เฟิ่งสือจิ่นเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางจนปัญญาแล้ว คงต้องเล่นตามน้ำไปก่อน จากนั้นค่อยหาทางออกอีกที หากตาเฒ่าคนนั้นยังเคารพท่านอาจารย์ที่เป็ราชครูอยู่บ้าง ย่อมไม่กดดันหรือกลั่นแกล้งนางอย่างโจ่งแจ้งเกินไป
ดวงตะวันลับฟ้า แสงสว่างเลือนหาย ท้องนภาจมเข้าสู่ความมืดมน วังหลวงมีโคมไฟจุดให้แสงสว่างอยู่ทั่วทุกแห่ง ทำให้พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ แลดูงดงามและเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดวงดาราบนฟ้าเสียอีก
ระหว่างเดินผ่านสวนหลวง บงกชแตกใบเขียวชอุ่มอยู่กลางบึงน้ำ สายลมยามราตรีพัดผ่าน กระทบผิวน้ำไหวสั่นจนเกิดเป็ระลอกคลื่นขนาดเล็ก เฟิ่งสือจิ่นเดินเลียบไปตามเส้นทางข้างบึงน้ำ จู่ๆ หินก้อนเล็กๆ ก็ตกลงไปในบึง มันกระทบกับใบบัว ก่อนจะจมหายลงไปในน้ำ จ๋อม... ขันทีหวังหันกลับไปมอง พบว่าเฟิ่งสือจิ่นกำลังร้องอุทานด้วยความใ คล้ายสะดุดกับก้อนหินจนเสียหลัก ร่างบางจึงร่วงลงบึงน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว ขันทีทั้งหลายดึงนางไว้ไม่ทัน ได้แต่มองเฟิ่งสือจิ่นหล่นลงไปทับใบบัวสีเขียวในบึงจนหักลงต่อหน้าต่อตา ร่างบางกลิ้งหลายตลบ กว่าจะตกกระทบแผ่นน้ำจนคลื่นสาดกระจาย ส่งเสียงดังก้องไปทั่ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ขันทีหวังร้อนใจเป็อย่างมาก เขาคำรามก้อง “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม รีบลงไปช่วยเร็วเข้า! หากแม่นางสือจิ่นเป็อะไรไป พวกเ้าได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่!”
เฟิ่งสือจิ่นกำลังตะเกียกตะกายอยู่ในบึงน้ำ แต่กลับหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ นางเป็แค่ศิษย์คนหนึ่งของราชครู จะสำคัญจนทำให้ขันทีเหล่านี้หัวหลุดออกจากบ่าได้อย่างไร นางไม่รอช้า รีบว่ายออกไปอีกฝั่งโดยใช้ใบบัวที่เชื่อมระโยงระยางเป็เครื่องอำพราง ตราบใดที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้ใบบัว นางไม่เชื่อว่าขันทีพวกนี้จะหาตัวนางเจอ เมื่อคนเหล่านี้ไปจากที่นี่ นางค่อยแอบขึ้นไปบนบกก็แล้วกัน
โชคยังดีที่บึงน้ำในฤดูใบไม้ผลิไม่ได้หนาวเย็นนัก ขณะซ่อนตัวอยู่ใต้ใบบัว แม้จะหนาวจนฟันกระทบกัน แต่นางก็ยังฝืนทนต่อไป
แต่ดูเหมือนการตกน้ำของนางจะก่อให้เกิดเื่ใหญ่ไม่น้อย หลังสั่งให้คนตามหาอยู่นานแต่ก็ไม่พบ ขันทีหวังจึงสั่งให้องครักษ์หลวงเข้ามาช่วยหาอีกแรง องครักษ์หลวงล้อมรอบบึง แล้วเริ่มลงไปในน้ำ ไล่หาจากริมบึงไปสู่จุดศูนย์กลางของบึงอย่างช้าๆ
ไม่ว่าเฟิ่งสือจิ่นจะพยายามหลบซ่อนแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกองครักษ์หลวงหาจนเจออยู่ดี เมื่อเห็นดังนั้น นางก็หัวใจกระตุกวูบ แสร้งทำเป็ตะเกียกตะกายจนอ่อนแรงแทน นางแสดงได้แเีจนองครักษ์หลวงหลงเชื่อ รีบพานางขึ้นไปบนฝั่งอย่างไม่รอช้า
เฟิ่งสือจิ่นแช่อยู่ในน้ำเป็เวลานาน ร่างกายจึงเปียกโชก ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ เส้นผมสีดำเปียกและแนบลู่ไปกับใบหน้า ให้ความรู้สึกเย้ายวนและน่าหลงใหล นางยกแขนขึ้นมากันหน้าอกเอาไว้ ด้วยหวังว่าจะบดบังส่วนเว้าส่วนโค้งที่เผยออกมาเพราะชุดที่เปียกจนแนบเนื้อเอาไว้ นางยกมือแนบอกพลางส่งเสียงไอขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อสายลมพัดผ่าน ความหนาวเย็นก็ทำให้ร่างอรชรสั่นเทาไม่หยุด
ขันทีหวังมองดูเฟิ่งสือจิ่นพลางถามด้วยท่าทางกังวล “แม่นางสือจิ่นเป็อะไรหรือไม่ เมื่อครู่ช่างน่าหวาดเสียวเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่มากพอละก็ ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะหาตัวแม่นางภายในบึงบัวที่กว้างใหญ่แบบนั้น เกรงว่าคงต้องตัดใบบัวทิ้งจนหมดจึงจะหาเจอกระมัง!”
เฟิ่งสือจิ่นจับความหมายในคำพูดของขันทีหวังได้อย่างชัดเจน เขา้าเตือนนางว่าในวังมีองครักษ์มากมาย ไม่ว่านางจะเล่นลูกไม้อะไรก็ไม่มีทางรอดพ้นไปได้อยู่ดี นางไอจนเจ็บคอไปหมด ทว่าก็ยังยกมือขึ้นมาถูจมูกเบาๆ พลางตอบ “ขอบคุณขันทีหวังที่ช่วยชีวิต เมื่อครู่ข้าประมาทเกินไป จึงทำให้ขันทีหวังต้องวุ่นวายเช่นนี้ ทว่าบัดนี้ สภาพของข้ายุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ หากไปเข้าเฝ้า อาจถือเป็การลบหลู่เบื้องสูง ให้ข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่จวนเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาเข้าเฝ้าฝ่าาใหม่ดีหรือไม่?” พูดจบก็ส่งเสียงจามออกมา
ครั้งนี้ นางจามจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำแต่อย่างใด
ขันทีหวังพูด “จวนราชครูอยู่ห่างจากวังหลวงไม่น้อย หากแม่นางสือจิ่นกลับไปเปลี่ยนชุดที่จวน เกรงว่าจะไม่ทันการเพราะฝ่าายังรอแม่นางอยู่ อย่ากังวลไปเลย ในวังมีเสื้อผ้ามากมาย ให้หมอหลวงต้มยามาให้แม่นางดื่มไล่ความหนาวเย็นอีกหน่อย เท่านี้ก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว หากชักช้าฝ่าาอาจทรงกริ้วได้ เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่ข้าน้อยเองก็รับผิดชอบไม่ไหว หวังว่าแม่นางจะเข้าใจ”
มีขันทีวิ่งไปหาผ้าคลุมมาคลุมให้เฟิ่งสือจิ่นเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น นางกัดฟันกรอด สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นยืน นางกอดร่างกายที่สั่นเทาของตัวเองเอาไว้ แล้วเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
ตำหนักอันเป็ที่ประทับของฝ่าาสว่างเจิดจ้าจนแสบตา เฟิ่งสือจิ่นเคยเข้ามาในวังั้แ่เด็ก ทว่ายังไม่เคยย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ ทันทีที่ก้าวเข้าไป เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกคล้ายเดินเข้าไปในเหวลึกจนไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้น ราวกับว่า หากขาอีกข้างก้าวเข้ามาเมื่อใด นางก็จะตกลงไปในหลุมลึกและไม่อาจปีนขึ้นมาได้อีก
ขันทีหวังพูดด้วยเสียงที่มิอาจปฏิเสธ “ฝ่าารออยู่ด้านใน แม่นาง เชิญเถิด” เมื่อเห็นว่าเฟิ่งสือจิ่นยังเอาแต่ยืนนิ่ง ขันทีหวังจึงพูดด้วยเสียงเย้ยหยันระคนรำคาญ “แม่นางเห็นฝ่าาเป็เสือร้าย กลัวว่าฝ่าาจะกินเ้าเข้าไปหรือไร?”
เฟิ่งสือจิ่นฝืนข่มสติ สั่งให้ตนใจเย็นเข้าไว้ “ฝ่าาเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมี น่าเกรงขามกว่าเสือป่าตัวไหนๆ เป็ร้อยเท่า มีหรือที่ข้าจะไม่หวั่นเกรง” ขณะที่เดินสวนกัน เฟิ่งสือจิ่นปรายตามองรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยมารยาท ทว่าก็แสนจอมปลอมของขันทีหวังแวบหนึ่ง ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เฟิ่งสือจิ่นจึงพูดกระซิบขึ้น “หากคืนนี้ ข้าออกมาจากตำหนักนี้ได้อย่างปลอดภัย เื่วันหน้าย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเ้า ทว่าหากข้าถูกฝ่าาโปรดปราน ซึ่งหาใช่ความ้าของข้าไม่ เช่นนั้นในวันหน้า ข้าจะทำให้บ่าวอย่างเ้าเ็ปราวกับตายทั้งเป็อย่างแน่นอน”
รอยยิ้มของขันทีหวังชะงักลงเล็กน้อย เขาโค้งตัวลง “แม่นางพูดเกินไปแล้ว บ่าวแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย หากวันหน้า แม่นางอยากกลั่นแกล้งหรือลงโทษอะไร บ่าวก็คงต้องรับไว้แต่โดยดี ใครใช้ให้บ่าวทำตามรับสั่งของฝ่าาเองเล่า”
เฟิ่งสือจิ่นก้าวเข้าไปในตำหนักพลางทิ้งท้ายด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ไม่ต้องรอให้ถึงมือข้าหรอก เพราะแค่ท่านอาจารย์ก็ทำให้เ้าตายได้เป็หมื่นๆ ครั้งแล้ว”
ขันทีหวังหน้าถอดสี
ภายในตำหนัก นี่เป็อาคารที่สูงตระหง่านและยิ่งใหญ่ พื้นเบื้องล่างรวมไปถึงผนังโดยรอบแลดูสว่างเจิดจ้าแถมยังหรูหรา ให้ความรู้สึกหนักแน่นราวกับสร้างมาจากโลหะชั้นดี บนพื้นมีพรมสีแดงปูยาว สองข้างทางเต็มไปด้วยตะเกียงที่ส่องแสงสว่างออกมาอย่างงดงาม เมื่อเดินไปจนสุดทาง เฟิ่งสือจิ่นก็พบกับฮ่องเต้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องบรรทม ชุดัถูกปลดออกไปจากร่างกาย เหลือเพียงชุดคลุมชั้นกลางเท่านั้น ฝ่าากำลังอ่านหนังสืออย่างใจลอย ทันทีที่เห็นเฟิ่งสือจิ่นมาถึง ดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมาทันที ทว่าเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับเส้นผม รวมไปถึงเสื้อผ้าที่เปียกโชก แววตาก็เปลี่ยนมาเป็ลึกล้ำและยากจะแกะความหมาย
ฝ่าาเดินลงมาจากที่ประทับ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เฟิ่งสือจิ่นรีบคุกเข่าลงก่อนที่ฝ่าาจะเดินเข้ามาใกล้ นางโค้งคำนับจนหน้าผากแนบติดกับพรมนุ่มๆ บนพื้น พลางพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ถวายบังคมฝ่าา ขอฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
ฮ่องเต้ประคองแขนของเฟิ่งสือจิ่นขึ้นจากพื้น “รีบลุกขึ้นเถิด”
เฟิ่งสือจิ่นดึงแขนกลับออกมาอย่างแเี นางยกชายกระโปรงพลางลุกขึ้นยืน “กราบทูลฝ่าา เมื่อครู่ สือจิ่นไม่ระวังจึงตกลงไปในบึงน้ำ ขันทีหวังไม่ยอมให้สือจิ่นกลับไปเปลี่ยนชุด สือจิ่นจึงจำต้องมาเข้าเฝ้าฝ่าาในสภาพไม่สมควรเช่นนี้ หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอฝ่าาทรงเมตตาด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็แสดงความกริ้วขึ้นมาทางสีหน้า เขาตวาดเสียงดัง “หวังหย่งฝู!”
ขันทีหวังยืนโค้งตัวรออยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้น “ฝ่าา มีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว “นางเป็สตรีร่างกายบอบบาง ปล่อยให้เดินตัวเปียกมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่ยอมให้นางกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน นางเป็ถึงศิษย์เอกของท่านราชครู หากเจ็บป่วยขึ้นมา เ้าจะรับผิดชอบอย่างไร?”
ขันทีหวังพูดด้วยท่าทางรีบร้อน “บ่าวผิดไปแล้ว! บ่าวผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากสำนึกผิดแล้วก็รีบไปเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มา! แล้วก็ไปบอกให้หมอหลวงเคี่ยวน้ำขิงมาด้วย เร็วเข้า!”
แทนที่จะบอกว่าฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวจนตำหนิขันทีหวัง สู้บอกว่าฮ่องเต้กับขันทีหวังกำลังแสดงละครร่วมกันจะดีกว่า เฟิ่งสือจิ่นส่งเสียงจามออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าาที่เตรียมจะขยับเข้ามาใกล้จึงจำต้องหยุดตัวเองเอาไว้ เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “ฝ่าา โปรดประทานอภัยด้วย ขันทีหวังเกรงว่าฝ่าาจะรอนานจึงต้องทำเช่นนี้ เพียงแต่บัดนี้ สือจิ่นไม่อาจหยุดจามลงได้ ขอฝ่าาโปรดประทานอภัย ฝ่าาทรงกังวลเื่พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋ แต่สือจิ่นไร้ความสามารถ จึงไม่รู้รายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงท่านอาจารย์ที่รู้ทุกสิ่ง หากฝ่าามีสิ่งใดที่อยากทราบ โปรดเรียกท่านอาจารย์มาเข้าเฝ้าและตรัสถามจากท่านอาจารย์จะดีกว่าเพคะ”