ฮ่องเต้รับกล่องยามาเปิดดู กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยผ่านปลายจมูก มันเป็กลิ่นที่หอมละมุนและชวนให้กระปรี้กระเปร่าได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาพูดอย่างพึงพอใจ “ได้ยินมาว่า ตอนที่ราชครูกลับเมืองหลวง ยานี้ยังอยู่ในเตาหลอมสมุนไพร เป็ศิษย์ของท่านที่ช่วยปรุงยาต่อจนเสร็จ บัดนี้ ยาถูกส่งมาอยู่ในมือของข้าได้อย่างปลอดภัย ถือเป็ผลงานของศิษย์น้อยคนนี้ เ้าอยากได้สิ่งใด บอกข้ามา ข้าจะประทานให้เป็รางวัล”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ทั้งหมดเป็ผลงานของท่านอาจารย์เพคะ ท่านอาจารย์เป็ผู้ปรุงยา ซ้ำยังควบคุมอุณหภูมิของเตาหลอมสมุนไพรด้วยตนเอง สือจิ่นรับผิดชอบเพียงการเติมฟืนลงในเตาเท่านั้น จึงไม่กล้าอวดอ้างผลงาน สือจิ่นเพียงอยากติดตามและฝึกวิชากับท่านอาจารย์ เพื่อที่จะสืบทอดวิชาของท่านอาจารย์สืบไป ขอแค่ได้รับใช้แผ่นดินเกิด ต่อให้ต้องตาย สือจิ่นก็ยินดีเพคะ”
“ดี” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง คล้ายอารมณ์ดีเป็อย่างมาก เขาแตะไหล่เฟิ่งสือจิ่นเบาๆ “ช่างเป็เด็กที่มุ่งมั่นเสียจริง” มือใหญ่วางลงบนไหล่ของเฟิ่งสือจิ่น ก่อนจะชะงักลงเล็กน้อย คล้ายอาวรณ์จนไม่อยากยกแขนกลับมา
แต่เพราะจวินเชียนจี้กับเฟิ่งสือจิ่นทูลลา ฮ่องเต้จึงจำต้องปล่อยมือ แล้วอนุญาตให้คนทั้งสองออกไปจากตำหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อก้าวออกมาจากประตู เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่ด้านหลัง แผ่นหลังของนางมีเหงื่อท่วมั้แ่เมื่อใดไม่ทราบ ไม่นาน ขันทีหวังก็เดินตามมาเพื่อถ่ายทอดรับสั่งจากฝ่าา เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “บ่าวมาถ่ายทอดรับสั่งของฝ่าา ฝ่าาชื่นชอบแม่นางสือจิ่นเป็อย่างมาก จึงอยากให้แม่นางร่วมรักษาโรคของพระสนมอวี๋พร้อมกับท่านราชครู”
เฟิ่งสือจิ่นบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ นางตอบ “ลำบากขันทีหวังแล้ว”
เฟิ่งสือจิ่นเดินออกไปจากตำหนักพร้อมกับจวินเชียนจี้ เมื่อเดินออกมาไกล นางถึงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ขณะเดียวกัน จู่ๆ จวินเชียนจี้ก็หงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ “ต่อไป หากไม่จำเป็ก็พยายามอย่าเข้าวังอีก”
ก่อนหน้านี้ จวินเชียนจี้เตรียมจะพานางไปที่ตำหนักของพระสนมอวี๋เพื่อให้นางเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ทว่าบัดนี้ เพราะมีรับสั่งจากฝ่าา ต่อให้เปลี่ยนใจไม่อยากพานางไปด้วยก็คงไม่ทันแล้ว
นางไม่ได้โง่ มีหรือจะไม่รู้ว่าสายตาของฝ่าาหมายถึงอะไร นางมองสำรวจตนเองซึ่งแต่งกายด้วยชุดนักพรตที่ธรรมดาจนแทบไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “อาจารย์ ท่านคิดว่าข้าสวยหรือเปล่า?”
จวินเชียนจี้หันมามองนางั้แ่หัวจรดเท้าด้วยสายตาราบเรียบ จากนั้นจึงลูบหัวนางเบาๆ “ผู้เป็อาจารย์ก็เปรียบเสมือนบิดา ข้าจะปกป้องเ้าเอง ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น”
เฟิ่งสือจิ่นเชิดหน้าอกขึ้น “ข้ากำลังถามอาจารย์ว่าข้าสวยตรงไหนต่างหาก ข้ามีเสน่ห์ดึงดูดมากเลยหรือ?”
การกระทำดังกล่าว ทำให้สายตาของจวินเชียนจี้เลื่อนลงไปหยุดอยู่ตรงหน้าอกของเฟิ่งสือจิ่นโดยสัญชาตญาณ ทว่าเพียงพริบตาเดียว เขาก็เลี่ยงไปมองทางอื่น แล้วพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “อย่าเพ้อเจ้อ”
เมื่อไปถึงที่ตำหนักจาวหยวน กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ก็ลอยมากับสายลม บุปผชาตินานาชนิดเบ่งบานอยู่เต็มสวน บ่าวที่มีหน้าที่ดูแลสวนตัดดอกไม้ที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้างยามเช้าออกมาจากต้น แล้วส่งต่อให้สาวใช้ทั้งหลาย เพื่อนำไปปักในแจกันแก้วราคาแพง เมื่อทำเสร็จจึงยกแจกันเข้าไปตั้งประดับภายในตำหนัก แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนรับใช้ของตำหนักจาวหยวนใส่ใจพระสนมอวี๋มากเพียงใด
หญิงรับใช้เดินนำทางอยู่ด้านหน้า โดยมีจวินเชียนจี้และเฟิ่งสือจิ่นเดินตามไปติดๆ ณ ตำหนักจาวหยวน ม่านบางๆ ที่คล้อยลงมาจากเตียงทำให้มองเห็นพระสนมอวี๋ซึ่งกำลังนอนตะแคงได้เพียงเลือนรางเท่านั้น ทว่าแม้จะเลือนราง แต่นี่ก็เป็ภาพที่งดงามมากจริงๆ นางยื่นมือที่ขาวประดุจหยกชั้นดีออกมาวางบนหมอนที่ตั้งอยู่ข้างเตียง มันเป็หมอนรองมือสำหรับการตรวจชีพจรนั่นเอง
เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่มุมหนึ่ง มองดูจวินเชียนจี้ตรวจชีพจรให้พระสนมอวี๋อย่างสงบ
ราชครูเพียงหนึ่งคนก็ทำประโยชน์ได้มากกว่าหมอหลวงทั้งวังแล้ว เฟิ่งสือจิ่นมองแผ่นหลังของจวินเชียนจี้อย่างชื่นชม อาจารย์ช่างเป็ผู้ที่มีความสามารถหลากหลายนัก ถึงว่า ประชาชนมากมายในแคว้นจิ้นถึงนับถือและยกย่องท่านอาจารย์เช่นนี้ แถมส่วนมากยังเป็สตรีอีกต่างหาก... นางคิด
พระสนมอวี๋คล้ายจะหลับลงเสียแล้ว นางไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ผิดกับสาวใช้คนสนิทที่มีนามว่าซวงเอ๋อร์ ซึ่งถามอย่างกังวลไม่หยุดปาก “ท่านราชครู ไม่ทราบว่าพระสนมทรงมีอาการอย่างไรบ้าง? พระสนมมักจะนอนหลับตลอดทั้งวัน แต่พอถึงตอนกลางคืนกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น บอกว่ามี มี... มีิญญาร้ายคอยตามราวี ้าให้พระสนมช่วยทวงความยุติธรรมให้...” ซวงเอ๋อร์มีท่าทีหวาดผวา “ก่อนที่ท่านราชครูจะกลับมา พระสนมเคยเชิญนักบวชที่มีพลังแกร่งกล้ามาทำพิธีขับไล่ิญญาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล เมื่อวาน ท่านราชครูให้ยาแก่พระสนมถึงสองชนิด พระสนมดื่มยาแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเช่นกัน...”
ดวงิญญาร้าย พิธีขับไล่บ้าบออะไรกัน เฟิ่งสือจิ่นไม่เชื่อเื่พวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จวินเชียนจี้ผู้เป็อาจารย์เองก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาเป็ราชครูแห่งแคว้นจิ้น ย่อมมีความรู้เื่การบำเพ็ญเพียรและพิธีต่างๆ เป็ธรรมดา แม้จะไม่เชื่อ แต่เขาก็ไม่ได้พูดขัดอะไร หลังนิ่งเงียบสักพัก ในที่สุดจวินเชียนจี้ก็พูดขึ้น “สือจิ่น ไปเอายาถอนพิษที่จวนราชครูมาให้ข้า”
ซวงเอ๋อร์ได้ฟังดังนั้นก็ร้องอุทานขึ้น “พระสนมถูกพิษหรือเ้าคะ?”
เฟิ่งสือจิ่นอธิบาย “ยาถอนพิษ ไม่ได้มีไว้เพื่อรักษาพิษที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น แต่ความโศกเศร้า หรือแม้แต่ความกลัดกลุ้มที่สะสมอยู่ในใจเอง ก็จำเป็ต้องใช้ยาถอนพิษเข้ามาช่วยสลายเช่นกัน แบบนี้จะทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงได้”
ซวงเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง บ่าวจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
เมื่อเดินออกมานอกตำหนักจาวหยวน เฟิ่งสือจิ่นก็หันไปมองซวงเอ๋อร์ซึ่งกำลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักด้วยแววตาประหลาด คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ทว่าเพียงไม่นาน เฟิ่งสือจิ่นก็เดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบเชียบ
่บ่าย จวินเชียนจี้วางของสำหรับป้องกันภูตผีไว้ตามจุดต่างๆ ภายในตำหนักจาวหยวน ตามขั้นตอนขับไล่ิญญา เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “อาจารย์ ท่านเชื่อเื่ิญญาร้ายจริงๆ หรือ?”
“เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” จวินเชียนจี้ถามกลับ
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ในเมื่อไม่เชื่อ ทำไมท่านถึงยังทำเช่นนี้อีก?”
จวินเชียนจี้บอก “ไม่ว่าในโลกใบนี้จะมีภูตผีปีศาจอยู่จริงหรือไม่ อย่างไรเสีย คนในโลกก็ยังเคารพยกย่อง และหวาดกลัวพวกมันอยู่ดี และนี่ก็คือเหตุผลที่ต้องมีราชครูอยู่คู่แผ่นดิน ราชครูต้องชักจูงจิตใจประชาชนให้ได้ แบบนั้น แคว้นจิ้นถึงจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป”
เฟิ่งสือจิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมจวินเชียนจี้ถึงมาที่นี่ แม้ที่นี่จะไม่มีภูตผีิญญาอยู่จริง แต่แค่จวินเชียนจี้อยู่ที่นี่และทำพิธีขับไล่ิญญาเพียงเล็กน้อย คนของตำหนักจาวหยวนก็จะวางใจและไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
เวลาพลบค่ำ พระสนมอวี๋ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางแลดูอ่อนแรง แถมใบหน้ายังซีดเผือด ซวงเอ๋อร์ยกม่านข้างเตียงขึ้นอย่างเบามือ เผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของพระสนมอวี๋ เฟิ่งสือจิ่นอดนึกชื่นชมไม่ได้... พระสนมอวี๋ช่างเป็สตรีที่มีรูปโฉมงดงามเสียจริง ไม่แปลกที่ฮ่องเต้เฒ่าคนนั้นจะทั้งรักทั้งหลง ถึงขั้นให้ราชครูมาช่วยรักษาโรคให้นางเช่นนี้ คาดว่าฮ่องเต้ต้องเรียกนางไปปรนนิบัติรับใช้ทันทีที่อาการป่วยหายดีเป็แน่
พระสนมอวี๋มีดวงตาที่อ่อนหวานและน่าหลงใหล ท่าทีอ่อนช้อย ทรงเสน่ห์ และเย้ายวน แม้แต่เฟิ่งสือจิ่นที่เป็ผู้หญิงด้วยกันก็ยังหวั่นไหวกับนางเลย ทว่าจวินเชียนจี้ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ เขาสั่งให้เฟิ่งสือจิ่นเข้าไปตรวจชีพจรให้พระสนมอวี๋อีกครั้ง “รบกวนแม่นางแล้ว” พระสนมอวี๋พูดด้วยเสียงอ่อนหวาน
เสียงของนางไพเราะเหลือเกิน เฟิ่งสือจิ่นก้าวเข้าไปหาด้วยความยินดี ทว่าเมื่อนิ้วจรดลงบนข้อมือของพระสนมอวี๋และลองรับฟังอย่างตั้งใจ เฟิ่งสือจิ่นก็ตรวจพบปัญหาบางอย่าง ซึ่งทำให้นางหน้าถอดสีทันที
ถึงว่า หมอหลวงทั้งหลายต่างรักษาโรคของพระสนมอวี๋ไม่สำเร็จ แม้แต่ยาของท่านอาจารย์ก็ยังได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะนี้ เฟิ่งสือจิ่นไม่รับรู้ถึงการเต้นของชีพจรที่ปลายนิ้วเลย นางรวบรวมสมาธิและตรวจดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถััถึงชีพจรของพระสนมอวี๋ได้แม้แต่ครั้งเดียว
พระสนมอวี๋เป็เหมือนคนตายคนหนึ่ง เพราะมีแค่คนตายเท่านั้นที่ไม่มีชีพจร
เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองจวินเชียนจี้ด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม ทว่าจวินเชียนจี้กลับยังมีสีหน้านิ่งเรียบไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
กระทั่งดวงตะวันตกดิน จวินเชียนจี้กับเฟิ่งสือจิ่นจึงเดินออกมาจากตำหนักจาวหยวน เฟิ่งสือจิ่นถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ ทำไมถึงเป็เช่นนี้? ถึงว่า พระอาการป่วยของพระสนมอวี๋ถึงไม่หายเสียที เพราะไม่มีใครตรวจชีพจรของพระสนมได้เลยสักคน จึงไม่รู้ว่าพระสนมป่วยเป็อะไรนี่เอง”