หนานจี๋หานมองนางราวกับถูกสะกดให้ลุ่มหลง เขาไม่เคยเจอบุรุษที่งดงามเช่นนี้มาก่อน แววตาของเขาอ่อนโยนลงมาไม่น้อย แต่ในใจของจวินหวงกลับรู้สึกตระหนก นางเริ่มเมาจริงๆ เสียแล้ว รู้สึกวิงเวียนศีรษะได้แต่ใช้มือรองรับศีรษะเอาไว้
อาจเป็เพราะแสงเทียนที่วูบไหว การควบคุมความเคลื่อนไหวของคนจึงไหววูบไปด้วย หนานจี๋หานดื่มสุราไปไม่น้อย ตอนนี้จึงร่างกายจึงซวนเซไม่มั่นคง เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อประคองตนเองให้มั่นคงขึ้นแล้วหลับตาหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมาสายตาของเขาก็ยังคงถูกดึงดูดด้วยท่าทางมึนเมา และพวงแก้มแดงฝาดที่เผยให้เห็นถึงความงดงามของจวินหวง
บางทีอาจเป็ความเคลิบเคลิ้ม หรือว่าอาจเป็เพราะถูกแสงจันทร์มอมเมาให้ลืมสติ หนานจี๋หานตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้ว สายตาที่มองจวินหวงยิ่งดูดดื่มลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่จวินหวงยังไม่รู้ตัวเท่านั้น
ท่ามกลางบรรยากาศงดงามวาบหวามละมุนละไม หนานจี๋หานก้าวเข้าไปใกล้นาง จวินหวงมองเห็นรองเท้าปักดิ้นทองของเขา จึงมุ่นคิ้วแหงนหน้าขึ้น ก็เห็นความวูบไหวในดวงตาของหนานจี๋หาน หัวคิ้วของนางยิ่งมุ่นขมวด พยายามจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน
หนานจี๋หานมีหรือจะยอมให้จวินหวงหนีไป เขายื่นมือเข้ามากดบ่าของจวินหวงไว้จนจวินหวงขยับไม่ได้ แล้วยิ่งก้มลงมาใกล้ชิดกับจวินหวงขึ้นเรื่อยๆ
"องค์ชาย..." จวินหวงสร่างเมาไปกว่าครึ่ง พอจะอ้าปากพูดอะไรก็ถูกหนานจี๋หานยื่นมือมาปิดปากเอาไว้ คำพูดที่ไม่ได้กล่าวออกมาจึงหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก
จวินหวงเงยหน้าขึ้นมองหนานจี๋หาน ในดวงตาลึกไม่เห็นก้นบึ้ง ใบหน้าเฉยชา ความงามจับใจคนเมื่อครู่มลายหายสิ้น ทำให้หนานจี๋หานรู้สึกขัดใจเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดน้อยๆ ใช้นิ้วมือลูบไล้ลงไปที่คิ้วของจวินหวงเบาๆ "เคยมีผู้ใดกล่าวหรือไม่ว่าหากคุณชายเกิดเป็สตรีจะต้องงดงามมากแน่นอน?"
จวินหวงมองหนานจี๋หานอย่างไม่เข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าเขาคงเมาแล้ว แต่ก็ยังพยักหน้า หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า "เมื่อก่อนไท่จื่อก็เคยกล่าวเช่นนี้" พูดแล้วก็ยื่นมือไปลูบคลำใบหน้าของตนเอง แล้วหัวเราะอย่างจนใจ
"ข้าก็คิดเช่นนั้น ตัวอยากจะเป็ชายชาตรีที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แต่อนิจจาที่หน้าตาเป็แบบนี้"
หนานจี๋หานไม่กล่าววาจาใดๆ เอาแต่มองจวินหวง แววตายิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ นิ้วมือที่กดลงบนบ่าของจวินหวงยิ่งหนักขึ้น ราวกับจะฝังลงไปในกระดูกที่ไหล่ของนางเยี่ยงนั้น จวินหวงเพียงแค่ย่นคิ้วไม่ได้ขัดขืน ตอนนี้นางยังไม่ชัดเจนว่าหนานจี๋หานกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงยังไม่กล้าบุ่มบ่าม
"หากเป็สตรีก็คงจะดีมาก สตรีที่งดงามเช่นนี้ ต้องทำให้บุรุษทั้งใต้หล้าตกหลุมรักเป็แน่" อีกมือหนึ่งของหนานจี๋หานลูบไล้อยู่บนใบหน้าของจวินหวงอย่างเพลิดเพลิน ทำเอาจวินหวงสั่นสะท้านไปเล็กน้อย
จวินหวงยอมรับการกระทำที่น่าละอายเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ จึงยื่นมือไปยึดมือของหนานจี๋หานไว้ "องค์ชายควรจะเคารพในเกียรติของตนเองสักหน่อย"
หนานจี๋หานได้ยินเช่นนั้น แววตาก็พลันแข็งกร้าวขึ้นทันที ราวกับได้ยินถ้อยคำที่ดูิ่ศักดิ์ศรีอย่างยิ่งใหญ่ เขาคว้าข้อมือจวินหวงไว้ น้ำหนักมือที่รุนแรงทำให้ข้อมือของนางปรากฏเป็รอยแดงขึ้นมา รอยแดงที่ตัดกับผิวขาวซีดที่ข้อมือดูเสียดแทงั์ตาอย่างฉับพลัน
"เฟิงไป๋อวี้ เ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเ้าเป็ใคร? เ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของคนที่ไม่เชื่อฟังข้าจะเป็อย่างไร? เ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเ้าได้โดยไม่มีใครรู้?" ใบหน้าของหนานจี๋หานฉายแววอำมหิตในขณะที่กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาจากปาก สีหน้าคล้ำเขียวภายใต้แสงเทียนดูน่าสะพรึงกลัวราวกับผีร้ายในขุมนรก
แต่จวินหวงเป็ผู้ใดกันเล่า? นางยังคงเยือกเย็นเป็ตัวของตัวเอง เย่อหยิ่งราวกับดอกถานฮวา[1] ราชินีบุปผายามราตรี แสงจันทร์กระจ่างเยือกเย็นทำให้นางดูราวกับอยู่ในห้วงฝัน ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้มอ่อนๆ เป็รอยยิ้มที่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งหรือไขว่คว้า แต่เปี่ยมเสน่ห์ยากจะต้านทาน
"ผู้น้อยย่อมรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือองค์ชายหนานจี๋หานแห่งแคว้นหนานมู่ หากองค์ชาย้าชีวิตของผู้น้อยไยจะมิได้เล่า? เพียงแต่ไม่ทราบว่าที่องค์ชายทำเช่นนี้... เพราะทรงชื่นชมหลงหยาง[2]เช่นนั้นหรือ?"
คำพูดนี้ดั่งกระชากให้คนตื่นจากห้วงความฝัน หนานจี๋หานตาสว่างตื่นขึ้นจากความฝันแสนงดงามของตนเองโดยฉับพลัน มองจวินหวงที่นั่งอยู่อย่างอึ้งงัน เหงื่อเย็นไหลย้อยลงมา เกือบไปแล้วอีกนิดเดียวเท่านั้น เขาเกือบจะทำสิ่งที่ขัดต่อหลักจริยธรรมไปแล้ว เวลานี้เมื่อมาคิดดูก็อดรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้
เขาไอเบาๆ เสียงหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนเื่เมื่อครู่ แต่แววตาเปิดเผยตรงไปตรงมาของจวินหวงราวกับกำลังเตือนถึงการกระทำโดยไม่ได้ยั้งคิดและอารมณ์ชั่ววูบของเขา ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
เขาจับข้อมือของจวินหวงไว้อีกครั้ง หัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า "เฟิงไป๋อวี้ เ้าต้องยอมรับว่าหากเปิ่นหวาง้าจะรับเ้าเข้าไปอยู่ในตำหนักหลังของเปิ่นหวางจริงๆ เ้าก็ไม่อาจขัดขืน เพราะเ้าไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธได้ เ้าเป็เพียงแค่แขกสำคัญคนหนึ่งในจวนเฉินอ๋องเท่านั้น จะมีคุณค่าอะไรให้เขานึกเสียดาย? หรือเ้าคิดว่าตอนนี้ฉีเฉินเรืองอำนาจ เ้าจึงคิดจะเกาะกิ่งสูงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับในโลกมนุษย์อีกแล้วเช่นนั้นหรือ?"
แววตาของจวินหวงปราศจากความพรั่นพรึงแม้แต่น้อย นางเห็นความขุ่นเคืองของหนานจี๋หานก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เรียวคิ้วของนางโค้งโก่งราวกับวงพระจันทร์นอกหน้าต่าง ในดวงตาเหมือนมีทะเลดาวพราวแสงระยิบระยับ
"ไยองค์ชายต้องขุ่นเคืองเช่นนี้? จากที่องค์ชายกล่าวมา ผู้น้อยเป็เพียงคนไม่มีความสลักสำคัญใดๆ คนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้น้อยยังเกิดมาเป็บุรุษ สมควรจะรีบแต่งสตรีเข้ามาให้เป็ฝั่งเป็ฝา แล้วจะไปเป็คนในตำหนักหลังขององค์ชายได้อย่างไร? ราตรีนี้องค์ชายคงต้องมนตร์จันทราจนหลงใหลลืมสติไปใช่หรือไม่?" นางกระดกคิ้วขึ้น ในน้ำเสียงมีแววเยาะหยันอยู่หลายส่วน รอยยิ้มยิ่งเผยชัดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุม
หนานจี๋หานฟังวาจาของจวินหวงแล้ว สีหน้ายิ่งเข้มขรึมขึ้นเรื่อยๆ เขาขบกรามแน่นพยายามควบคุมไฟโทสะที่สุมอยู่ในอก อยากจะฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลาของจวินหวงใจจะขาด แต่สุดท้ายเขาก็อดกลั้นเอาไว้ได้ บางทีอาจเป็เพราะเขาไม่้าให้บนใบหน้าของจวินหวงปรากฏเป็รอยแดงที่ไม่ได้เกิดจากฤทธิ์สุราก็เป็ได้
ในที่สุดหนานจี๋หานก็สะบัดแขนของจวินหวงออกไป เขาสูดหายใจลึกๆ เอามือไพล่หลังแล้วยืนขึ้น แค่นเสียงหึ! พ่นลมหายใจจากจมูกเสียงหนึ่งแล้วก็เดินจากไป เมื่อเดินมาถึงประตู เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่สั่งคนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูด้วยน้ำเสียงเย็นะเื "พวกเ้าเฝ้าเขาไว้ให้ดีๆ หากเขาหนีไป พวกเ้าก็ทิ้งชีวิตอยู่ในเป่ยฉีนี่แหละ" เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก กล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อจากไปทันที
คนเ่าั้กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจากความประมาทเลินเล่อ จึงรีบปิดประตูทันที ไม่กล้าพูดสิ่งใดกับจวินหวงแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อครู่หนานจี๋หานไม่ได้สั่งให้มัดนางอีก พวกเขาย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามทำเกินคำสั่ง
รอจนกระทั่งทุกสิ่งเงียบสงบลง จวินหวงถึงกดลงไปที่ข้อมือในตำแหน่งที่ถูกหนานจี๋หานบีบเมื่อครู่ แม้ว่าจะใช้แรงมาก แต่นอกจากรอยแดงแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น
การดื่มสุราอย่างต่อเนื่องสุดท้ายแล้วก็เป็การทำลายสุขภาพ แล้วยังการกระทำของหนานจี๋หานก็ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ แท้จริงแล้วนางก็เป็สตรี สตรีที่ไหนบ้างจะไม่กลัวเื่แบบนี้?
นางเป็เพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นางก็หวาดกลัวเป็เหมือนกัน
ตอนนี้หนานจี๋หานไปแล้ว ความตึงเครียดของนางก็ผ่อนคลายลง ความเครียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบจะทำให้นางสติแตก เหงื่อเย็นไหลซึมจนเปียกชุ่มคอเสื้อ หน้าผากก็มีเหงื่อไหลหยดติ๋งๆ บริเวณขมับในเวลานี้ก็เต้นตุบๆๆ ราวกับจะะโออกมาอย่างไรอย่างนั้น
นางอ่อนเปลี้ยไปทั่วร่าง นอนฟุบอยู่ตรงนั้นไม่สามารถขยับได้ ราวกับว่าแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ในร่างกายได้สูญสิ้นไปแล้ว เวลาผ่านไปนานนางถึงจะมีการตอบสนองกลับมา สีหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว กลิ่นคาวเืในปากรุนแรงนัก แต่นางก็กัดฟันกลืนเอากลิ่นรสราวกับสนิมเหล็กนั้นกลับเข้าไป
นางออกแรงใช้มือยันให้ตนเองลุกขึ้นมานั่ง ไม่สนใจสักนิดว่าชุดแพรต่วนของตนเองจะยับย่นเพียงไหน เพียงแต่หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับความไม่สบายที่อยู่ในร่างกายเอาไว้ หยัดกายนั่งหลังตรงแล้วยกแก้วหยกขาวขึ้นมา รินสุราให้ตนเองแล้วดื่มเข้าไปหนึ่งคำ ความร้อนแรงแผดเผาจนลืมตาไม่ขึ้น น้ำตาราวกับจะพุ่งออกมา
เวลาผ่านไปนาน นางถึงค่อยได้สติกลับมา บริเวณขมับไม่เต้นราวกับจะะโออกมาเช่นนั้นอีก ไม่มีความรู้สึกแสบร้อนในช่องท้องขึ้นมาอีก เงาจันทร์สะท้อนอยู่ในแก้วสุราเย็นใส จวินหวงมองแล้วก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มไป
สุราที่เจิ่งนองบนโต๊ะยังไม่เหือดแห้ง นางยกแขนเสื้อข้างที่เปียกไปกว่าครึ่ง ชุดแพรต่วนสีเข้มยิ่งดูเข้มขึ้นจากรอยน้ำที่ประทับลงไป เพียงแต่รู้สึกว่าดูไม่อึดอัด และกลับมีความรู้สึกเป็ธรรมชาติไปอีกแบบ
ในที่สุดนางก็เมาแล้ว สุราในแก้วซัดสาดไปพันลี้ แสงจันทร์ส่องสกาวบนทางช้างเผือก แสงสะท้อนในสุราราวกับดวงดาราระยิบระยับชวนให้คนมึนเมา แก้วหยกขาวที่อยู่ระหว่างนิ้วมือร่วงลงมากระทบกับพรมนุ่มบนพื้นเกิดเสียงดังขึ้น
คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินความเคลื่อนไหว กลัวว่าจวินหวงจะเกิดเื่ รีบผลักประตูเข้ามา กลับเห็นเพียงแค่จวินหวงนอนคว่ำหน้าเมาหลับอยู่บนโต๊ะเท่านั้น ก็ถอนหายใจแล้วกลับออกไป ไม่สนใจว่าจวินหวงจะหนาวจนเป็หวัดหรือไม่
"เป็อย่างไรบ้าง" บุรุษที่อยู่ด้านนอกถามขึ้น
"เฮ้อ... ก็แค่เมาเหมือนแมวตัวหนึ่ง ไม่เป็อะไรหรอก พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ" พูดจบทั้งคู่ก็เดินจากไป
วันต่อมา ตอนที่จวินหวงตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างมาก ราวกับว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสมองของนางผสมปนเปกันไปหมด ปวดจนหัวแทบะเิดังถูกอาชานับร้อยบดขยี้ ในดวงตาค่อยๆ มีน้ำตาไหลซึมออกมา
รอจนกระทั่งอาการปวดหัวค่อยทุเลาลง นางลุกขึ้นมาซวนเซเล็กน้อย หน้าต่างถูกปิดสนิท แสงตะวันเพียงเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาทางช่องว่างของกรอบหน้าต่างในลำแสงปรากฏเงาฝุ่นละอองล่องลอยในอากาศ ทำให้นางเกิดความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันราวกับว่าตนเองกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่ในวังหลวงซีเชว่
วันวานผ่านไปไม่อาจเหนี่ยวรั้งไว้ได้ นางรู้สึกะเืใจเล็กน้อย แต่นางย่อมกระจ่างใจดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะมาอ่อนไหว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่ฟ้าไม่เป็ใจ หลังจากวันนั้นหนานจี๋หานก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก ทุกวันมีเพียงคนมาส่งอาหารหยาบๆ ชาจืดๆ ให้มื้อหนึ่ง กินแล้วในท้องก็ไม่รู้สึกสบาย ร่างกายก็ยังอ่อนเพลีย สีหน้าซีดเซียวไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย
ทุกวันจวินหวงจะนั่งอยู่ที่โต๊ะเหม่อมองแก้วหยกขาวบนโต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าเช่นนี้ทุกวัน
เื่ราวเหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้หนานจี๋หานจิตใจไม่สงบ คำพูดของเฟิงไป๋อวี้เสียดแทงจิตใจของเขา เขาเสียการควบคุมตนเองไปจริงๆ เฟิงไป๋อวี้ก็เป็เพียงบุรุษคนหนึ่ง จะปล่อยให้ตนเองทำผิดง่ายๆ ด้วยเื่แบบนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิดถึงเื่นี้ ในใจก็ยิ่งมีปมมากมายเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถคลายปมออกและไม่มีใครรู้ได้ ทุกๆ วันกว่าตะเกียงในห้องของหนานจี๋หานจะดับลงก็ดึกมากแล้ว
ในที่สุดจวินหวงก็รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเสียเวลากับหนานจี๋หานอยู่แบบนี้ได้อีกต่อไป นางยังมีงานที่ต้องทำ นอกจากนี้หากนางหายไปนานเกินไป ฉีเฉินจะเกิดความสงสัยเอาได้ แต่ที่นางกังวลมากที่สุดก็คือหนานสวิน หากเขามาหาตนเองแล้วไม่พบเขาจะเป็อย่างไร?
นางไม่รู้ ยิ่งไม่กล้าหาคำตอบที่อาจเป็ไปได้
วันนี้คนของหนานจี๋หานยกอาหารเข้ามาให้เหมือนทุกวัน เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นว่าจวินหวงมีสติแจ่มชัด ปกติหลายวันก่อนหน้านี้จวินหวงมักจะนั่งเหม่อลอยทั้งวันไม่มีสติแจ่มใสขึ้นมาเช่นนี้
ผู้มาเดิมทีก็คิดจะถอยออกไป แต่กลับถูกจวินหวงเรียกไว้ นางยิ้มแล้วกล่าวว่า "รบกวนพี่ชายช่วยไปแจ้งองค์ชายใหญ่ว่า ผู้น้อยมีเื่อยากจะหารือกับเขา"
คนผู้นั้นพยักหน้า หลังจากถอยออกไปแล้วก็ให้คนไปเชิญหนานจี๋หานจากที่พักชั่วคราว ไม่กล้าถ่วงเวลาให้ล่าช้าแม้เพียงนิดเดียว เดิมทีหนานจี๋หานก็้าดึงเฟิงไป๋อวี้มาอยู่ข้างกายเขาอยู่แล้ว ตอนนี้นางคาดว่าเขาคงทนรอไม่ไหวแล้ว
..........................................................................................................
[1] ดอกถานฮวา เป็ดอกไม้ที่บานเฉพาะในเวลากลางคืน ระยะเวลาในการเบ่งบานสั้นมาก ดอกสีขาวคล้ายดอกแก้วั มีฉายาเป็ราชินีบุปผายามราตรี
[2] หลงหยาง เป็ชื่อชายคนรักของเว่ยอ๋องในยุคจ้านกั๋ว เป็ตำนานของชายรักชายที่เลื่องชื่อ