ผู้จัดการใหญ่อู่จิตใจเบิกบาน
ทำงานกับเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นราบรื่นเหลือเกิน ช่างเป็เด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องพูดอะไรมาก เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้จักตอบแทนกันแล้ว
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่รู้สึกร้อนตัวแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งปล่อยสินเชื่ออย่างไม่ได้รับค่านายหน้า ที่เขาอยากให้คนซื้อพันธบัตรรัฐบาลก็เพราะ้าทำภารกิจของธนาคารให้สำเร็จ พันธบัตรรัฐบาลถือเป็เครื่องมือสนับสนุนอย่างหนึ่งของการพัฒนาประเทศชาติ ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่ได้ส่วนแบ่งสักแดงเดียว ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องเกรงใจ
ส่วนการปล่อยสินเชื่อให้เซี่ยเสี่ยวหลาน.. หึหึ ความเป็ไปได้ที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะชำระหนี้คืนมีมากกว่าพวกโรงงานที่ใกล้ล้มละลายแล้วเสียอีก
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพิ่งปฏิรูปเศรษฐกิจเพียงไม่กี่ปี โรงงานต่างๆ ก็เริ่มไปต่อไม่ไหวกันเสียแล้ว แม้แต่เงินเดือนพนักงานยังต้องมาขอสินเชื่อกับธนาคาร
สินเชื่อก้อนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานมีปัญญาใช้อย่างแน่นอน เธอมีญาติสนิทมิตรสหายที่ร่ำรวยขนาดนั้น ผู้จัดการใหญ่อู่ย่อมไม่กังวล
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ความคิดของผู้จัดการใหญ่อู่ อย่างไรก็ตามเงินสองแสนก้อนนี้ทำให้เธอมีเงินทุนมากขึ้น
ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสองหมื่นหยวนไม่ใช่เื่ใหญ่แต่อย่างใด พันธบัตรรัฐบาลสามารถแลกคืนได้ เพียงต้องรออีกไม่กี่ปีเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานคิดเสียว่าเป็การออมเงินแบบฝากประจำที่ได้ดอกเบี้ยน้อยมาก อีกทั้งเงินก้อนนี้สามารถทำให้เธอนำไปเปิดร้านอีกสาขาในปักกิ่งได้
แพะหนึ่งตัวกับสองตัวต่างกันอย่างไร
ร้านแรกเลือกเปิดที่ถนนซีตัน ส่วนร้านที่สองเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจว่าจะเปิดที่ถนนซิ่วสุ่ย
ถนนซิ่วซุยเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1980 อายุถนนยังใหม่อยู่มาก เพิ่งเปิดมาได้เพียงห้าปีเท่านั้น ถนนแห่งนั้นคือที่ตั้งของสถานทูตและอาคารของกระทรวงการต่างประเทศ ผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ร้านค้าเองก็กระจัดกระจายเช่นกัน ความคึกคักน้อยกว่าถนนซีตันอยู่หลายเท่า
“เปิดร้านที่นั่นจะสามารถทำเงินได้หรือ”
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่ได้อยากยุ่งเื่คนอื่น ทว่าเขาเริ่มเป็ห่วงสินเชื่อจำนวน 200,000 หยวนที่ยังไม่ทันได้อนุมัติน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เงินจำนวน 180,000 หยวน แม้เงิน 20,000 หยวนในนั้นจะใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่เธอก็ยังต้องจ่ายหนี้รวมดอกเบี้ยจากเงินกู้จำนวน 200,000 หยวนอยู่ดี
“น่าจะได้นะคะ อีกอย่างเื่การเลือกทำเลที่ตั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดวงด้วย”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดอย่างคลุมเครือ ผู้จัดการใหญ่อู่รู้สึกเอือมไม่ใช่น้อย
ความจริงเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่า อีกไม่ถึงสองปีข้างหน้าถนนซิ่วสุ่ยก็จะพลิกโฉมใหม่ โดยที่นั่นจะกลายเป็หนี่งใน ‘สถานที่ท่องเที่ยว’ ที่นักท่องเที่ยวต้องไป เหมือนกับกำแพงเมืองจีนและจัตุรัเทียนอันเหมิน เมื่อมาถึงปักกิ่งแล้วไม่ไปเดินที่ถนนซิ่วสุ่ย ไม่ไปต่อรองราคากับพวกเถ้าแก่ร้านค้าที่ค้ากำไรเกินควรสักหน่อย จะเรียกว่ามาถึงกรุงปักกิ่งได้อย่างไร
มีคนขนานนามถนนซิ่วสุ่ยว่ามันคือ ‘ภาพวาดเทศกาลเชงเม้งรอบแม่น้ำ [1] ของศตวรรษที่ 21 ที่ถูกยกออกมาจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ’ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คึกคักมากแค่ไหน
ถนนซิ่วสุ่ยมิได้มีขายแค่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่ยังมีผ้าไหม ใบชา เครื่องกระเบื้องเคลือบ รวมถึงสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของประเทศจีน และเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในเขตสถานทูตจึงพบเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ง่าย เถ้าแก่หลายคนจึงหวังฟันกำไรจากคนเหล่านี้... เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความคิดเช่นนั้น เธอเพียงตั้งราคาแพงกว่าเดิมเล็กน้อยก็พอแล้ว ขายของที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อดึงดูดมิตรสหายชาวต่างชาติ การฟันกำไรจากพวกเขาโดยเฉพาะคงไม่จำเป็ ถึงอย่างไรชาวต่างชาติก็ไม่ใช่คนโง่ หากถูกหลอกครั้งหนึ่งแล้ว หวังอยากให้พวกเขาควักเงินจ่ายอีกในระยะยาวคงเป็ไปไม่ได้
ปัจจุบันถนนซิ่วสุ่ยคึกคักกว่าตอนเพิ่งก่อสร้างเมื่อปี 1980 ยิ่งนัก ครั้งนี้ผู้จัดการใหญ่อู่หาร้านได้อย่างว่องไว และธนาคารก็อนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็ว เพราะทั้งเงินกู้และหน้าร้านมาถึงมือเซี่ยเสี่ยวหลานแทบจะในเวลาเดียวกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งเสียจนหัวหมุน ดอกเบี้ยต่ำใช่ว่าจะไม่มีดอกเบี้ย เงินถึงมือวันไหนนั่นก็เท่ากับถูกคิดดอกเบี้ยไปแล้วหนึ่งวัน
คุณชายตู้อะไรนั่น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ว่างพอที่จะมาสนใจอีกต่อไป
—-----------------------------------------------------
ชีวิตของโจวเฉิงไม่เคยพบเจออุปสรรคใหญ่แต่อย่างใด
เขาเกิดในครอบครัวที่ดี ตอนเด็กมีพี่เลี้ยงคอยดูแล ในขณะที่เด็กคนอื่นกินโจ๊กข้าวโพด โจวเฉิงกลับได้กินนมผง
ด้วยเงินเดือนของโจวกั๋วปินกับกวนฮุ่ยเอ๋อ ลูกชายคนเดียวอย่างโจวเฉิงไม่มีทางเจอกับความยากลำบาก
อีกอย่าง ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลโจวก็ให้เงินแก่เขาเป็ครั้งคราว ตอนนั้นผู้ที่ได้รับเงินเดือนมากที่สุดในตระกูลคือผู้เฒ่าโจว ลูกชายลูกสาวจึงพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย และสิ่งที่ผู้เฒ่าโจวรู้สึกปลื้มใจมากที่สุดคือ ลูกๆ ของเขาไม่มีใครอยู่ว่างๆ สักคนเดียว แม้จะไม่ได้มีหน้ามีตากันทุกคน แต่พวกเขาก็สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา
ดังนั้นเงินที่สองผู้เฒ่าตระกูลโจวให้มาจึงมักตกไปอยู่กับรุ่นที่สามของตระกูล
ไม่ใช่แค่โจวเฉิงเท่านั้น แม้แต่โจวอี๋ที่รู้สึกว่าคุณปู่กับคุณย่าลำเอียง ตอนเด็กๆ ก็ได้รับเงินจากพวกเขาเช่นกัน
เงินพวกนั้นทำให้โจวเฉิง โจวอี๋และทายาทรุ่นหลังคนอื่นใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องอดยาก ผู้เฒ่าโจวเป็ข้าราชการระดับสูง เขาทำได้ถึงขั้นนี้ในสมัยนั้นถึงว่าน่าเคารพยกย่องยิ่งนัก ยี่สิบปีก่อน ประเทศยากจนกว่าปัจจุบันโข คนที่ต้องหิวโซมีจำนวนไม่น้อย ได้กินอิ่มท้องก็คือความสุขแล้ว
อุปสรรคแรกของโจวเฉิงคือหลังกลับจากแนวหน้า เขาได้เลื่อนตำแหน่งจึงถูกคนอื่นเหม็นหน้า อีกทั้งเขากับพานเป่าหัวสนิทกันเกินไป ก่อนหน้านี้เพื่อแก้แค้นพานเป่าหัวทำให้อีกฝ่ายถึงกับพิการ สุดท้ายพานเป่าหัวจึงต้องออกจากกองทัพ พอพานเป่าหัวไม่อยู่ คนอื่นก็ยังคงไม่ชอบหน้าโจวเฉิงอยู่ดี ดังนั้นตอนซ้อมรบคนเ่าั้จึงวางกับดักเขา
วิธีการจัดการปัญหาของโจวเฉิงค่อนข้างรุนแรง ทำเอาทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันเสียใหญ่โต เป็เหตุให้ถูกสั่งทำโทษโบยคนละห้าสิบไม้ และแน่นอนว่าพวกเขา้าลงโทษโจวเฉิง
ั้แ่เริ่มทำงานโจวเฉิงไม่เคยใช้วันลาเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงขอลาหยุดยาว และ่วันหยุดนี้เองที่ทำให้เขาได้เจอกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
แน่นอนว่าสุดท้ายบทลงโทษนั้นก็เป็โมฆะ
อุปสรรคอย่างที่สองคือตอนทะเลาะกับฟางซื่อจง เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้โอกาสก้าวหน้าของเขาต้องชะงัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องมาเรียนเพิ่มที่วิทยาลัยทหารบกเป็เวลาสองปีเพื่อรอให้เื่ทุกอย่างซาลง และถือโอกาสเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการที่เป็ข้อบกพร่องของตัวเอง
ครั้งที่สามก็คือวันก่อนที่สร้างผลงานรวบแก๊งค้าของเถื่อนสำเร็จ ทว่าเขากลับเขาถูกสงสัยว่าคบค้ากับพวกแก๊งค้าของเถื่อน และถูกกักตัวไว้เพื่อทำการสอบสวน!
การสอบสวนนี้ไม่ได้ให้โจวเฉิงอดอาหาร อาหารสามมื้อมีให้เขาได้ทานอยู่ไม่ขาด แต่ไม่อาจติดต่อกับคนอื่นได้เลย
คนอื่นไปทำภารกิจ เขาอยู่ว่างๆ ในที่พัก
โจวเฉิงทำได้เพียงขอหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาเท่านั้น
อยากให้เรียนเกี่ยวกับความรู้ทางวัฒนธรรมมิใช่หรือ?
ตอนนี้ทำเื่อื่นไม่ได้ เช่นนั้นก็ขอเรียนเกี่ยวกับความรู้เพิ่มเติมคงได้สินะ
ผู้ตรวจสอบรู้สึกว่าโจวเฉิงนิ่งมาก ดูไม่ร้อนตัวสักนิด ทว่าไม่แน่อาจจะกำลังแกล้งทำ เป็ลูกไม้ที่จะทำให้พวกเขาตายใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง
โจวเฉิงอ่านหนังสือจริงๆ
เขารู้สึกว่าด้านการศึกษาของตนนั้นห่างชั้นกับเสี่ยวหลานเหลือเกิน แฟนเขาเป็ถึงนักศึกษาของหัวชิง ต่อไปถ้าเรียนปริญญาโทขึ้นมา เขากับเสี่ยวหลานยังจะสามารถมีเื่ให้คุยกันได้อีกหรือ? โจวเฉิงรู้ตัวว่าตนหล่อเหลากว่าคนอื่น และดีกับเสี่ยวหลานมากกว่าคนอื่น แต่ถึงอย่างไรในด้านความรู้เขาก็ยังด้อยกว่าเสี่ยวหลานอยู่ดี เขากลัวเหลือเกินว่าจะมีชายหนุ่มจากหัวชิงมาจีบเธอ
ตอนออกมาปฏิบัติภารกิจรีบร้อนมาก ไม่รู้ว่าเื่ตระกูลจี้จัดการได้หรือยัง
ไอ้เด็กแซ่จี้คนนั้น ดีไม่ดีอาจจะคิดอะไรกับแฟนเขาอยู่ก็เป็ได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ คนตระกูลจี้จะเป็บ้าได้อย่างไร
โจวเฉิงอ่านหนังสือด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
เดิมทีสมองของเขาก็ไม่ได้โง่ ทว่าตอนเรียนหนังสือผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากเขาไม่ได้ทุ่มเทให้กับการเรียนมากพอ ตอนนี้พอรู้สึกถึงความเสี่ยงระหว่างเขากับเซี่ยเสี่ยวหลาน กอปรกับอยากเบนความสนใจของตัวเองจึงทำให้ได้วิชาความรู้เพิ่มมาจริงๆ
ความรู้ที่ไม่เคยเข้าใจ ในที่สุดก็เข้าใจ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
เหมือนเวลาวิ่งไล่ศัตรูอยู่ในพงหญ้า ยกปืนขึ้นมาปล่อยะุนัดเดียวก็เข้าเป้า ความรู้สึกแบบนั้นช่างสะใจเหลือเกิน!
เขาเรียนหนังสือจริงหรือนี่?
อ่านรู้เื่ด้วยหรือ?
เื่ที่โจวเฉิงไม่เข้าใจ เขามักจะถือหนังสือเดินมาถาม เดิมทีเ้าหน้าที่มาเพื่อตรวจสอบเขาอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกลับต้องคอยอธิบายความรู้ให้ ถ้าที่นี่ไม่มีอาจารย์ของวิทยาลัยอยู่ด้วยคงรู้สึกขายหน้าแย่
โจวเฉิงไม่มีความรู้ด้านวัฒนธรรม คนอื่นเองก็ใช่ว่าจะรู้!
เขาเรียนจบมัธยมต้น คนอื่นอย่างมากก็จบแค่มัธยมปลาย
ปัจจุบัน นักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัยไม่มีทางมาเรียนอยู่ที่นี่
เื่เดียวที่โจวเฉิงเป็ห่วงคือแฟนสาวของเขา นี่ก็ไม่ได้ติดต่อกันมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ถ้าเสี่ยวหลานไปหาเขาที่จี้เป่ยแต่ไม่เจอเขาเล่า ไม่รู้ว่าเธอจะเป็ห่วงขนาดไหน!
อยากให้การสอบสวนเสร็จสิ้นก็ย่อมได้ ขอแค่ยอมสารภาพว่าติดต่อกับพานซาน ยอมรับว่าพานซานลักลอบค้าของเถื่อน พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกันบ้าง แหล่งกบดานของพานซานอยู่ที่ไหน คำถามเหล่านี้ถูกเอามากองวางไว้ตรงหน้าโจวเฉิง... แต่เขาจะทำได้อย่างไร? ไม่มีก็คือไม่มี ดันอยากบังคับให้เขายอมรับเสียนี่ ทว่าเพราะโจวเฉิงเคยผ่านบทเรียนมาแล้วอัธยาศัยของเขาจึงดีขึ้น มิเช่นนั้นมีหรือที่เขาจะยอมให้ความร่วมมือกับการสอบสวน
“โจวเฉิง คุณไม่มีอะไรจะพูดจริงหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ภาพเทศกาลเชงเม้งรอบแม่น้ำ เรียกอีกชื่อว่า “ชิงิซ่างเหอถู(清明上河图)” เป็หนึ่งในภาพวาดชื่อดังที่สืบทอดต่อกันมาหลายพันปี ผ่านการลอกเลียนมาหลายยุคหลายสมัย ต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดคือสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ตัวภาพวาดสะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีนในสมัยนั้น และถูกยกย่องให้เป็หนึ่งในสมบัติแห่งชาติของจีน ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังกู้กง ณ กรุงปักกิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้