “เลิกมองได้แล้ว มองไปก็ไม่ได้อยู่ดี”
กงเยี่ยนชิวได้สติกลับมา พลันความกลัดกลุ้มก็เผยออกมาทางสีหน้า
เพิ่งเริ่มเรียนได้เพียงไม่นาน ขณะที่ซูกู้เหยียนกำลังพูดสรุปบทเรียน จู่ๆ หลิวอวิ๋นชูก็ยกมือขึ้น แล้วพูดเสียงดังฟังชัด “อาจารย์ ข้ามีเื่อยากพูด!”
ซูกู้เหยียนหยุดลง เขาใจเย็นและมีความอดทนสูง จึงไม่ได้โกรธ แต่ถามขึ้นแทน “มีอะไรจะพูดหรือ?”
หลิวอวิ๋นชูลุกขึ้นยืนอย่างผ่าเผย “เรียนท่านอาจารย์ ข้าพบว่าหยกครามสมุทร หยกแขวนที่ข้าห้อยที่เอวหายไป มันเป็สมบัติประจำตระกูลของข้า เมื่อวานอากาศร้อน ไม่สะดวกที่จะห้อยหยกต่อไป ข้าจึงปลดมันลงมาจากเอว แล้ววางไว้บนโต๊ะของตัวเอง แต่หลังเลิกเรียน ข้ากลับลืมเอาหยกกลับไปด้วย เช้าวันนี้ เมื่อมาถึงวิทยาลัยหลวง ข้าก็พบว่าหยกหายไปแล้ว ดังนั้น ข้าจึงสงสัยว่ามีคนขโมยสมบัติประจำตระกูลของข้าไป”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้น คนทั้งหลายหันไปมองหลิวอวิ๋นชูเป็ตาเดียว บ้างก็มองด้วยสายตากึ่งเชื่อกึ่งสงสัย บ้างก็กำลังรอให้เขากลายเป็ตัวตลก
ซูเหลียนหรูสบถเสียงหัวเราะออกมาอย่างหยามิ่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ท่านชายหลิวช่างแปลกคนเสียจริง นอกจากจะพกสมบัติประจำตระกูลมาที่วิทยาลัยหลวงแล้ว ยังถอดทิ้งไปเรื่อยเปื่อยอีก ก็ไม่แปลกที่จะหายเช่นนี้ ยังสงสัยว่าคนอื่นจะขโมยไปอีก ทำอย่างกับบ้านอื่นไม่มีของประจำตระกูลเช่นนั้น”
หลิวอวิ๋นชูยักยิ้มมุมปากด้วยท่าทางเกเร “องค์หญิงเจ็ดพูดผิดแล้ว เ้าเองก็ยังเอาสร้อยมุกที่เป็ของพระราชทานมาที่วิทยาลัยได้เลย แล้วทำไมข้าจะเอาสมบัติประจำตระกูลมาบ้างไม่ได้? เ้าสงสัยว่าคนอื่นขโมยของของเ้าได้ ข้าจะสงสัยว่าของของตนถูกขโมยบ้างไม่ได้เลยหรือ?” เขาหันไปคารวะซูกู้เหยียน “ท่านอาจารย์ ตอนที่สร้อยมุกขององค์หญิงเจ็ดหาย นางยังค้นโต๊ะของนักศึกษาทุกคนได้เลย ตอนนี้สมบัติประจำตระกูลของข้าก็หายไปเช่นกัน โปรดอนุญาตให้ข้าค้นโต๊ะของเพื่อนร่วมชั้นด้วย”
..............................
[1] หนังสือปกเหลือง คือ หนังสือโป๊ในสมัยก่อน