เล่มที่ 9 บทที่ 247 ค่ายกลสี่อสูร
หลังจากเ้าปลาั์ได้ห่วงมารเซียนเก้าโคจรมาแล้ว มันก็แหวกว่ายไปมาด้วยความดีใจ หากผีดิบอสูรไม่ถูกคัมภีร์กลืนกินไปละก็ เ้าปลาั์จะต้องใช้มันประลองด้วยอีกครั้งแน่นอน
พอคัมภีร์พับม้วนกลับไปตามเดิม ทุกอย่างพลันโล่งเตียนไปหมด ยังดีที่หลินเฟยยังพอมมโนธรรมอยู่บ้าง จึงเหลือสมบัติหนึ่งส่วนไว้ให้ฟางจวิ้น…
หลังจากเสร็จเื่แล้ว หลินเฟยก็ยกมือคารวะ ก่อนจะเอ่ยกับฟางจวิ้น
“ขอบคุณมากศิษย์พี่ฟาง…”
“หึหึ เป็ข้าเองที่ไร้ความสามารถ จึงไม่อาจรักษาสมบัติเหล่านี้ไว้ได้ ทว่าข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เ้าเป็เพียงผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สองแท้ๆ แต่กลับสังหารอสุรกายกุ่ยหวังได้ ไม่รู้ว่าเ้าเป็ศิษย์จากสำนักไหนหรือ?”
หลินเฟยลูบจมูกปรอยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ
“ข้าชื่อเวินโหว มาจากหุบเขาหมื่นอสูร”
“…” เดิมทีเวินโหวที่ได้ห่วงมารเซียนเก้าโคจรมา ก็ยังคงดีใจเป็ที่สุด ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดหลินเฟย เ้าตัวก็แทบจะล้มคะมำลงไปทันที
‘บ้าเอ๊ย ศิษย์พี่หลินอย่าเล่นแบบนี้สิ!’
“ได้ หุบเขาหมื่นอสูรใช่หรือมไม่ ข้าจำไว้แล้ว หากวันหน้าข้าแข็งแกร่งกว่านี้ จะต้องไปขอคำชี้แนะแน่นอน!”
“ไม่มีปัญหาๆ…”
จากนั้นหลินเฟยก็จากไปพร้อมกับเวินโหวด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น…
หลังจากออกมาแล้ว เวินโหวก็ยังหวาดกลัวไม่หาย
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็ถึงศิษย์สายตรงลำดับสอง…
“ศิษย์พี่หลินครั้งนี้เล่นแรงไปไหม ที่นี่มีศิษย์สำนักโยวิไม่น้อยเลยนะ ได้ยินมาว่ามีผู้าุโหลายท่านกำลังเดินทางมาด้วย หรือจะเราจะซ่อนตัวก่อนดี?”
“หือ?” หลินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีมึนงง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ทำไมต้องซ่อนตัวล่ะ?”
“คือ…” เวินโหวได้ยินคำถามก็ถึงกับพูดไม่ออก
“เมื่อกี้เราแย่งชิงของจากฟางจวิ้นมาเสียขนาดนั้น หากสำนักโยงิรู้เข้าละก็ คิดว่าพวกเขาจะยอมรามืองั้นหรือ?”
“ไม่ต้องห่วง เพราะคนที่ชิงสมบัติพวกนั้นคือเวินโหวจากหุบเขาหมื่นอสูรไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะเกี่ยวกับข้าเลยนี่…” หลินเฟยลูบจมูกน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้สึกผิด
“…” เวินโหวได้ยินดังนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“ไม่เอาแบบนี้สิ ข้าเป็แค่ผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์หกตัวเล็กๆเท่านั้น มีหรือจะไปต่อกรกับสำนักโยวิได้ ศิษย์พี่หลินกลับไปบอกกับพวกเขาอีกรอบเถอะว่าเมื่อครู่นี้พูดผิด ที่จริงไม่ได้ชื่อเวินโหวจากหุบเขาหมื่นอสูร…”
“คิดว่าพวกเขาจะเชื่องั้นหรือ?”
“เอ่อ…”
หลังจากได้สมบัติกลับมามากมาย หลินเฟยและเวินโหวก็อารมณ์ดีทีเดียว บัดนี้คนทั้งคู่กำลังคุยเล่นอยู่บนหลังเ้าปลาั์ ขณะกำลังมุ่งหน้ากลับทางเดิม ทว่าตอนที่บินผ่านหุบเขาแห่งหนึ่งนั้น หลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา สายตาก็จดจ้องไปยังหุบเขาที่อยู่เบื้องหน้า
“ตรงนั้น ดูเหมือนจะเกิดปัญหา!”
“หืม?”
เวินโหวได้ยินเช่นนั้นก็ใ โดยไม่กล้าออกเสียงแม้แต่นิดเดียว บัดนี้กำลังทำท่าทางเลียนแบบหลินเฟย โดยยืนนิ่งมองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าเช่นกัน…
และก็เป็อย่างที่คิดไว้ หุบเขาเบื้องหน้าที่ห่างออกไปไม่กี่ลี้มีลำแสงกระบี่พวยพุ่งขึ้น แถมยังมีลมปีศาจกระโชกแรงอีก ไอปีศาจก็ปั่นป่วนเป็อย่างมาก เพียงมองจากที่ไกลๆก็รู้สึกเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำเข้ามา อีกทั้งภายในยังมีเสียงระฆังดังขึ้นเป็ระยะ นอกจากนี้ยังเห็นเงาดำขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาอีกด้วย และทุกครั้งที่เงาดำร่วงลงมา พื้นดินก็พลันสั่นะเืรุนแรง…
“เราไปดูกันเถอะ” ั์เนตรของหลินเฟยสะท้อนเป็ประกายขึ้นทันที
“ช้าก่อน…” เวินโหวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปยังลำแสงกระบี่ที่กำลังพวยพุ่ง
“ศิษย์พี่หลิน คนพวกนั้นดูเหมือนจะเป็ศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน…”
“สำนักกระบี่หลีซาน แล้วไง?”
หลินเฟยพูดจบ ก็รีบมุ่งหน้าไปยังหุบเขาทันที เวินโหวเห็นดังนั้นก็รีบติดตามไปด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม…
เป็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่จริงๆ
ฝ่ายหนึ่งเป็ปีศาจขั้นเยาเจี้ยงสี่ตน โดยแต่ละตนล้วนมีความสูงนับสิบจ้าง ทั่วทั้งลำตัวก็เต็มไปด้วยไอปีศาจเข้มข้น ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็ปีศาจขั้นหก แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บัดนี้ปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ต่างก็มีาแมากมาย แม้แต่ลูกสมุนปีศาจด้านหลังก็ล้มตายจนซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด เืแดงหลั่งไหลดั่งสายน้ำ กลิ่นคาวเืรุนแรงปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา…
บัดนี้ปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ตนต่างก็หยิบยกอาวุธออกมาปิดล้อมเหล่าผู้บำเพ็ญนับสิบเอาไว้อย่างแ่า เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นเพียงหมอกควันดำมากมายที่รายล้อมอยู่และแสงสว่างระยิบระยับเท่านั้น ดูท่าจะเป็อาวุธหยางฝูที่มีมนต์สะกดอย่างน้อยสามสิบกว่าสาย…
“ค่ายกลสี่อสูร?” หลินเฟยขมวดคิ้วทันที ‘นี่มันหนึ่งในค่ายกลโเี้ที่มีชื่อเสียงนี่นา เรียกได้ว่ามีพลังเทียบเท่าศาสตราวุธเลยทีเดียว ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานพวกนี้โชคร้ายไม่เบา ที่ดันถูกค่ายกลนี้ปิดล้อมเอาไว้’
พอพินิจดูอีกครั้งก็พบว่าศิษย์สำนักกระบี่หลีซานสิบกว่าคนในค่ายกลต่างก็ได้รับาเ็ ลำแสงกระบี่ก็อับแสงลง พลังปราณเหือดแห้ง ดูแล้วจะเหลือพลังเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น ที่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์หกผู้นั้นคนเดียว คนผู้นี้มียันต์คุ้มกาย หนึ่งคนหนึ่งกระบี่คอยต้านค่ายกลสี่อสูรได้โดยไม่ตกเป็รอง!
“นี่มันเฉิงหัวนี่!”
เวินโหวะโเสียงดังขึ้นทันที…
จะว่าไปเฉิงหัวเองก็ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในแถบทะเลอูไห่ นอกจากเป็ศิษย์สายตรงลำดับที่สี่แล้ว ยังฝึกเคล็ดวิชากระบี่ลู่เยาอีกด้วย เมื่อสิบปีก่อน เฉิงหัวถูกส่งมาที่พิภพซ่างจง โดยหลายปีที่ผ่านมาถือว่าสังหารมารปีศาจไปไม่น้อยเลย จึงทำให้เ้าตัวมีชื่อเสียงขจรไกล เรียกได้ว่าสูสีกับจงหยางและหวังจิ่งก็ว่าได้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เฉิงหัวจะถูกค่ายกลสี่อสูรปิดล้อมเอาไว้เสียแล้ว…
แน่นอนว่าเฉิงหัวเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน…
ตอนแรกที่ก้าวเข้ามาในซากปรักหักพังเหล่านี้ สำหรับเฉิงหัวนั้น นับว่าโชคดีมาก ถึงกับมีวาสนาเจอของดีถึงสองครั้งติดกัน ครั้งแรกก็ได้ยันต์จิงกังไร้พ่ายมาครอง เพียงบงการยันต์ออกมา ก็ทำให้เหล่าสิ่งชั่วร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ และสามารถต้านรับการโจมตีของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันได้เล็กน้อยอีกด้วย ส่วนครั้งที่สองก็ได้พบกับสวนสมุนไพรโบราณ ที่ไม่รู้ว่าผู้าุโท่านใดหลงเหลือเอาไว้ ด้านในมีสมุนไพรนานาชนิดราวกับดินแดนแห่งสรวง์…
ทว่าตอนที่เฉิงหัวก้าวเท้าออกจากสวนสมุนไพร ก็ดันเจอเข้ากับปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกสี่ตนนี้
หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างก็าเ็สาหัส
บัดนี้ปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ต่างก็จนมุม ส่วนศิษย์น้องนับสิบที่พามาด้วยก็เจ็บหนัก เฉิงหัวคิดไม่ถึงว่า่เวลาแห่งความเป็ตายนี้ ปีศาจทั้งสี่จะงัดเอาอาวุธหยางฝูสี่ชิ้นออกมาบงการเป็ค่ายกลสี่อสูร กระทั่งสุดท้ายก็ได้กักขังพวกเขาเอาไว้…
สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าอันตรายเลยทีเดียว…
แม้จะมียันต์จิงกังไร้พ่ายคุ้มกายเอาไว้ แต่ก็ยากที่จะทำลายค่ายกลนี้ออกไปได้อยู่ดี…
ทางด้านปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ก็ถือโอกาสนี้ฟื้นฟูอาการาเ็ และดูเหมือนกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้แบบนี้ละก็ เมื่อใดที่ปีศาจเยาเจี้ยงทั้งสี่ฟื้นตัวขึ้นมา เกรงว่าตอนนั้นคงจะเป็เวลาตายของเฉิงหัวแล้ว…
นอกเสียจากจะมีคนช่วยเหลือ…
‘ทว่าในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ใครที่ไหนจะมาช่วยกันเล่า?’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------