บรรยากาศภายใต้แสงจันทร์และดวงดาวเช่นนี้ ชวนให้หวนคะนึงถึงบ้านเกิด แววตาของนางพลันหม่นเศร้า ลมพัดกระโชกมาทำให้ได้สติขึ้นมาไม่น้อย เพียงแต่... นางเริ่มรู้สึกปวดท้อง
หนานจี๋หานมองเห็นว่าจวินหวงเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เมื่อเห็นว่าคนอื่นไม่ได้สังเกตตนเองอยู่ เขาก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบๆ และกลับไปสถานที่พักชั่วคราวของตน
ในห้องรับแขกของที่พักเต็มไปด้วยคนของหนานจี๋หาน พวกเขาแต่ละคนดวงตาเย็นะเืราวกับผีร้ายแห่งราตรี ที่สามารถกลืนกินจิติญญาของผู้คนให้อยู่ในการหลับใหลไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยตลอดกาล
"เมื่อครู่ที่ข้าให้พวกเ้าซุ่มดูอยู่ ได้เห็นคนที่ชื่อเฟิงไป๋อวี้แล้วหรือยัง? จดจำลักษณะของเข้าได้หรือไม่?" หนานจี๋หานถามขึ้น ลมราตรีกระโชกเข้ามาทางหน้าต่างที่เขาลืมปิด เปลวเทียนไหววูบไปเล็กน้อยคล้ายว่าจะดับลงในไม่ช้า
หนึ่งในคนกลุ่มนี้พยักหน้าภายใต้แสงสลัว น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น "จำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ทำให้องค์ชายผิดหวังแน่นอน จะจับคนผู้นั้นมาให้ได้"
ริมฝีปากของหนานจี๋หายเผยรอยยิ้มเยือกเย็น ดวงตายิ่งลึกล้ำ "เฟิงไป๋อวี้เป็คนมากความสามารถที่หาได้ยาก หากเขายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ข้าย่อมจะตอบแทนให้พวกเ้าอย่างงาม แล้วก็อย่าทำร้ายเขาเด็ดขาด หากเขามีอันเป็ไป พวกเ้าก็อย่าหวังจะได้อยู่สบาย"
"องค์ชายโปรดวางพระทัย ข้าน้อยทำงานย่อมรู้หนักเบา" พูดจบคนกลุ่มนั้นก็ถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง ค่ำคืนนี้มิใช่ราตรีอันแสนสงบสุข หนานจี๋หานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย นิ้วมือขาวซีดลูบไล้ไปบนขอบถ้วยชา ริมฝีปากแสยะยิ้มราวกับปีศาจ แววตาลึกล้ำดูน่ากลัว
จวินหวงก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงอยากหลีกหนีจากความคึกคักและความเจริญของเมืองหลวง กว่านางจะรู้สึกตัว ตนเองก็ออกมาไกลจากถนนสายหลักเสียแล้ว ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไป ความมืดยามราตรีครอบคลุมไปทุกหนแห่ง ตอนนี้นางไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน จะหาใครสักคนเพื่อถามทางก็ไม่พบใครเลย ที่นี่นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครอื่น นางเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ความเ็ปในช่องท้องเริ่มโจมตีนางขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าขาวซีดไม่มีสีเืแต่งแต้มเลยแม้แต่น้อย
นางประคองตนเองอยู่ที่ต้นเสาด้านข้างพักผ่อนเล็กน้อย เหงื่อเย็นไหลออกมาชุ่มหน้าผาก นางไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เสียงก้าวเท้าปริศนาที่ดังขึ้น คนอย่างนางมีหรือจะไม่ได้ยิน
หัวคิ้วของนางขมวดแน่น เวลาและสถานที่แบบนี้ ผู้มาย่อมไม่ได้มาดีแน่ นางสูดลมหายใจลึกๆ หยัดกายตรงขึ้นมา มือล้วงเข้าไปหยิบเข็มเงินแทงลงไปที่ข้อมือ บัดนี้สติรับรู้ของนางตื่นตัวอย่างเต็มที่ ความพร่าเลือนในดวงตาค่อยๆ หายไป แล้วนางก็พบว่าเบื้องหน้าของนางในตอนนี้มีกลุ่มคนชุดดำไม่เปิดเผยใบหน้ายืนขวางอยู่ ทั่วร่างของพวกเขาแผดกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างแรงกล้า
"พวกเ้าเป็ใคร?" จวินหวงลดเสียงให้เบาลง และพยายามควบคุมตนเองให้สงบนิ่ง
"พวกข้าเพียงแค่อยากเชิญคุณชายไปเป็แขก" ผู้เป็หัวหน้าที่ยืนอยู่ตรงข้ามกล่าวตอบ
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะเย็นเยือก "ข้าไม่ยักจะรู้ว่ามีวิธีการเชิญแขกแบบนี้ด้วย ที่นี่เป็เมืองหลวง พวกเ้าอย่ามาก่อความวุ่นวายจะดีกว่า หากพวกเ้าสร้างปัญหาให้คนที่ส่งพวกเ้ามา เขาก็คงไม่ปล่อยพวกเ้าไปแน่ๆ"
"ในเมื่อคุณชายไม่ยอมทำตามที่ขอร้อง เช่นนั้นผู้น้อยคงต้องล่วงเกินแล้ว วันหน้าผู้น้อยจะชดใช้คืนให้แน่นอน" ผู้ที่เป็หัวหน้าพูดจบก็ยกกระบี่ขึ้น คนที่อยู่ด้านหลังแต่ละคนต่างชักกระบี่ออกมา ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้าไป
สายลมยามราตรีเย็นเสียดกระดูก ชายอาภรณ์ของจวินหวงสะบัดพลิ้วลมจนเกิดเสียงดัง ดวงตาที่งดงามมาแต่กำเนิดของนาง มาบัดนี้ก็ยังคงเป็เช่นเดิม ชุดแพรต่วนหรูหราไม่อาจปิดบังความสง่างามของนางไว้ได้
แสงสีเงินยวงพุ่งวาบออกไป คนชุดดำสองสามคนที่อยู่ด้านหน้าสุดฝั่งตรงข้ามกุมคอไว้ด้วยความเ็ปแล้วร่วงลงที่พื้น ดิ้นรนอยู่ไม่กี่ทีก็สิ้นลม อีกไม่กี่อึดใจร่างก็ของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็คล้ำเขียว โลหิตไหลออกทั้งเจ็ดทวาร กลายเป็ภาพอันสยดสยองภายใต้เงาจันทร์ที่ทาบทับลงมา
ดวงตาเรียวของคนชุดดำผู้เป็หัวหน้าดำมืดในฉับพลัน หัวเราะเสียงเย็นเยียบแล้วกล่าวขึ้น "ผู้น้อยนึกว่าคุณชายเป็วิญญูชนผู้สูงส่ง ไม่คิดว่าจะลงมือโหดร้ายเช่นนี้"
"เฮอะ! กับคนอย่างพวกเ้าจำเป็ต้องใช้คุณธรรมด้วยหรือ?" คนพวกนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาของจวินหวงอยู่แล้ว น้ำเสียงของนางเย็นะเื ชวนให้คนรู้สึกสะพรึงกลัว
ที่จริงแล้วคนชุดดำผู้นี้ผ่านโลกมามาก อีกอย่างคนของเขาก็มีเยอะ แม้จะคิดว่าจวินหวงน่าจะมีความสามารถอยู่จริง แต่ก็ไม่ได้นำคำพูดของจวินหวงมาใส่ใจ ในสายตาของพวกเขา ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ
จวินหวงยืนอยู่เดียวดาย ถนนด้านหลังไร้ผู้คน ท้องฟ้ามืดมิดประดับไปด้วยหมู่ดาว นางหัวเราะเบาๆ หยิบพัดออกมาจากเอวแล้วสะบัดกางออก ความเย็นเยือกแผ่ออกมาทั่วร่าง แววตาของนางลุกวาวและเย็นเยียบราวกับดวงตะวันในฤดูเหมันต์ ไม่จำเป็ต้องใช้กระบี่ก็สั่นะเืจิตใจผู้คนได้
"คนแบบนี้หากข้าได้ตัวมาใช้งาน ก็ถือว่าเป็วาสนาของหนานมู่เราแล้ว" คำพูดของหนานจี๋หานดังก้องอยู่ในหูของเขา หัวหน้าคนชุดดำผู้นี้เป็ผู้ติดตามของหนานจี๋หาน เขาเป็แม่ทัพที่มากความสามารถ เสี่ยงเป็เสี่ยงตายมานับไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าหนานจี๋หานเลื่อมใสคนมีความสามารถ แต่น้อยครั้งนักที่จะได้ยินหนานจี๋หานเอ่ยปากว่า้าใครสักคน ดังนั้นเขาจะต้องพยายามสุดความสามารถนำตัวจวินหวงไปมอบให้หนานจี๋หานให้จงได้
ในขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือ จวินหวงกลับหัวเราะเสียงเยือกเย็นขึ้นมา เสียงหัวเราะชวนให้ขนลุกราวกับผีร้ายในราตรีที่มืดมิด กลุ่มคนชุดดำล้วนมองหน้ากัน หวั่นใจว่าจวินหวงจะใช้วิธีการสังหารที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกครั้ง
"ฟังจากสำเนียงของทุกท่านแล้ว คงจะไม่ใช่คนเป่ยฉีสินะ?" จวินหวงเลิกคิ้วถามขึ้น
หัวหน้าคนชุดดำหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าจวินหวงจะมาไม้ไหน เดิมทีจวินหวงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายอยู่แล้ว เขาคงไม่สามารถใช้วิธีการเจรจาอีกต่อไป จึงยกกระบี่ขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาจวินหวงทันที
จวินหวงพลิกกายหลบการโจมตี เดิมทีนางคิดจะทำาน้ำลายกับคนพวกนี้ถ่วงเวลา รอมีคนผ่านมาพวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไร ใครจะรู้ว่าคนกลุ่มนี้กลับลงมือทันทีไม่ไว้หน้ากันสักนิด
"คุณชายอย่าได้คิดเอาชนะด้วยวาจา พวกเราขอล่วงเกินแล้ว" พูดจบก็ไม่ให้โอกาสจวินหวงได้ตอบโต้อะไรอีก เสือกกระบี่เข้าหาทันที แต่เนื่องจากไม่สามารถทำร้ายนางให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเขาจึงใช้สันดาบในการโจมตี
จวินหวงใช้พัดตั้งรับกระบี่ไว้ พลางถอยหลังกรูด พัดกระดูกหยกเกือบจะถูกคู่ต่อสู้ฟันหลุดจากมือ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มกลั้นความเ็ปในช่องท้องเอาไว้ ฉับพลันขมับของนางก็เต้นตุบๆ สายตาเย็นเยียบจ้องไปที่คนพวกนั้น
เจตนาสังหารผุดขึ้นในความคิดอย่างฉับพลัน นางหยิบขวดยาพิษออกมาถือไว้ในอุ้งมือ ความเย็นจากขวดกระเบื้องเคลือบทำให้นางมีสติแจ่มชัดขึ้น มือของนางสั่นเล็กน้อยจนเกือบจะเปิดขวดไม่ได้
"ตั้งโล่" คนชุดดำผู้เป็หัวหน้าออกคำสั่งทันทีที่เห็นขวดกระเบื้องเคลือบในมือของจวินหวง
คนชุดดำแต่ละคนดึงโล่ขนาดเล็กออกมาสวมไว้ที่แขนด้านหน้า แล้วจัดกระบวนทัพล้อมรอบจวินหวงไว้อย่างแ่า
"ฮู่! ฮ่า!" กลุ่มคนชุดดำใช้กระบี่เคาะโล่ และเสียงเท้าย่ำราวกับจังหวะรัวกลองกระชับวงล้อมเข้าอย่างรวดเร็ว
จวินหวงหรี่ตาลง ในใจคิดว่าศัตรูเหล่านี้ถูกฝึกมาเป็อย่างดี จะต้องไม่ใช่มือสังหารหรือโจรธรรมดาแน่นอน และเป็ไปไม่ได้ที่จะเป็ชาวเป่ยฉี เช่นนั้นก็มีแค่...
ผู้ที่เป็หัวหน้าหันไปทางพวกเขา โบกมือขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "รุก"
ชายชุดดำทั้งหมดตั้งโล่ป้องกันพุ่งเข้าหาจวินหวงอย่างรวดเร็ว การโจมตีพร้อมกันอย่างบ้าระห่ำเช่นนี้ไม่มีหนทางที่จะต่อต้านได้ จวินหวงขว้างขวดกระเบื้องเคลือบในมือลงพื้นด้านหน้าของนาง ในชั่วพริบตาก็เกิดหมอกควันสีม่วงปกคลุมไปทั่วบริเวณ
"ระวังมีพิษ" ไม่รู้ว่าเป็ใครที่ะโบอก แต่ก็สายไปเสียแล้ว คนที่หายใจเอาควันพิษเข้าไปต่างล้มลง เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานกองทัพที่ล้อมอย่างแ่าก็แตกกระบวน
มีคนเพ่งมองเข้าไปในวงล้อม ก็ไม่เห็นเงาของจวินหวงแล้ว "แย่แล้ว คนหายไปแล้ว"
"ฮึ! แผนสูงนัก เตรียมปล่อยแห"
ทันทีที่คำสั่งออกมา แหดักปลาขนาดใหญ่ก็ถูกปล่อยออกมาจากสองด้าน เดิมทีจวินหวงคิดจะฉวยโอกาสหนีไปใน่เหตุการณ์ชุลมุน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสอีกแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด ก็ถูกแหดักปลาจับตัวไว้
...
จวินหวงก้าวถอยไปจนติดกำแพง นางมองคนชุดดำด้วยสายตาเย็นเยียบ แค่นเสียงหึออกมา ใบหน้าของนางดูขุ่นเคืองเล็กน้อยแต่ในใจกลับสงบนิ่ง "ใช้ธนูลับลอบทำร้ายให้คน[1] ทำให้คนไม่อาจป้องกันตัวได้ ไม่คิดว่าพวกเ้าคนก็มากมายขนาดนี้ยังจะใช้อุบายแบบนี้ออกมาได้ ข้าไม่เคยพบเคยเห็นแบบนี้มาก่อน ช่างน่าขันจริงๆ"
"ไยคุณชายต้องกล่าวเช่นนี้ พวกเราแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น"
"หากแน่ใจว่าไม่ได้ทำสิ่งที่น่าละอาย แล้วเ้ากล้าสู้กับข้าตัวต่อตัวไหมล่ะ?" จวินหวงเปลี่ยนเื่พูด
ผู้ที่เป็หัวหน้าฟังดังนั้นก็หัวเราะ จากการหยั่งเชิงเมื่อครู่เขาก็รู้กำลังความสามารถของจวินหวงแล้ว เขาคิดว่าจวินหวงก็เพียงแค่กำลังยื้อเวลาเท่านั้น
"ในเมื่อเป็เช่นนี้ ผู้น้อยก็ขอล่วงเกิน" กล่าวจบก็ออกหมัดพุ่งออกไปทันที จวินหวงพยายามสังเกตวิธีการออกหมัดของบุรษผู้นี้อย่างละเอียด จากนั้นก็ใช้ตอบโต้ด้วยทักษะการป้องกันตัวที่นางเรียนรู้มาจากหนานสวินเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้
แท้จริงแล้วกำลังของบุรุษและสตรีก็มีช่องว่างที่แตกต่างกันอยู่มาก แม้ว่าร่างกายของจวินหวงจะแข็งแรงเพียงใดแต่ก็เป็สตรี อีกทั้งเพิ่งเรียนรู้การต่อสู้มาก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ไหนเลยจะเป็คู่ต่อสู้กับแม่ทัพที่ฝึกฝนมาเป็อย่างดีได้ เพียงไม่นานก็ตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ถูกบีบให้ถอยหลัง
พิษในร่างกายกำลังจะกำเริบ ใบหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็ขาวซีด หน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมาจนต้องใช้มือหนึ่งปาดเหงื่อ อีกมือหนึ่งคอยป้องกันและตั้งรับหมัดที่ปล่อยมาจากคนผู้นั้น
ไม่นาน จวินหวงก็เผยจุดอ่อนออกมาให้เห็น คนผู้นั้นปล่อยหมัดพุ่งออกไปที่ท้องของจวินหวงโดยไม่ลังเล จวินหวงกระเด็นไปด้านหลังชนเข้ากับกำแพงสีเทาอย่างแรง ร้องออกมาด้วยความเ็ป กลิ่นคาวเืกระจายอยู่ในลำคอ นางกัดฟันแล้วพ่นเืเสียออกมาจากปาก สายตาก็จ้องมองกลุ่มคนชุดดำที่ล้อมรอบตนเองอยู่
พิษในร่างกายของนางวิ่งพล่านกะทันหัน แม้ว่านางจะฝังเข็มควบคุมเอาไว้อย่างเร็วที่สุด แต่ก็ยังกระอักเืออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ โลหิตสีแดงฉานกระจายอยู่บนพื้นภายใต้แสงจันทร์ คนอื่นๆ ไม่สนใจอะไรอีก เข้ามาคุมตัวจวินหวงไป
"พวกเ้าสองคนเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย" คนที่เป็หัวหน้าสั่งงานอีกสองคนที่เหลือ ทั้งสองคนพยักหน้า แต่ตอนที่ทำความสะอาดกลับไม่สามารถทำความสะอาดคราบโลหิตที่อยู่บนพื้นได้ ในที่สุดก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่กลับไป
หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่นาน คนตีเกราะบอกเวลาก็เดินมาทางนี้ เมื่อเห็นคราบโลหิตบนพื้น ฆ้องก็ร่วงจากมือ ในใจรู้สึกหวาดกลัวมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นคนได้รับาเ็ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เหลือทิ้งไว้เลย เหงื่อเย็นไหลซกวิ่งหนีออกไปจากที่นั่นทันที
ตอนที่จวินหวงฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในบ้านที่ดูทรุดโทรมและรกรุงรัง รอบด้านไม่มีใครอยู่เลย แต่นางรู้สึกได้ว่ารอบด้านน่าจะมีสายตาที่ไม่อาจนับจำนวนได้จับตามองตนเองอยู่ นางถูกมัดขึงอยู่บนเก้าอี้ไม่สามารถขยับตัวได้
นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยังรู้สึกปวดท้องเหมือนเดิม พิษในร่างกายถูกสกัดเอาไว้ชั่วคราว ดวงตาของนางกระจ่างใส ดวงตาเยือกเย็นมองพิจารณาไปรอบด้าน
แม้ว่าตัวจะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แต่นางกลับสงบนิ่ง เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าใครเป็ผู้สั่งให้พาตัวนางมาที่นี่ คิดมาคิดไปก็มีเพียงแค่คนผู้นั้น...
..........................................................................................................
[1] ใช้ธนูลับลอบทำร้ายคน หมายถึง ใช้แผนการลับหรืออุบายลอบทำร้ายผู้อื่น