จวินเชียนจี้มองไปยังเฟิ่งสือจิ่นพลางบอก “ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกว่าโรคประหลาดหรือ?” เขาพูดอย่างใจเย็น “ในอดีต แคว้นเว่ยเคยมียาชนิดหนึ่ง เป็ยาที่มีฤทธิ์ร้อน ยานี้ช่วยขับความหมองหม่นและเหนื่อยล้าออกไปจากร่างกายได้ ผู้ที่กินยานี้เข้าไปจึงแลดูงดงามเปล่งปลั่งราวกับได้เกิดใหม่ ยานี้มีชื่อว่า ‘ยาห้าสหาย’ ”
เฟิ่งสือจิ่นกล่าว “ยาห้าสหายเป็ยาเสพติดมิใช่หรือ ถึงว่า พระสนมอวี๋ถึงดูงามสง่าราวกับนางฟ้านาง์ ที่แท้นางก็กินยาห้าสหายเข้าไปนี่เอง แต่ยาห้าสหายไม่สามารถทำให้ชีพจรของนางหายไปได้นี่”
จวินเชียนจี้ตอบ “หากกินร่วมกับหญ้าอมฤตที่มีฤทธิ์เย็น ก็จะสร้างสภาวะเช่นนี้ได้” เฟิ่งสือจิ่นอ้าปากขึ้น นางเตรียมจะถามบางอย่าง แต่ในขณะนั้น จวินเชียนจี้หันกลับมามองหน้านาง ดวงตาที่สะท้อนแสงสีแดงของดวงตะวันยามเย็นช่างเปล่งประกายราวกับอัญมณีที่งดงามจนน่าทึ่ง ั์ตาคู่นั้นมองลึกเข้ามาในดวงตาของเฟิ่งสือจิ่น นางหัวใจกระตุกวูบ คำพูดที่กำลังจะถามออกมาถูกลบลืมไปชั่วขณะ ยังดีที่จวินเชียนจี้รู้ใจนางเสมอ เขาพูดขึ้น “นี่เป็ทักษะลับด้านการหลอมยาของนักพรต หมอหลวงไม่รู้เื่นี้ก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร”
เมื่อเป็เช่นนี้ โรคประหลาดของพระสนมอวี๋ก็ไม่ใช่ปริศนาอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่านางจงใจทำเช่นนี้ แต่จุดประสงค์ของนางคืออะไรกันแน่?
จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็พูดขึ้น “อาจารย์ คืนนี้ ให้ข้าพักอยู่ในตำหนักจาวหยวนเถอะ”
จวินเชียนจี้ขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วย
เฟิ่งสือจิ่นพูดต่อ “ให้ข้าอยู่ต่อ จะได้สืบให้รู้ไปเลยว่าเื่มันเป็มาอย่างไรกันแน่ หากมีผีจริง ข้าก็จะจับผี หากเป็คน ข้าก็จะจับตัวมันมาให้ได้ มีแค่ทางนี้ถึงจะรักษาโรคของพระสนมอวี๋ได้โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น ต่อให้อาจารย์จะกลับเข้าวังอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เื่นี้ก็ไม่มีทางคืบหน้าอยู่ดี”
เดิมที จวินเชียนจี้ก็เตรียมจะทำเช่นนี้เหมือนกัน เขาเป็ชาย ไม่อาจพักอยู่ในวังหลวงได้ ไม่เหมือนเฟิ่งสือจิ่น ทว่าหลังเข้าเฝ้าฝ่าา จวินเชียนจี้ก็ล้มเลิกความคิดนี้ลงทันที “เื่พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋ ข้าจะหาทางแก้เอง เ้ากลับไปพร้อมกับข้าเถอะ”
เฟิ่งสือจิ่นเดินตามไปหลายก้าวก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “อาจารย์... ท่านกังวลเื่ฝ่าาหรือ?” จวินเชียนจี้ไม่ตอบ เฟิ่งสือจิ่นจึงดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ เมื่อทั้งสองหยุดฝีเท้าลง เฟิ่งสือจิ่นก็รีบพูดต่อ “อาจารย์ วางใจเถอะ ตำหนักจาวหยวนมีเื่ประหลาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่าาไม่มีทางมาเหยียบสถานที่อัปมงคลเช่นนี้หรอก”
“หากฝ่าาเรียกเ้าไปเข้าเฝ้าล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ศิษย์จะหาทางบ่ายเบี่ยงเอง หากไม่ทำเช่นนี้ละก็ พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋ก็จะไม่หายเสียที เมื่อถึงตอนนั้น อาจารย์ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ ฝ่าาเองก็จะจับตามองและกดดันอาจารย์มากกว่าเดิม”
ซวงเอ๋อร์ประคองพระสนมอวี๋ออกมาเดินเล่นภายในตำหนัก นางเตือนด้วยเสียงอ่อนโยน “พระสนมระวังเพคะ ค่อยๆ ก้าว”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกตำหนัก ซวงเอ๋อร์หันไปมองตามเสียง จึงพบว่าเฟิ่งสือจิ่นที่ควรจะออกไปจากวังหลวงเดินกลับมาที่ตำหนักอีกครั้ง สีหน้าของซวงเอ๋อร์เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ปฏิกิริยาที่ซับซ้อนและยากจะแกะความหมายของซวงเอ๋อร์หนีสายตาของเฟิ่งสือจิ่นไม่พ้นอยู่แล้ว “เ้าดูแลรับใช้พระสนมอวี๋อย่างดี ช่างน่าซาบซึ้งใจเสียจริง ท่านอาจารย์เป็ห่วงเื่พระอาการของพระสนม เลยสั่งให้ข้าพักอยู่ในตำหนักจาวหยวนเพื่อดูอาการของพระสนมอย่างใกล้ชิด”
ซวงเอ๋อร์ยืนตัวแข็งทื่อ “ท่านราชครูช่างรอบคอบเสียจริง ในเมื่อเป็เช่นนี้ บ่าวจะรีบไปจัดหาที่พักให้แม่นางเดี๋ยวนี้”
“รบกวนด้วย”
หลังออกไปจากวัง จวินเชียนจี้ก็มีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย เขาไม่ได้กลับจวนราชครูทันที แต่มุ่งหน้าไปที่จวนองค์ชายสี่แทน เขาไม่ได้เดินเข้าไปในจวน ทว่ารออยู่ที่หน้าประตู แล้วให้ทหารประจำจวนเข้าไปรายงานองค์ชายสี่แทน
เพียงไม่นาน ซูกู้เหยียนก็เดินออกมาจากจวนองค์ชายสี่ ทันทีที่เห็นจวินเชียนจี้ เขาก็ชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย ซูกู้เหยียนมั่นใจว่าตนไม่ได้สนิทสนมกับราชครู จึงไม่เข้าใจว่าราชครูมาหาตนถึงจวนด้วยเื่ใดกันแน่ ขณะที่ซูกู้เหยียนกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ จวินเชียนจี้ที่ยืนหันหลังให้ก็หันหน้ากลับมา
ซูกู้เหยียนก้าวเข้าไปหาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง จวินเชียนจี้ประสานมือคารวะ “ถวายบังคมองค์ชายสี่”
ซูกู้เหยียนตอบ “ท่านราชครูอย่ามากพิธีเลย ไม่ทราบว่าราชครูมาด้วยธุระใด?”
จวินเชียนจี้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับซูกู้เหยียน พลางพูดด้วยเสียงราบเรียบ “แน่นอนว่าต้องเป็เื่ภายในครอบครัวขององค์ชายสี่”
ตะวันยามเย็นทอดส่องมายังพื้นพิภพ แสงสีแดงฉาบย้อมให้ท้องนภาเปลี่ยนสี ช่างงดงามดุจดั่งผ้าแพรชั้นดี คล้ายกับเปลวเพลิงที่ปกคลุมวังหลวงแห่งนี้เอาไว้ เฟิ่งสือจิ่นกินอาหารเย็นในวังจาวหยวน นางพบว่าวันนี้พระสนมอวี๋ดูกระปรี้กระเปร่าไม่น้อย นางให้ซวงเอ๋อร์ประคองตนออกไปเดินเล่นภายในสวน ขณะสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหมู่ผกา ใบหน้างดงามก็ประกายรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมา แม้แต่เฟิ่งสือจิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ยังถอนสายตาจากรอยยิ้มนี้ไม่ได้เลย
เพียงแต่ พระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์มักจะกระซิบกระซาบกันเป็ระยะ เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้ยินว่าพวกนางพูดเื่อะไรกัน แต่ดูจากท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคนแล้ว เฟิ่งสือจิ่นมั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างเ้านายกับคนรับใช้ธรรมดาๆ แน่
เฟิ่งสือจิ่นเอ่ยเสียงราบเรียบ “พระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์ช่างสนิทสนมกันเหลือเกิน”
พระสนมอวี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางพูดเกินไปแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากปิดบัง ความจริงซวงเอ๋อร์เป็สาวรับใช้ที่ข้าพามาจากบ้านเกิด นางเป็คนเชื่อฟัง แถมยังรู้กาลเทศะ ข้าจึงชอบนางเป็พิเศษ”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง”
เมื่อสิ้นเสียงก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมอง ความนิ่งเรียบและใจเย็นบนใบหน้าก็สลายหายไปจนหมดสิ้น เพราะนางพบว่าคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดคือขันทีหวัง ซึ่งเพิ่งพบกันหน้าห้องทรงอักษรใน่เช้าที่ผ่านมานั่นเอง
ขันทีหวังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถวายบังคมพระสนมอวี๋ คารวะแม่นางเฟิ่ง สีหน้าของพระสนมดูดีขึ้นเยอะเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมอวี๋มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางพูดด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย “หามิได้ ต้องขอบคุณท่านราชครู วันนี้ ข้ารู้สึกสดชื่นกว่าปกติเล็กน้อย เพราะไม่ได้ออกมาข้างนอกเป็เวลานาน จึงฉวยโอกาสนี้ออกมาเดินเล่นสักหน่อย”
ซวงเอ๋อร์พูดแทรกทันทีที่มีโอกาส “ข้างนอกลมแรงนัก พระสนม ให้บ่าวประคองเข้าไปพักด้านในเถิดเพคะ”
พระสนมอวี๋วางมือลงบนฝ่ามือที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ของซวงเอ๋อร์
ขันทีหวังพูดขึ้น “ดูท่า พระสนมอวี๋ควรพักผ่อนและรักษาตัวอีกสัก่ เช่นนั้น บ่าวมิรบกวนพระสนมแล้ว” เขาหันไปบอกกับเฟิ่งสือจิ่น “แม่นางสือจิ่น ฝ่าาเสร็จจากงานราชการแล้ว ได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งจะพักอยู่ในวัง ฝ่าาเองก็ว่างอยู่พอดี จึงอยากเชิญแม่นางไปเข้าเฝ้าเพื่อถามเื่พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋เสียหน่อย”
พระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์หยุดชะงักอยู่หน้าตำหนัก ทั้งสองหันกลับไปมองขันทีหวังอีกครั้ง เดิมทีพวกนางคิดว่าขันทีหวังมาที่ตำหนักจาวหยวนเพื่อเยี่ยมดูอาการของพระสนมอวี๋เสียอีก คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายของขันทีหวังคือเฟิ่งสือจิ่นต่างหาก
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ท่านอาจารย์เป็ผู้ดูแลอาการของพระสนม ข้าไม่รู้รายละเอียดแม้แต่น้อย ที่พักอยู่ในวังก็เพื่อสังเกตอาการของพระสนม และนำไปรายงานให้ท่านอาจารย์ทราบเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดที่สามารถนำไปรายงานต่อฝ่าาได้ หวังว่าขันทีหวังจะไม่ถือสา”
“เื่นี้... ข้าน้อยเองก็ลำบากใจเหลือเกิน นี่เป็รับสั่งจากฝ่าา ดังนั้น ต่อให้แม่นางเฟิ่งไม่มีสิ่งใดจะรายงาน ก็ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าาพร้อมกับข้าน้อยอยู่ดี”
เฟิ่งสือจิ่นนิ่งเงียบลง ขันทีหวังมาเร็วเสียจริง คาดว่าตาเฒ่านั่นคงจะสั่งให้เขามาที่นี่ทันทีที่อาจารย์ออกไปจากวังเลยสินะ ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะปฏิเสธอย่างไรดี จู่ๆ ซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่เื้ัก็พูดขึ้น “แม่นางสือจิ่น ในเมื่อเป็รับสั่งของฝ่าา เช่นนั้นแม่นางก็ไปเถิด พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋คงต้องรบกวนแม่นางอีกนาน วันนี้ท่านราชครูพูดวิเคราะห์อาการของพระสนมมาเยอะเลยมิใช่หรือ คาดว่าฝ่าาเองก็คงจะเป็ห่วงไม่น้อย เชิญแม่นางรายงานไปตามความจริงเถิด”
เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมอง น้ำเสียงของซวงเอ๋อร์แลดูจริงใจ สีหน้าก็เคร่งขรึมจริงจัง น่าเสียดายที่ดวงตาซึ่งแฝงไปด้วยเล่ห์กลคู่นั้นเปิดโปงธาตุแท้ของนางออกมาจนหมดสิ้น เมื่อสบเข้ากับดวงตาของเฟิ่งสือจิ่น ซวงเอ๋อร์ก็ข่มความรู้สึกในดวงตาลงทันที แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว...
เฟิ่งสือจิ่นส่งยิ้มบางๆ ไปให้ซวงเอ๋อร์ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะไปก็ได้ วันนี้ อาจารย์บอกว่าอาการของพระสนมไม่ได้ร้ายแรงอะไร ให้ท่านอาจารย์รักษาต่ออีกไม่กี่วันก็น่าจะหายดีแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น พระสนมต้องกลับไปปรนนิบัติฝ่าาได้อย่างแน่นอน” เป็อย่างที่คิด เมื่อสิ้นเสียง พระสนมอวี๋กับซวงเอ๋อร์ก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน