คนพวกนั้นรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน สำเนียงการพูดอย่างไรก็ไม่ใช่คนเป่ยฉี อีกทั้งพวกเขาดูไม่เหมือนโจรทั่วไป ยิ่งเมื่อครู่สังเกตได้ว่าเขาลงมืออย่างระวังไม่ทำร้ายตนเอง ดังนั้นก็ตัดประเด็นว่าเป็มือสังหารที่ผู้อื่นส่งมาได้เลย
ที่นางท้าประลองกับคนที่เป็หัวหน้าก็เพื่อดูกระบวนท่าของเขาให้ชัดเจนเท่านั้น เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าจะเป็คนของแคว้นหนานมู่ เช่นนั้นคนที่ใช้วิธีการแบบนี้เชิญตนเองมาก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา
นางหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ ไม่คิดว่าองค์ชายหนานจี๋หานแห่งหนานมู่จะใช้วิธีต้อนรับแขกเช่นนี้ ช่างทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ แต่นางก็เริ่มคิดว่าเพราะเหตุใดหนานจี๋หานจึงพาตนเองมาที่นี่ เขามีเป้าหมายเพื่อสิ่งใดนางคิดไม่ออกจริงๆ
หาก้าใช้ตนมาข่มขู่ฉีเฉินก็ไม่น่าเป็ไปได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรฉีเฉินก็นับว่าเป็น้องเขยของเขาแล้ว เห็นอยู่ว่าหนานกู่เยว่รักฉีเฉินมาก เขาย่อมไม่้าให้นางเสียใจ และถ้าหากเขาอยากจะหาเื่กับฉีเฉินจริงๆ ไยต้องยอมให้หนานกู่เยว่แต่งงานกับเขาล่ะ?
เป้าหมายของเขาช่างจินตนาการยากเสียจริง นางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้
ขณะนั้นด้านนอกมีการเคลื่อนไหว จวินหวงนิ่งเงียบฟังเสียงคนคุยกันจากด้านนอก
"เปิ่นหวางบอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้ทำร้ายเขา เ้าเห็นคำพูดเปิ่นหวางเป็ลมที่พัดผ่านหูไปอย่างนั้นหรือ?" หนานจี๋หานกล่าววาจากระทบกระเทียบ แววตาเหี้ยมเกรียมราวกับคนที่อยู่ตรงข้ามคือศัตรูคู่อาฆาต
ขุนพลประสานมือคุกเข่าอยู่ที่พื้น หลังหยัดตรง "ความผิดข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง ขอองค์ชายโปรดลงทัณฑ์"
หนานจี๋หานมองบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า แค่นเสียงเย็นออกมาแล้วยกเท้าขึ้นถีบไปที่หน้าอกของเขา บุรุษผู้นั้นเพียงแค่ร้องขึ้นมาเสียงหนึ่งกายยังหยัดตรงไม่ล้มลงไป หนานจี๋หานมองหน้าเขา "เปิ่นหวางจะบอกให้เ้ารู้ไว้ อย่านึกว่าเ้าเป็คนสนิทของเปิ่นหวางแล้วจะทำอะไรก็ได้ หากเฟิงไป๋อวี้มีอันเป็ไป เปิ่นหวางจะป่นกระดูกเ้าให้เป็เถ้าถ่าน" กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปในสถานที่ที่คุมขังจวินหวง
พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดหนานจี๋หานจึงเห็นความสำคัญของเฟิงไป๋อวี้ ในความเห็นของพวกเขา เฟิงไป๋อวี้เป็เพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ดูไม่น่าจะประสบความสำเร็จอะไรได้ เกรงว่าคงจะมีแต่หนานจี๋หานที่ด่าคนสนิทของตนเองเพื่อเขา
หนานจี๋หานผลักประตูเข้าไป จวินหวงมองเขาอย่างเ็า ใบหน้าไม่มีความตระหนกหรือความประหลาดใจแม้แต่น้อย
หนานจี๋หานเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกสนใจ เขาไม่คิดว่าบัณฑิตหน้าขาวอย่างเฟิงไป๋อวี้จะมีความกล้าหาญเยี่ยงนี้ ยิ่งทำให้เขาคิดว่าคนที่ตนเองสนใจไม่ธรรมดา
จวินหวงเพ่งพิศหนานจี๋หาน นี่นับว่าเป็ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้พบหน้ากัน เมื่อก่อนจวินหวงเป็คนตัวคนเดียวมาอาศัยอยู่ในจวนเฉินอ๋อง และหนานจี๋หานก็เป็องค์ชายผู้มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในแคว้นหนานมู่ ผู้คนมากมายตั้งไม่รู้เท่าไรล้วนโจษจันกันว่าหนานจี๋หานก็คือฮ่องเต้แคว้นหนานมู่ในอนาคต
"องค์ชาย ไม่คิดว่าพวกเราจะได้พบกันเร็วขนาดนี้" จวินหวงยิ้มบางๆ ราวกับว่าไม่ได้เก็บเื่นี้มาใส่ใจเท่าใดอยู่แล้ว ดวงตากระจ่างใสเยือกเย็นยิ่งทำให้ห้องเล็กๆ ที่ทรุดโทรมแห่งนี้ดูสว่างไสวอย่างเห็นได้ชัด
"เ้ารู้จักข้า?" หนานจี๋หานมุ่นคิ้ว เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยพบกับเฟิงไป๋อวี้ แม้แต่ตอนที่ฉีเฉินจะพาเขาไปแนะนำให้ทุกคนรู้จัก ตนเองก็ไม่ได้ออกไปเผยตัวให้เห็น
จวินหวงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่มีน้ำเสียงเยาะหยันสักนิด ตอนที่นางเหลือบตาขึ้นมองหนานจี๋หาน เขายังรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ลองถามว่าจะมีใครที่เข้าใกล้อันตรายแต่ยังสงบนิ่ง และยังยิ้มได้เหมือนกับจวินหวงบ้าง
ผ่านไปชั่วครู่จวินหวงก็ยังไม่เอ่ยปากอันใด กลับเป็หนานจี๋หานที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "ในเมื่อเ้ารู้แล้วว่าข้าเป็ใคร แล้วเ้าไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเ้าหรือ?"
จวินหวงมองหนานจี๋หานตรงๆ น้ำเสียงหนักแน่นอย่างยิ่ง "เพราะผู้น้อยรู้ว่าในเมื่อองค์ชายลงแรงอย่างลำบากยากเย็นกว่าจะจับตัวผู้น้อยมาเยี่ยงนี้ ย่อมจะไม่ทำร้ายผู้น้อยแน่นอน”
หนานจี๋หานหรี่ตามองจวินหวง รู้สึกเพียงว่าเป็คนลึกล้ำคาดเดายาก น้ำเสียงสบายๆ เช่นนี้ราวกับไม่กลัวตาย แต่คนแบบนี้ถึงจะน่ากลัวที่สุด น่ากลัวพอที่จะทำให้คนพรั่นพรึงได้
ในเวลานี้จวินหวงถูกมัดแบบเงื่อนห้าบุปผา[1] แต่ใบหน้าของเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงสีหน้าที่ขาวซีดไปหน่อย เขาย้อนคิดถึงเฟิงไป๋อวี้ตอนที่อยู่ในจวนอ๋องเมื่อครู่ พวงแก้มที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราแบบนั้นถึงจะทำให้เขารู้สึกใจสั่นได้ อาจจะเป็เพราะคิดถึงเื่นี้ จึงกวักมือเรียกคนที่อยู่ข้างนอกแล้วสั่งว่า "พวกเ้าไปเตรียมสุราชั้นดีมาให้เปิ่นหวางกาหนึ่ง"
ได้ยินเสียงประสานมือจากด้านนอก จากนั้นก็มีเสียงตอบอย่างแข็งขัน "พ่ะย่ะค่ะ" และตามมาด้วยเสียงเท้าเดินจากไป
หนานจี๋หานยืนมองจวินหวงอยู่นานถึงจะเดินเข้ามาอยู่ข้างนาง แล้วยื่นมือเข้ามาแก้มัดให้นาง เขาขมวดคิ้วยุ่งรู้สึกว่าเชือกที่มัดรัดแน่นจนเกินไป ทันทีที่เชือกคลายออกมองเห็นรอยมัดที่ข้อมือ หัวคิ้วก็ยิ่งมุ่นเป็รอยลึก
เขายื่นมือเข้าจะช่วยจวินหวงนวด แต่จวินหวงรีบชักมือกลับทันที แล้วลุกขึ้นไปยืนด้านข้าง มองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย แต่บนใบหน้ายังมีความรู้สึกระวังตัวอยู่ไม่มากก็น้อย
มือของหนานจี๋หานคว้าไปได้แต่ความว่างเปล่า เขายกมือขึ้นแล้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทาบทอบนใบหน้าของเขา ยิ่งเห็นถึงความขาวซีดราวกับคนไร้เรี่ยวแรงอย่างชัดเจน เส้นผมยาวเลื่อนปรกลงมาด้านหน้าตามการเคลื่อนไหว เขายื่นมือมารวบเรือนผมสีดำขลับไปไว้ด้านหลัง สุดท้ายก็หันมามองจวินหวงด้วยสายตาลึกล้ำ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับมิได้พูดกับจวินหวง
"จุดตะเกียงเข้ามาสองดวง" เขาเอ่ยปากออกคำสั่งเสียงเรียบๆ
สักพักก็เห็นบุรุษชุดดำสองนายยกตะเกียงเข้ามาอย่างเงียบเชียบราวกับิญญา ไม่มีเสียงเท้าเดิน ดูเหมือนว่าแม้แต่เสียงหายใจก็ยังไม่มี หลังจากนั้นไม่นานคนที่ไปเอาสุราก่อนหน้านี้ก็กลับมา เขานำแก้วหยกขาวและสุรามาหนึ่งกาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้าง แล้วถอยออกไปอย่างเคารพนบนอบ
หนานจี๋หานเดินเข้าไปนั่งก่อน จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นมองมาที่จวินหวงแล้วถามว่า "เ้ายินดีจะร่วมดื่มสุรากับเปิ่นหวางหรือไม่?" พูดจบก็รินสุราให้ตนเอง และถ้วยที่อยู่ตรงข้าม
จวินหวงก็ไม่ได้แสดงความเกรงใจแม้แต่น้อย นางตรงเข้ามานั่ง มองสุราบนโต๊ะภายใต้แสงเทียน น้ำสุราใสเย็นจนมองเห็นก้นแก้ว นิ่งมองอยู่นานถึงยื่นมือออกมายกขึ้นจิบคำหนึ่ง รสชาติสุราที่ชิมออกมาได้ไม่ใช่สุราของเป่ยฉี มันมีความเผ็ดร้อนบาดคอเกินไป
"นี่เป็สุราที่มีเฉพาะในหนานมู่ของเรา คุณชายคิดว่าเป็อย่างไรบ้าง?" หลังจากดื่มเข้าไปอีกคำ หนานจี๋หานถึงเอ่ยปากถาม
"ขมเฝื่อนเล็กน้อย บาดคอ เผ็ดร้อนไปถึงหัวใจ องค์ชายควรจะดื่มแต่น้อยจะดีที่สุด เพราะทำร้ายม้ามและปอด หากองค์ชายชอบดื่ม ต้องลองลิ้มสุราของซีเชว่ รสชาตินุ่มละมุนดียิ่งนัก" จวินหวงกล่าวขึ้น
หนานจี๋หานฟังแล้วก็กระดกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย "คุณชายเป็คนซีเชว่หรือ?"
"ไม่ใช่" จวินหวงกล่าวอย่างแ่เบา แก้วหยกขาวที่ถืออยู่ในมือแวววับอยู่ภายใต้แสงจันทร์ น้ำสุราข้างในก็ดูราวกับน้ำทิพย์ แต่รสชาติขมฝาดจริงแท้
"ผู้น้อยเพียงแต่เคยไปเที่ยวเท่านั้น"
หนานจี๋หานพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ถือแก้วหยกขาวไว้แล้วก็ปล่อยใจลอยไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกตัวอีกครั้งสุราในแก้วก็หกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไหลลงมาเปียกโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านล่าง จวินหวงกำลังนั่งเอามือเท้าศีรษะมองเขาอยู่
มองจนกระทั่งหนานจี๋หานรู้สึกตัวแล้ว จวินหวงถึงค่อยเอ่ยขึ้นเนิบๆ เบาๆ "ไยองค์ชายต้องทำเช่นนี้ด้วย ในเมื่อตามข้ามาก็ต้องมีธุระ ในเมื่อเป็เช่นนี้ องค์ชายก็พูดมาตามตรงเถิด"
หนานจี๋หานสีหน้าไม่เปลี่ยน หัวเราะเบาๆ "ไม่คิดว่าคุณชายจะเป็คนชัดเจน ตรงไปตรงมาเช่นนี้" จากนั้นเขาก็พูดตรงๆ "เมื่อตอนอยู่จวนเฉินอ๋อง ข้าเห็นคุณชายแล้วก็รู้สึกว่าคุณชายเป็ผู้มีความสามารถเหนือคนธรรมดา ในเมื่อคุณชายรับใช้อยู่ข้างกายฉีเฉิน คิดว่าก็คงย่อมรู้ถึงเื่เศร้าของราชวงศ์ ที่ข้าทำเช่นนี้ในวันนี้ก็เพียง้าให้คุณชายช่วยเหลือข้า ในวันที่ข้าได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ ก็จะเป็วันที่ชื่อเสียงของคุณชายได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์"
เขากล่าวมาด้วยความจริงใจ ดวงตาที่มองจวินหวงยิ่งหนักแน่นมั่นคง จวินหวงมองเขาอย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็ก้มหน้ามองสุราบนโต๊ะ ที่ยิ่งดูใสแจ๋วภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง
คำกล่าวที่จริงจังตรงไปตรงมาของเขาทำให้จวินหวงใจลอยลืมสติไปชั่วครู่ จึงนิ่งงันไร้วาจา การรอคอยแบบนี้สำหรับหนานจี๋หานแล้วคือความทรมานอย่างหนึ่ง เขากลัวว่าตนเองจะพูดได้ไม่ดีพอที่จะสั่นคลอนความรู้สึกของจวินหวงได้
"ที่คุณชายยังลังเลใจเช่นนี้ เป็เพราะฉีเฉินในตอนนี้เป็รัชทายาทแล้ว แต่ข้าเป็เพียงองค์ชาย โอกาสที่จะได้เป็ฮ่องเต้ยังอยู่อีกไกลไม่เหมือนกับเขาใช่หรือไม่ หากคุณชายกังวลเื่นี้..."
"องค์ชายคิดมากไปแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่ามีผู้สนับสนุนองค์ชายมากมาย ทรงเป็ตัวเลือกในตำแหน่งฮ่องเต้เพียงหนึ่งเดียวในใจของผู้คนเ่าั้ แล้วไยองค์ชายต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยเล่า?" จวินหวงกล่าวเรียบๆ ตัดบทหนานจี๋หาน
หนานจี๋หานยิ่งคิ้วขมวดอย่างไม่กระจ่างใจ "ในเมื่อเป็เช่นนี้ เหตุใดคุณชายจึงลังเลเช่นนี้อยู่เล่า? เพียงแค่คุณชายยอมเป็ผู้ช่วยของข้า รอวันที่ข้าได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้แน่นอนแล้ว ท่านจะอยู่ใต้เพียงคนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น มีสิ่งใดที่ยังไม่พอใจอีกหรือ?"
จวินหวงมองหนานจี๋หานก็รู้ว่าเขาจริงจังมากจริงๆ ดวงตาทั้งสองจ้องนางเขม็งราวกับว่าจะจ้องให้ตนเองสลายไปในอากาศปานนั้น
สิ่งที่เขาเสนอมานับว่าเป็เงื่อนไขที่ใจกว้างเหลือเกิน แม้แต่ฉีเฉินยังไม่เคยให้คำสัญญาถึงเพียงนี้มาก่อน แต่น่าเสียดาย สิ่งที่จวินหวง้ามิใช่สัญญาที่ว่างเปล่าเหล่านี้ นาง้ากำลังจากแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะช่วยนางแก้แค้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น... ฉีเฉินก็เป็เพียงที่พึ่งพิงชั่วคราวของนางเท่านั้นเอง
"ในเมื่อองค์ชายกล่าวมาเช่นนี้ ก็ย่อมเข้าใจถึงหลักเหตุผลที่ว่านกดีย่อมต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้พำนัก ข้อเสนอที่องค์ชายกล่าวมามิได้บกพร่อง เพียงแต่ว่าองค์ชายยังมิใช่กิ่งไม้ที่ผู้น้อยหมายมาดให้เป็ที่พักพิง หวังว่าองค์ชายจะเข้าใจ" จวินหวงกล่าวอย่างเป็กลางไม่ดูต้อยต่ำหรือวางเขื่องจนเกินไป แววตาที่มองหนานจี๋หานเรียบเฉยราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามิได้มีสถานะเป็ผู้สูงศักดิ์ แต่เป็เพียงคนธรรมดาที่มาขอความช่วยเหลือเท่านั้น
ลมโชยมาบางเบา สุราบนโต๊ะเกิดเป็ระลอกน้อยๆ ภายใต้ความใสกระจ่าง ใครจะรู้ว่ามันมีรสชาติร้อนแรงอย่างหาใดเปรียบมิได้ จนกว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติด้วยตนเอง
หลังจากฟังคำพูดของจวินหวงแล้วสีหน้าของหนานจี๋หานก็ดูย่ำแย่ หว่างคิ้วขมวดเป็ร่องลึก แต่คนที่อยู่ตรงข้ามกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ราวกับว่านางเห็นอารมณ์ของตนเองเป็เพียงความว่างเปล่า นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองยิ่งขึ้น
เขาอยากจะทำลายความเฉยชาของนาง และความสุขุมเยือกเย็นของนางเสีย
จวินหวงก้มศีรษะลงมองสุราในแก้วหยกขาว นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็ยกสุราขึ้นดื่มจนหมด สุราแม้ว่าจะแรงฤทธิ์ แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องก็ทำให้ร่างกายอบอุ่น สามารถขับไล่ความหนาวเย็นออกจากราตรีนี้ไปได้
หนานจี๋หานโกรธมากจริงๆ โกรธจวินหวงที่ไม่รู้จักดีชั่วปฏิเสธคำเชิญของเขาอย่างไร้ความกระจ่างแจ้งเช่นนี้ เขาลุกขึ้นพรวดปัดแก้วหยกขาวคว่ำจนสุราหกรดอาภรณ์จนเปียกชุ่ม แต่ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งนั้น พวกเขาเพียงแค่จ้องมองซึ่งกันและกัน คนหนึ่งมองลงมา อีกคนมองขึ้นไป
เขามองจาก้าลงมาที่จวินหวง แต่จวินหวงเพิ่งจะดื่มสุราเข้าไป ตอนนี้เืฝาดจากฤทธิ์สุรากำลังกระจายไปบนใบหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลาของนาง พวงแก้มแดงเรื่อปรากฏแก่สายตา ในดวงตาฉ่ำพราวราวกับมีน้ำขังอยู่ เปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวนเป็ที่สุด
แท้จริงแล้วนางก็คือสตรี ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเป็บุรุษ มวยผมแบบบุรุษก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้มาก เดิมทีนางก็เป็หญิงสาวที่สง่างาม ครานี้เมื่อความอ่อนหวานในแบบสตรีกับความเป็ชายมาปะทะกัน ก็ให้อีกอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจ
..........................................................................................................
[1] เงื่อนห้าบุปผา คือการมัดแขนแบบเอาแขนไพล่หลัง มัดข้อมือไว้ แล้วเกี่ยวเชือกพันทั้งลำแขนแล้วไปคล้องไว้ที่คอ ด้านหลังจะมีเชือกที่คล้องแยกเป็ห้าแฉก ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้