“นี่คุณพูดคำหยาบได้ยังไง?” ตำรวจวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าสุภาพสตรีที่สง่างามแบบนี้จะพูดคำหยาบ
“ฉันเชื่อว่าลูกชายฉันไม่มีทางทำเื่แบบนี้แน่นอน!” แม่ของฉินหลาง เซียหญิงเหลียนจ้องตำรวจวัยกลางคนด้วยสายตาเย็นเฉียบ “แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ลูกชายฉันเป็เพียงผู้ต้องสงสัย ไม่ใช่ผู้ต้องหา คุณอย่าคิดมาสาดโคลนใส่ตัวเขาเด็ดขาด ถ้าหากฉันรู้ว่าคุณมีการทารุณลูกชายฉันละก็ ฉันจะให้ทนายฟ้องคุณแน่! ไม่ว่าฉันจะต้องเสียเท่าไรก็ตาม!”
เซียหญิงเหลียนตอนนี้ เป็ดั่งแม่สิงโตที่ปกป้องลูกของตัวเอง!
“ไม่น่าล่ะ…มีผู้ปกครองแบบคุณ ก็ต้องมีลูกที่นิสัยแบบเดียวกัน ให้เวลา 15 นาที!” ตำรวจวัยกลางคนเดินออกไปอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ขอบคุณที่เชื่อผมนะครับแม่” ฉินหลางยิ้ม
“ลูกโง่เอ๊ย ยังจะยิ้มออกมาได้อีก” เซียหญิงเหลียนหน้าบึ้งตึง “ลูกรู้ว่าตัวเองมีปัญหาแล้วรึยัง?”
“พ่อก็เชื่อนะว่าลูกไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่ความจริงแล้วเื่นี้มันเป็ยังไงกันแน่?” ฉินหนานพ่อของฉินหลางซักถามขึ้น
ฉินหนานเป็พนักงานทดลองในห้องปฏิบัติการชีววิทยาของมหาวิทยาลัยเสฉวน ส่วนเซียหญิงเหลียนเป็นักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์ ถึงปกติแล้วทั้งคู่จะงานยุ่งมาก แต่ก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยในการอบรมสั่งสอนลูกชาย และพวกเขาก็ไม่ได้กดดันฉินหลางมากนัก ไม่เหมือนผู้ปกครองคนอื่นที่หวังว่าลูกชายจะต้องเป็ใหญ่เป็โต ความคาดหวังเดียวที่ทั้งคู่มีต่อฉินหลางก็คือ ร่างกายที่แข็งแรงและมีทัศนคติที่ดี มองโลกในด้านบวกเท่านั้นเอง
ได้รู้ว่าลูกชายโดนตำรวจพาตัวไป สองสามีภรรยาย่อมร้อนรนจิตใจ ยืมรถมาหนึ่งคัน รีบขับกลับมาด้วยความเร็วจากเมืองอันหยงที่อยู่ไกลมากกว่าร้อยกิโลเมตร
“พ่อครับ แม่ครับ พูดจริงๆ นะ คือผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉินหลางเล่าต้นสายปลายเหตุ ลำดับขั้นตอนและรายละเอียดทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟังหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลับมาปลอบใจทั้งคู่ “พวกท่านวางใจเถอะครับ ผมไม่ได้ทำเื่เลวร้ายอะไร เมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว” ฉินหนานพยักหน้า “ลูกไม่ต้องห่วง ในเมื่อลูกไม่ได้ทำเื่ไม่ดี ใครก็ใส่ความลูกไม่ได้! ต่อให้พวกเราต้องล้มละลาย พ่อกับแม่ก็จะสู้คดีให้ลูกจนถึงที่สุด!”
“วางใจเถอะ บางทีมันอาจจะไม่ได้หนักหนาสาหัสขนาดนั้นก็ได้” ฉินหลางแกล้งยิ้มราวกับไม่ได้หนักใจอะไร เรารู้ว่าเื่นี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น แล้วยิ่งโจวหลิงหลิงเกี่ยวข้องกับบิวตี้คลับด้วยแล้ว มันต้องยิ่งไม่ธรรมดาแน่
“ถึงเวลาแล้ว” ฉินหลางเพิ่งคุยกับพ่อแม่ได้ไม่นาน ตำรวจวัยกลางคนที่ยังคงหน้าดำคร่ำเครียดเปิดประตู เชิญให้ฉินหนานกับเซียหญิงเหลียนจากไป
“ลูก ไม่ต้องกลัวนะ” เซียหญิงเหลียนพูดขึ้นกับฉินหลางด้วยความอาลัย ในขณะที่กลับหลังนั้น น้ำตาก็ไหลรินลงมาแล้ว แต่ด้วยความที่เธอไม่อยากให้ฉินหลางเห็น จึงรีบเดินออกจากห้องสอบปากคำอย่างรวดเร็ว
“พ่อแม่บนโลกนี้ล้วนเป็ผู้น่าสงสาร!” ตำรวจวัยกลางคนถอนหายใจด้วยความหดหู่ ก่อนจะปิดประตูห้องสอบปากคำอีกครั้ง
ประตูเพิ่งปิดลง ตำรวจวัยกลางคนก็เห็นหญิงสาวสุดสวย อยู่ในชุดสูทกระโปรงที่เซ็กซี่ เย้ายวน ชวนหลงไหนเดินตรงเข้ามา ยื่นบัตรประจำตัวของเธอให้ด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็ครูผู้สอนวิชาชีววิทยาของฉินหลาง และขณะเดียวกันฉันก็เป็ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาของโรงเรียนด้วยค่ะ ฉัน้าที่จะรู้ว่าสภาพจิตของเขาปกติอยู่หรือเปล่า”
※※※
ฉินหลางคิดไม่ถึงว่าครั้งที่สองที่ได้อยู่ตามลำพังกับเถารั่วเซียง ถึงจะเป็การอยู่ในห้องสอบปากคำแบบนี้
“น้าเถา ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยมผม” ฉินหลางยังคงอมยิ้มอยู่ “คุณเป็ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาของโรงเรียนั้แ่เมื่อไรเหรอครับ?”
อยู่ต่อหน้าเถารั่วเซียง เขารู้สึกผ่อนคลายมาก ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ตาม
“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันมีบัตรที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาอยู่ตั้งนานแล้ว” เถารั่วเซียงยิ้มจางๆ หยิบบัตรรับรองขึ้นมาส่ายไปมาหน้าฉินหลาง “ฉันเจอพ่อแม่เธอหน้าโรงพักเมื่อกี้นี้ พวกเขาเป็ห่วงเธอมาก”
“มีพ่อแม่ในโลกนี้ ที่ไม่เป็ห่วงลูกตัวเองด้วยเหรอ” ฉินหลางมองรั่วเซียงที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ “อาจารย์เถาครับ ผมขอถามคุณสักคำนะครับ—คุณคิดว่าผมสารเลวไหม?”
“ฉินหลาง ฉันเป็ตัวแทนของโรงเรียนมาทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
เถารั่วเซียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของฉินหลางตรงๆ เธอหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาจากกระเป๋า แล้วกดบันทึกเสียง “ฉินหลาง เรารีบกันหน่อยดีกว่า ในฐานะที่เป็ตัวแทนของโรงเรียน ฉันรับรองว่า เื่ที่เธอทำวันนี้จะมองอย่างเป็กลางเพื่อความยุติธรรม”
“ขอบคุณครับอาจารย์เถา” ฉินหลางคิดก่อนพักหนึ่ง แล้วจึงเริ่มเล่าเื่ “ตอนบ่าย หลังจากที่อาจารย์วิชาชีววิทยาเชิญผมออกไปยืนนอกห้องแล้ว ผ่านไปประมาณ 15 นาที ก็เห็นมีคนตกลงมาจากอาคาร วิ่งไปถึงแล้ว ผมถึงได้รู้ว่าเธอคือโจวหลิงหลิง…”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าคนที่ฆ่าตัวตายชื่อโจวหลิงหลิง?” อยู่ๆ เถารั่วเซียงก็ถามขึ้น
“เอ่อ…คุณลุงตำรวจได้พูดถึงแล้วตอนที่สอบปากคำผมเมื่อกี้นี้” ฉินหลางจะบอกว่าเขากับจ้าวเหว่ยไปบิวตี้คลับมาได้อย่างไร ถ้าพูดไปอย่างนั้นมันจะไม่กลายเป็ “โคลนเหลืองติดกางเกง ถึงไม่ใช่อึก็ดูเป็อึอยู่ดี” จะอธิบายให้เข้าใจได้ยังไง
เมื่อฉินหลางบรรยายความเป็มาทั้งหมดแล้ว เถารั่วเซียงก็ถามขึ้นอีก “มีคนเห็นนายเอาอะไรบางอย่างใส่เข้าไปในปากโจวหลิงหลิง แต่ไม่มีใครรู้ว่าบางอย่างนั้นคืออะไร ถามหน่อยว่าเื่นี้มีจริงรึเปล่า?”
ฉินหลางพยักหน้า “นั่นเป็ยาจีนที่อาจารย์ที่เป็แพทย์แผนจีนได้ให้ผมมา ใช้รักษาอาการาเ็ได้ดีมากๆ”
ฉินหลางเรียกตาเฒ่าพิษว่า “แพทย์แผนจีน” เป็การยกย่องเขามากแล้ว
“ยาจีน ชื่อยาอะไร?” ถามรั่วเซียงซักถามต่อ ดูไปแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ เลย
“ไป่เฉ่าต้าหวนตัน” ฉินหลางมีไหวพริบดีมาก เปลี่ยนจาก “ไป่ตู๋ต้าหวนตัน” (ยาสารพัดพิษคืนชีวิต) เป็ชื่อ “ไป่เฉ่าต้าหวนตัน” ถึงแม้จะต่างกันเพียงตัวเดียว แต่ฟังไปแล้ว รู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เธอแน่ใจ?” เถารั่วเซียงถามขึ้นอย่างเรียบเฉย “ฉินหลาง ฉันจะเตือนเธออีกครั้งนะ คลิปเสียงการสนทนาครั้งนี้อาจนำไปใช้เป็หลักฐานในชั้นศาลได้นะ เพราะเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทางโรงเรียนเป็ห่วงเธอถึงได้ให้ฉันมาเพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า ในฐานะที่ฉันเป็ครูของเธอ ฉันเองก็เป็ห่วงปัญหาของเธอด้วยเช่นกัน”
“ขอบคุณที่เตือนครับอาจารย์” ฉินหลางกล่าวด้วยความจริงใจ “ที่ผมพูดล้วนเป็ความจริง! ถ้าพวกคุณไม่เชื่อผม โจวหลิงหลิงฟื้นเมื่อไร ไปถามเธอดูก็ได้ แค่นั้นความจริงทุกอย่างก็กระจ่างแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ปัญหาคือ ตอนนี้โจวหลิงหลิงยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน และยังไม่รู้ว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาได้รึเปล่า”
“เป็ไปไม่ได้!” ฉินหลางพูดด้วยความตื่นตระหนก “ตอนที่เธอขึ้นรถฉุกเฉิน อาการของเธอทรงตัว และเริ่มคงที่แล้ว!”
“เพราะอย่างนี้ไง พวกเราถึง้ารู้ว่านายจะเอายาจีนดังกล่าวของนายให้เธอกินไปทำไม”
“อาจารย์เถา คุณไม่เชื่อผม?” ฉินหลางรู้สึกว่าตัวเองได้รับาเ็ เพราะสำหรับเขาแล้ว ใครจะเข้าใจเขาผิด หรือมองว่าเขาเป็คนไม่ดีก็ตามเขาไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ มีเพียงเถารั่วเซียงที่เขาสนใจ และเขาไม่อยากให้เถารั่วเซียงเห็นเขาเป็นักโทษคนหนึ่งจริงๆ
เถารั่วเซียงกดหยุดบันทึกเสียง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวขึ้น “ส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นักโทษ”
“แค่นั้นก็พอแล้ว!” ฉินหลางถอนหายใจราวกับูเาลูกใหญ่ถูกยกออกไปจากอก
“แต่ประเด็นคือฉันเชื่อเธอก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เถารั่วเซียงพูดต่อ “ตอนนี้เบาะแสทั้งหมดที่มีบ่งบอกว่าเธอเกี่ยวข้องกับการตายของโจวหลิงหลิง เริ่มจาก เธอเป็คนแรกที่อยู่ในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ เธอยังได้ให้โจวหลิงหลิงกินอะไรบางอย่าง ที่มีเธอรู้อยู่คนเดียว แต่ตอนนี้โรงพยาบาลกำลังตรวจเืและสารคัดหลั่งจากร่างกายของเธออยู่ เดี๋ยวผลออกมาเมื่อไร ก็รู้แล้วว่าเธอโกหกอยู่หรือเปล่า?”
“อาจารย์เถา ผมไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ!”
ฉินหลางอธิบายต่อ “คุณลองคิดดู ถ้าผมอยากให้เธอตายจริงๆ ผมปล่อยให้เธอตายโดยต้องไม่เข้าไปช่วยก็ได้ เป็คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ จำเป็ต้องเสี่ยงอันตรายไปเข้าใกล้เธอเพื่ออะไร อีกอย่าง ถ้าไม่ถูกอาจารย์ชีวะไล่ออกจากห้องเรียน ผมก็คงไม่มีทางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แน่
การวิเคราะห์ของเธอมีเหตุผลมาก
เถารั่วเซียงพยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนทันที “แต่ถ้ามองในแบบอาชญาวิทยาแล้ว อาชญากรที่ฉลาดส่วนมากหลังจากก่ออาชญากรรมแล้วจะนิ่งเรียบมาก และเก่งในการหาข้ออ้างให้ตัวเองพ้นความผิดมาก โดยเฉพาะ—เมื่อเขาไม่ได้ทำเื่แบบนี้เป็ครั้งแรก!”
ฉินหลางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเถารั่วเซียง จึงมองเธอด้วยความสงสัย “อาจารย์เถา คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”
“อย่าเข้าใจผิด ฉันก็แค่วิเคราะห์เหตุการณ์ในคดี” เถารั่วเซียงกล่าวขึ้น “นายรู้จักเื่เล่าของจ่าวจิ้งกับฉางเซี่ยิ่ใช่ไหม?”
จ้าวจิ้ง ฉางเซี่ยิ่?
ฉินหลางส่ายหน้าด้วยความมึนงง “สองคนนี้เป็ใครเหรอครับ?”
“พวกเขาพักการเรียนไปแล้ว เมื่อก่อนล้วนเป็นักเรียนที่ดีของโรงเรียนชีจง หน้าตาก็สวยด้วย” เถารั่วเซียงถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ ถูกล่อลวง หลงเดินทางผิดไปแล้ว”
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” ฉินหลางมองเถารั่วเซียงด้วยความสงสัย “อาจารย์เถา หรือ…คุณคิดว่าสองคนนี้ก็เกี่ยวกับผมอีก? อาจารย์เถา ผมสาบานได้ว่าผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ผมพิสูจน์ได้—”
“นายจะพิสูจน์ยังไง?” เถารั่วเซียงมองฉินหลางด้วยความประหลาดใจ