เมื่อกลับเมืองหลวง จวินเชียนจี้ก็ต้องไปร่วมประชุมในท้องพระโรงด้วยเช่นกัน เฟิ่งสือจิ่นกับจวินเชียนจี้เข้าวังั้แ่เช้าตรู่ ระหว่างที่ขุนนางทั้งหลายอยู่ในท้องพระโรง เฟิ่งสือจิ่นก็เดินไปชมสวนซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกล ภายใต้การนำทางของขันทีคนหนึ่ง แม้สวนแห่งนี้จะอยู่ไกลและค่อนข้างเงียบเหงา แต่ก็มีทิวทัศน์ที่งดงามแถมยังเงียบสงบเป็อย่างมาก
ระหว่างกำลังนั่งรอก็มีสาวใช้จับกลุ่มกันเดินผ่านละแวกใกล้เคียงบ้างเป็ครั้งคราว และสิ่งที่พวกนางพูดถึงมากที่สุดก็คือเื่ความลับต่างๆ ในวังหลัง แน่นอน ผู้ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือพระสนมอวี๋นั่นเอง
สาวใช้ส่วนมากต่างก็รู้สึกเสียดายแทนพระสนมอวี๋ บอกว่านางเพิ่งได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาแท้ๆ กลับมาป่วยเพราะโรคประหลาดนี้เสียก่อน หากจะโทษก็คงต้องโทษที่พระสนมมีบุญแต่ไร้วาสนา นอกจากนี้ สาวใช้บางกลุ่มยังพูดถึงเื่ผีในวังหลวง พูดไปพลาง หวาดกลัวไปพลาง
“เมื่อคืน ชุนเซียงที่เฝ้ารับใช้อยู่หน้าห้องพระสนมบอกว่าเห็นเงาผีลอยออกมาจากตำหนักของพระสนมอวี๋ นางใจนไข้ขึ้น เมื่อเช้ายังลุกจากเตียงไม่ไหวเลย แถมยังเอาแต่บ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว ป่วยจนพูดไม่รู้เื่แล้ว”
“อย่าพูดเื่แบบนี้สุ่มสี่สุ่มห้านะ พระสนมเสียนออกคำสั่งให้หยุดพูดเื่นี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดถึงอีกเด็ดขาด อีกอย่าง ท่านราชครูก็กลับมาแล้วนี่ มีท่านราชครูอยู่ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็ภูตผีตนไหนก็ไม่กล้าออกมาอาละวาดอีกแน่”
“เฮ้อ... ขอให้เป็แบบนั้นเถอะ”
เฟิ่งสือจิ่นไปยืนอยู่เื้ัสาวใช้กลุ่มนี้ั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ นางพูดแทรกขึ้นด้วยเสียงหนักอึ้ง “พวกเ้ากำลังจะบอกว่า นอกจากพระสนมอวี๋จะป่วยแล้ว ตำหนักจาวหยวนที่เป็ตำหนักของพระสนมอวี๋ยังมีผีอาละวาดด้วยใช่หรือไม่?”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สาวใช้กลุ่มนี้ใจนแทบหัวใจวาย พวกนางกรีดร้องเสียงดัง “เ้าเป็ใคร?”
ยังไม่ทันที่เฟิ่งสือจิ่นจะได้แนะนำตัว องครักษ์ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน “ผู้ใดส่งเสียงโหวกเหวกอยู่แถวนี้?”
สาวใช้ทั้งหลายหน้าถอดสี พวกนางรีบแยกย้ายกันออกไปทันที เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น “พี่องครักษ์ ตรงนี้มีงู พี่สาวพวกนั้นก็เลยใจนกรีดร้องออกมา”
องครักษ์เข้าไปตรวจดูที่พุ่มไม้รอบๆ แต่ก็ไม่พบงูที่เฟิ่งสือจิ่นบอก “มีงูที่ไหน? แล้วเ้าเป็ใคร?” องครักษ์มองสำรวจเฟิ่งสือจิ่นแล้วถามขึ้น
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ไม่มีหรือ? สงสัยเมื่อครู่พี่ๆ องครักษ์คงจะแหวกหญ้าจนงูตื่นแล้วกระมัง”
เพราะเห็นว่าเฟิ่งสือจิ่นน่าสงสัย องครักษ์จึงเตรียมจะจับตัวนางไปสอบสวนต่อ แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงราบเรียบของใครบางคนก็ดังขึ้น “ส่งตัวนางมา ข้าจะจัดการเอง”
องครักษ์ทั้งหลายหันไปมองตามเสียง พบว่าจวินเชียนจี้มายืนอยู่ไม่ไกลั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เมื่อดูชุดเสื้อผ้าและการแต่งตัวของคนทั้งสอง องครักษ์ก็กระจ่างแจ้งในที่สุด พวกเขารีบเข้าไปขอโทษจวินเชียนจี้ แล้วถอยออกจากสวนในตอนท้าย
เฟิ่งสือจิ่นถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ออกมาจากท้องพระโรงแล้วหรือ?”
“อืม” จวินเชียนจี้หมุนตัวแล้วเดินนำออกไป
“พวกเรากำลังจะไปไหน?”
“ไปเข้าเฝ้าฝ่าาที่ห้องทรงอักษร”
จวินเชียนจี้กับเฟิ่งสือจิ่น คนหนึ่งเดินนำส่วนอีกคนก็เดินตามไปตลอดทาง ทว่าจู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นก็คือกลิ่นอายที่จวินเชียนจี้เผยออกมา... เย็นะเื หนักอึ้ง เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟิ่งสือจิ่นจึงถามขึ้น “ดูเหมือนท่านอาจารย์จะอารมณ์ไม่ค่อยดี”
จวินเชียนจี้เดินในท่ามือไขว้หลัง ชายกระโปรงคล้อยลงมาด้านหลังอย่างเป็ระเบียบ “วันนี้ ในท้องพระโรง ท่านโหวอันกั๋วออกมาร้องเรียน บอกว่าข้าส่งเสริมให้ศิษย์ของตัวเองออกไปอาละวาดทำร้ายผู้คนกลางถนน แถมศิษย์คนนี้ยังมีนิสัยก้าวร้าว ต้องลงโทษให้สาสม”
เฟิ่งสือจิ่นเงียบลงชั่วครู่ “...งั้น... งั้นหรือ...”
จวินเชียนจี้ถาม “เ้าไม่คิดจะอธิบายเสียหน่อยหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นลูบจมูกตัวเองแก้เขิน “เมื่อวานนี้ ที่ข้าบอกว่าล้มระหว่างทางกลับ แท้จริงแล้ว ข้าล้มตอนมีเื่ต่อยตีกับท่านชายแห่งตระกูลหลิวต่างหาก” เพราะกลัวว่าจวินเชียนจี้จะโมโห นางจึงรีบอธิบายต่อ “ก็ท่านชายหลิวทำเกินไป เขารังแกและหยามศักดิ์ศรีประชาชนกลางถนน ศิษย์ทนไม่ไหวก็เลยเข้าไปยุ่งนิดหน่อย...” พูดจบก็เดินเข้าไปจับมือของจวินเชียนจี้เอาไว้ “อาจารย์ ท่านโมโหหรือ?”
จวินเชียนจี้ชะงักฝ่ามือลงเล็กน้อย ทว่าในที่สุดก็จับมือเฟิ่งสือจิ่นตอบ แววตาของเขาแลดูลึกซึ้งราวซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ น่าเสียดายที่เฟิ่งสือจิ่นมองไม่เห็น แต่เพียงไม่นานเขาก็ปล่อยมือเฟิ่งสือจิ่นพลางพูดขึ้น “ที่นี่เป็ในวัง รักษาภาพลักษณ์หน่อย”
“ก็ได้”
ไม่นานจวินเชียนจี้ก็ถามขึ้นอีก “ตอนที่มีเื่กับท่านชายหลิว เ้าเสียเปรียบหรือถูกรังแกหรือเปล่า?”
“เปล่าเลย” เฟิ่งสือจิ่นบอก “ข้าใช้กริชกรีดคอของเขาจนเป็แผล ไม่สิ... เขาเองต่างหากที่วิ่งเข้ามาชนกริชของข้าจนได้รับาเ็เอง”
จวินเชียนจี้พยักหน้าเบาๆ “ท่านชายตระกูลหลิวเป็คนวู่วามแถมยังซุ่มซ่าม เป็เช่นนั้นก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร”
เฟิ่งสือจิ่นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “อาจารย์ ท่านไม่โกรธข้าหรือ?”
“พวกเ้ายังเป็วัยรุ่น ย่อมต้องมีเื่ชกต่อยบ้างเป็ธรรมดา แค่เ้าไม่ถูกรังแกก็พอแล้ว” จวินเชียนจี้เดินพลางพูดขึ้น “แต่ตอนนี้พวกเรากลับเมืองหลวงแล้ว จะทำอะไรตามใจเหมือนตอนอยู่บนเขาไม่ได้ ควบคุมตัวเองให้ดี ถ้าเป็ไปได้ พยายามอย่ามีเื่กับชนชั้นสูงในเมืองหลวงอีก”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางยื่นมือออกไป เตรียมจะจับมือจวินเชียนจี้อีก “ศิษย์ทราบแล้ว”
จวินเชียนจี้สะบัดแขนหลบพลางพูดขึ้น “เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกไปว่าอย่างไร?”
มือที่ยื่นออกไปถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทาง นางลดมือลง แล้วเปลี่ยนมาแตะจมูกตัวเองแก้เขินแทน “อ้อ... ที่นี่คือวังหลวง ต้องรักษาภาพลักษณ์ ศิษย์จำขึ้นใจแล้ว”
เมื่อไปถึงห้องทรงอักษร พบว่าขันทีหวังมารออยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าทั้งสองมาถึงก็รีบพาพวกเขาเข้าไปด้านในทันที อีกด้าน ฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้นนั่งหลังตรงอยู่ที่โต๊ะทรงอักษร แลดูสูงส่งและน่าเกรงขาม
ยังไม่ทันที่เฟิ่งสือจิ่นจะเงยหน้ามองคนตรงหน้า จู่ๆ นางก็รู้สึกชาที่หัวเข่าอย่างกะทันหัน ฟึ่บ... เฟิ่งสือจิ่นคุกเข่าลงอย่างไม่อาจควบคุม พลันเสียงของจวินเชียนจี้ก็ดังขึ้นที่ข้างหู “ถวายบังคมฝ่าา ขอฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงพลางพูดขึ้น “ท่านราชครูลุกขึ้นเถิด” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่มีต่อราชครู ฮ่องเต้จึงเดินมาประคองให้เขาลุกขึ้นด้วยตนเอง เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นจึงยืนขึ้นพร้อมกัน ในตอนนั้น ฮ่องเต้ถึงสังเกตเห็นเฟิ่งสือจิ่น เขาถามอย่างสนอกสนใจ “เ้าก็คือศิษย์เอกเพียงคนเดียวของท่านราชครู ที่เพิ่งถูกท่านโหวอันกั๋วร้องเรียนว่ามีนิสัยก้าวร้าวใช่หรือไม่?”
จวินเชียนจี้ตอบแทน “นางยังเด็กเลยไม่รู้ความ โปรดประทานอภัย”
“ไม่เป็ไร” ฮ่องเต้โบกมือส่งๆ พลางบอกกับเฟิ่งสือจิ่น “เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ ตามรับสั่ง ฮ่องเต้สวมชุดคลุมลายัสีทอง ทั้งที่มีอายุครึ่งร้อยแล้ว กลับยังดูแข็งแรง กระฉับกระเฉง และทรงพลังไม่ต่างไปจากวัยรุ่น เมื่อสายตามาหยุดลงบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่น แววตาคู่นั้นก็ฉายความตกตะลึงในความงามของนางออกมาอย่างไม่ปิดบัง ความรู้สึกของเขาถูกแสดงผ่านสีหน้าโดยไร้การอำพราง ก่อนสีหน้าเ่าั้จะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันยากจะแกะความหมายในที่สุด
เขาที่เป็ฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้น เคยเจอสาวงามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็หญิงงามที่ประโคมเครื่องประทินผิวจัดจ้านหรือสตรีที่งดงามอย่างเป็ธรรมชาติ ทว่าเมื่อได้เห็นเฟิ่งสือจิ่นในชุดคลุมสีเขียวขุ่น เขาก็ยังอดตาเป็ประกายไม่ได้ พระชายาขององค์ชายสี่ถือเป็สาวงามที่มีชื่อเสียงของแคว้นจิ้น และไม่ต้องสงสัยเลย เฟิ่งสือจิ่นคนนี้เป็น้องสาวฝาแฝดของพระชายาแห่งองค์ชายสี่นั่นเอง เพราะหน้าตาของพวกนางเหมือนกันทุกส่วน
ฮ่องเต้หัวเราะขึ้น “คิดไม่ถึงว่าแม้ศิษย์ของท่านราชครูจะมีนิสัยก้าวร้าวไปหน่อย แต่ก็โตมาได้อย่างงดงามทีเดียว” ท่านโหวหรงกั๋วตัดใจทิ้งลูกสาวที่งดงามเช่นนี้ได้อย่างไรกันหนอ? ฮ่องเต้ได้แค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกไปต่อหน้าคนทั้งสอง
จวินเชียนจี้พูดด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “ฝ่าาชมเกินไปแล้ว สือจิ่น ยังไม่รีบเอายาะไปถวายให้ฝ่าาอีก”
เฟิ่งสือจิ่นหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาอย่างรีบร้อน จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฝ่าา นางก้มหน้าลงพลางชูกล่องในมือขึ้นสูง “กราบทูลฝ่าา นี่คือยาะที่เพิ่งหลอมเสร็จ เชิญเสวยได้เลยเพคะ”