ในความคิดของหลี่ลั่ว การเป็ท่านอ๋องที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ ก็ดีเหมือนกัน หาเงินด้วยกัน เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน นี่ต่างหากที่เป็ความสุขโดยแท้จริงของชีวิต
คิดไม่ถึงว่าอยู่ในยุคปัจจุบันหาคู่ครองไม่ได้ พอมาถึงยุคสมัยโบราณกลับหาได้หนึ่งคน ฝ่าาพระราชทานสมรส ไม่ต้องกังวลกับคำพูดติฉินนินทา นี่หากเป็ในยุคสมัยปัจจุบันละก็ หลี่ลั่วยังต้องคิดว่าจะตนจะถูกพ่อแม่ของตนตีตายหรือไม่
เขานำจดหมายวางลงในลิ้นชัก หลี่ลั่วหยิบหนังสือแพทย์ที่ยังอ่านไม่จบมาอ่านต่อ หนังสือแพทย์ที่เขากำลังอ่านอยู่นี้ไม่ใช่ส่วนที่หลี่ฉางเฉิงไปกว้านซื้อมา แต่เป็ที่เมิ่งเต๋อหลางให้เขามา เมิ่งเต๋อหลางไม่มีลูกหลานและไม่มีลูกศิษย์ที่พึงพอใจ ความรู้ทางวิชาแพทย์ของหลี่ลั่วทำให้เขาได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ เช่นเดียวกันกับที่ว่าความรู้ทางวิชาแพทย์ของยุคโบราณไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบันของหลี่ลั่ว
สำหรับหลี่ลั่วแล้วนั้น สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดในวิชาการแพทย์ยุคสมัยโบราณก็คือ ‘พิษ’ และหมอเทวดาเมิ่งเต๋อหลางเป็ยอดฝีมือในด้านการใช้พิษและการถอนพิษอย่างไร้ข้อกังขา ไม่มีหมอเทวดาคนไหนใช้พิษไม่เป็
หลี่ลั่วอ่านไปด้วยและจดไปด้วย ส่วนไหนที่ไม่เข้าใจวันหลังค่อยไปจวนฉีอ๋องเพื่อขอคำชี้แนะจากเมิ่งเต๋อหลาง ในยุคสมัยโบราณใช้แต่พู่กัน ช่างไม่สะดวกเลยจริงๆ
วันถัดมา
จวิ้นอีพบว่าท่านอ๋องของเขาตื่นเช้ายิ่ง เช้ากว่าปกติเสียอีก
“ท่านอ๋อง” รอจนกระทั่งกู้จวิ้นเฉินซ้อมหมัดมวยแล้วเสร็จ เยียนเซ่อจึงส่งผ้าขนหนูให้
กู้จวิ้นเฉินเช็ดเหงื่ออย่างไม่บรรจงเท่าไรนัก “วันนี้ไม่มีแขกหรือ?”
“แขกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จวิ้นอีส่ายหน้า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่มีหรือ? กู้จวิ้นเฉินไม่พูดแล้ว เดินไปอาบน้ำที่ห้องข้างแล้วออกมานั่งบนตั่ง เขาสวมเสื้อตัวในเรียบร้อยแล้ว เยียนเซ่อก้าวเข้ามาช่วยเขาสวมเสื้อคลุม วันนี้เสื้อคลุมของเขาเป็สีขาว สายคาดเอวสีทอง ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เพิ่มความเ็าขึ้นมาหลายส่วน
ต่อมาเยียนเซ่อคุกเข่าลงปรนนิบัติกู้จวิ้นเฉินผลัดเปลี่ยนถุงเท้า ถุงเท้าสี่คู่ วันหนึ่งใช้สองคู่ หลังจากฝึกยุทธ์ต้องผลัดเปลี่ยนหนึ่งคู่ เวลากลางวันสวมหนึ่งคู่ แต่ถุงเท้านี้ซับเหงื่อได้ดีอย่างยิ่ง หากเป็ถุงเท้าก่อนหน้านี้ หลังท่านอ๋องฝึกยุทธ์ในยามเช้าแล้วถุงเท้าจะมีความชื้นของเหงื่อ แต่ถุงเท้าคู่ที่สวมวันนี้กลับไม่มี
“ทำไมรึ?” เห็นเยียนเซ่อเอาแต่จ้องถุงเท้าของตน กู้จวิ้นเฉินจึงเอ่ยถามขึ้นมา
เยียนเซ่อพูดยิ้มๆ “บ่าวรู้สึกว่าถุงเท้าที่เสี่ยวโหวเหฺยส่งมาให้นั้นดียิ่งนักเพคะ ท่านอ๋องฝึกยุทธ์สะดวกขึ้น”
“อืม”
มีเพียงเสียงตอบรับคำเดียว ไม่มีคำพูดอื่นใดอีกแล้ว เยียนเซ่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นนายท่านของนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเคร่งขรึม นางไม่รู้ว่านางทำผิดตรงไหน จึงตื่นกลัวจนไม่กล้าพูดจาอีก
เมื่อกู้จวิ้นเฉินไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร เหล่าสาวใช้ก็รีบเข้ามาปรนนิบัติ กู้จวิ้นเฉินเมื่อยังเล็กนั้นมีเพียงขันทีข้างกายเพียงคนเดียว นั่นคือพ่อบ้านกู่ของจวนฉีอ๋องในวันนี้ พ่อบ้านกู่ถูกขายเข้าวังั้แ่ยังเด็ก ด้วยเหตุที่คล่องแคล่วมีไหวพริบจึงได้ทำงานอยู่ที่วังบูรพามาโดยตลอด เมื่ออายุยี่สิบปีก็ถูกคัดเลือกเข้ามาเป็ผู้รับใช้ข้างกายกู้จวิ้นเฉินโดยไท่จื่อเยี่ยน บัดนี้มีอายุสามสิบสามปี เป็พ่อบ้านของจวนฉีอ๋อง
นอกจากจวิ้นอีแล้ว เขาเป็คนที่กู้จวิ้นเฉินเชื่อใจที่สุด
หากเอ่ยถึงระยะเวลาที่ติดตามเขา พ่อบ้านกู่นั้นนานที่สุด ถัดมาคือเยียนเซ่อ เยียนเซ่อเป็คนที่มารดาผู้ให้กำเนิดคัดเลือกให้เขา ปีนี้มีอายุสิบหกปี มาปรนนิบัติข้างกายกู้จวิ้นเฉินั้แ่อายุแปดขวบ ผ่านมาแปดปีแล้ว ส่วนจวิ้นอีนั้นมาเมื่อเจ็ดปีก่อน เวลานั้นเขามีอายุได้สิบสามปี เนื่องด้วยมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศและความที่อายุยังน้อย ดังนั้นจึงถูกส่งตัวมาคุ้มกันกู้จวิ้นเฉินในวัยหกขวบ
ข้ารับใช้ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติกู้จวิ้นเฉินรับประทานอาหารต่างมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ไม่รู้ด้วยว่าเหตุอันใด ฉีอ๋องกินข้าวหนึ่งคำ สีหน้าก็เคร่งขรึมลงส่วนหนึ่ง ยิ่งเวลาที่กินข้าวเนิ่นนานขึ้น สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
แม้ว่าจะมีสีหน้าเ็าดังเดิม ตามปกติแล้วจะดูไม่ออกถึงสีหน้าและอารมณ์ใดๆ แต่ทว่าข้ารับใช้ทั้งหลายต่างรู้สึกได้
ในที่สุดฉีอ๋องก็กินข้าวเสร็จ แต่เขากลับนั่งอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ลุกออกจากโต๊ะ
เยียนเซ่อไม่เข้าใจ วันนี้ท่านอ๋องเป็อันใดไปเล่า?
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง กู้จวิ้นเฉินจึงลุกขึ้น
“จวิ้นอี ไปสั่งให้ห้องครัวทำของว่างที่เสี่ยวโหวเหฺยชอบกิน แล้วส่งไปให้เขา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ณ จวนจงหย่งโหว
เมื่อหลี่ลั่วได้รับของว่างจากจวนฉีอ๋องแล้ว ก็ให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วการมาส่งของว่างในเวลานี้ออกจะเช้าเกินไปไปสักหน่อย แต่ถ้าหากให้พูดว่าเมื่อวานหลี่ลั่วยังลังเลเื่ฐานะของกู้จวิ้นเฉินที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยากละก็ ยามนี้เขาไม่มีความลังเลหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ชายหนุ่มที่รู้จักรักและถนอมภรรยาของตนเป็ผู้ชายที่ดี แม้กู้จวิ้นเฉินจะอายุยังน้อย แต่กลับรู้จักรักและเอ็นดูว่าที่ภรรยาของตนเสียแล้ว
ก่อนที่พวกเขาจะหมั้นหมายกัน แม้ว่าตนมักจะไปกินฟรีอยู่ฟรีที่จวนอ๋องบ่อยๆ แต่กู้จวิ้นเฉินไม่เคยให้คนมาส่งของว่างถึงเรือนเช่นนี้ ดูสิ ยามนี้ทำเป็แล้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากู้จวิ้นเฉินจะเป็คนเช่นนี้
ณ จวนฉีอ๋อง
“ท่านอ๋อง ของว่างได้ส่งไปถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวโหวเหฺยบอกว่าขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้รายงาน
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า จากนั้นมองบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้ก้มหน้า มองด้วยความเคารพ
“เ้าออกไปเถิด” ผ่านไปสักครู่ กู้จวิ้นเฉินจึงเอ่ยปาก
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากบ่าวรับใช้ถอยออกไปแล้ว กู้จวิ้นเฉินจึงปิดหนังสือลง แล้วลุกขึ้นยืนในทันใด “จวิ้นอี”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
“เปิ่นหวางอยากกินอาหารของหอชมจันทร์ มื้อเที่ยงไปกินข้าวที่หอชมจันทร์”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“...ให้คนไปแจ้งกับเสี่ยวโหวเหฺย เปิ่นหวางเชิญเขาไปด้วยกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ณ จวนจงหย่งโหว
“ท่านพี่ฉีอ๋องเชิญข้าไปกินข้าวที่หอชมจันทร์หรือ?” หลี่ลั่วมององครักษ์ที่เพิ่งจะมาส่งของว่างก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน
“ขอรับ ท่านอ๋องบอกว่าเมื่อถึงเวลาจะมารับท่านด้วยตนเอง ขอให้ท่านเตรียมตัวให้ดีขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว”
ณ จวนฉีอ๋อง
“เขาพูดเพียงแค่ว่าเขารู้แล้วรึ?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ตอบ
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว “ออกไปได้”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ถอยออกไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตูเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าแล้วครุ่นคิด ตนเองทำผิดตรงไหนหรือไม่?
คนในยุคสมัยโบราณกินข้าวค่อนข้างเร็ว อีกทั้งกู้จวิ้นเฉินเป็คนที่ทำอะไรตรงตามเวลาอย่างแน่นอน ดังนั้นราวๆ สิบโมงหลี่ลั่วจึงได้เตรียมตัวเสร็จแล้ว ปรากฏว่ารออยู่เพียงครู่เดียว ยามเฝ้าประตูก็มารายงานว่าฉีอ๋องมาถึงหน้าประตูแล้ว
หลี่ลั่วเดินนำหลี่ฉางเฉิงมาถึงประตู เขาเห็นว่าหน้าประตูมีรถม้าเรียบๆ คันหนึ่งจอดอยู่ แต่รถม้าคันนี้มีขนาดความกว้างที่ใหญ่กว่ารถม้าทั่วไป ด้านข้างรถม้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังมองมาที่ประตู ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ที่ใดก็มักจะกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ด้าน ทั้งๆ ที่เ็าและหยิ่งยโสปานนั้น แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็ส่วนหนึ่งของเขาไปเสียสิ้น
“ท่านพี่ฉีอ๋อง” หลี่ลั่วเดินไปเบื้องหน้าเขา ยิ้มบางๆ มองเขา
แววตากู้จวิ้นเฉินเป็ประกาย จากนั้นจึงโน้มเอวลงอุ้มเขาขึ้นรถม้า ต่อมาตนเองก็ะโขึ้นรถม้า “ไปหอชมจันทร์”
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีและหลี่ฉางเฉิงนั่งอยู่ด้านหน้าของรถม้าทำหน้าที่เป็คนขับรถม้า
ความเรียบง่ายด้านในและด้านนอกของรถม้าแตกต่างกัน ด้านในรถม้าหรูหรายิ่งนัก แต่ไม่ใช่ประดับประดาหรูหรา หากแต่เป็สิ่งของที่อยู่ด้านในนั้นต่างหากที่หรูหรา ด้านในนั้นเป็เตียงนอนขนาดเล็ก สามารถถอดรองเท้าแล้วนั่งกึ่งเอนหลังอยู่ด้านในได้
หลี่ลั่วะโอยู่ข้างในหลายครั้ง มิน่าล่ะรถม้าคันนี้จึงกว้างกว่ารถม้าทั่วไป เพราะด้านใน้าตกแต่งเป็เตียงนอนนี่เอง รถม้าโดยทั่วไปนั้นคับแคบเกินไป
กู้จวิ้นเฉินพิงเบาะรองแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน แต่ทว่าสายตากลับแอบมองประเมินหลี่ลั่ว
หลี่ลั่วะโอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลง เขามองกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินวางหนังสือลง “เป็อันใดไปเล่า?”
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ท่านพี่ฉีอ๋อง ไฉนท่านจึงอยากเชิญข้ามากินข้าวเล่า?”
“้าเหตุผลรึ?” กู้จวิ้นเฉินคิดว่าไม่จำเป็ต้องมีเหตุผล
หลี่ลั่วทำเบ้ปาก หากเป็สถานการณ์ปกติทั่วไป ว่าที่สามีภรรยากินข้าวด้วยกันนั้นย่อมไม่ต้องมีเหตุผลหรอก แต่กู้จวิ้นเฉินคิดจะเชิญเขามากินข้าวอย่างกะทันหัน จึงทำให้รู้สึกประหลาดใจ
“เมื่อวานเ้า...นอนเร็วหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินชะงักไปอึดใจหนึ่งแล้วถามขึ้น
“ไม่เร็ว ยามไฮ่แล้วขอรับ (เวลาสี่ทุ่ม)” หลี่ลั่วกล่าว
“ดึกดื่นเช่นนั้นเชียวรึ?” กู้จวิ้นเฉินประหลาดใจ นี่เขาไปเป็โจรในยามวิกาลหรือไร?
“อ่านหนังสือแพทย์ของหมอเทวดาเมิ่งขอรับ” หลี่ลั่วตอบ
“ตอนเช้าตื่นสายมากหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถามอีก
หลี่ลั่วส่ายหน้าอีก “ตื่นยามเฉินขอรับ (เวลาเจ็ดโมงเช้า) ทุกวันข้าต้องฝึกท่านั่งม้าครึ่งชั่วยาม”
“ไม่ได้ตื่นสายนัก” แต่เด็กทั่วๆ ไปตื่นเช้ากว่าเขา เพราะต้องไปคารวะผู้ใหญ่และยังต้องไปโรงเรียนอีก “ต่อไปจะทำอันใดต้องบอกกล่าวกับข้า ในเมื่อเ้าเป็ว่าที่พระชายาฉีอ๋อง เ้าก็ถือว่าเป็ตัวแทนของจวนฉีอ๋อง”
หา? “ได้ขอรับ” จวนโหวห่างจากจวนฉีอ๋องไม่ใช่ใกล้ๆ ทำอันใดล้วนต้องบอกกล่าว ไปกลับไม่ใช่เื่ทรมานผู้คนหรือไร?
“เขียนจดหมายบอกข้าก็ได้” กู้จวิ้นเฉินพูดแล้วเสริมอีกประโยคหนึ่ง “แล้วยังมีเื่นั้นด้วย มิใช่เปิ่นหวางบอกว่าอนุญาตแล้วหรือไร?”
“เื่อันใดหรือ?” หลี่ลั่วคิดไม่ออกในคราเดียว เขียนจดหมาย...อนุญาตแล้ว? ทันใดนั้น หลี่ลั่วก็กระจ่างแจ้งทันที เขาฉีกปากยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นเ้าเล่ห์นัก จากนั้นเปลี่ยนกลายไปเป็รอยยิ้มยินดี
กู้จวิ้นเฉินทำทีแสร้งมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเลิกม่านหน้าต่างขึ้น
หลี่ลั่วโผเข้าไปจุมพิตลงบนแก้มของเขาครั้งหนึ่งดัง ‘ม๊วบบบ’ ที่แท้ส่งบ่าวไพร่มาครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังเชิญตนมากินข้าว ก็ด้วยเหตุที่ตอนเช้าไม่ได้เขียนจดหมายให้เขา ไม่มีม๊วบบบตอบกลับไปนี่เอง
กู้จวิ้นเฉินหันหน้าออกนอกหน้าต่างกะพริบตาปริบๆ ติ่งหูเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
หลี่ลั่วยกมือขึ้นปิดปากแอบหัวเราะ “ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านอยากให้ข้าเขียนจดหมายให้ท่าน หรือว่าอยากให้ข้าจุมพิตท่านหรือขอรับ?”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ติ่งหูของกู้จวิ้นเฉินพลันแดงกว่าเดิม เขาหันกลับมาแล้วทำหน้าเคร่งขรึม “เ้าคันก้นนักใช่หรือไม่?”
ให้ตายเถิด พูดไม่เข้าหูหน่อยก็เอาเื่ก้นมาข่มขู่ มีอย่างนี้เสียที่ไหนกัน? หลี่ลั่วถลึงตาใส่กู้จวิ้นเฉินอย่างไม่สบอารมณ์นัก
กู้จวิ้นเฉินมองดวงตาที่ใสราวกับกระจกเงา ดวงตากลมโตคู่นั้นถลึงใส่เขา ในดวงตาคู่นั้นวาววับราวกับมีม่านหมอกอยู่ในนั้น ราวกับว่าหากกะพริบตาก็จะมีน้ำตาไหลออกมา เขาคิดย้อนหลังอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดที่เขาพูดมีปัญหาใช่หรือไม่? อาจจะ...มีการข่มขู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงยื่นมืออกมาบีบแก้วของหลี่ลั่ว “ไม่ตีก้นของเ้าหรอก” ปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนเล็กน้อย
แต่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่นั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้
หลี่ลั่วพบว่าการมีความรักกับเด็กหนุ่มอายุสิบสามปีไม่สามารถเอ่ยว่ามีความรักได้ เขาตบมือของกู้จวิ้นเฉินออก “เช่นนั้นท่านพี่ฉีอ๋องหมายความว่าอย่างไรเล่า? ไม่อยากให้ข้าเขียนจดหมายให้ท่าน และไม่อยาก...ไม่อยาก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย แม้จะอยู่ในร่างของเด็กห้าขวบ แต่จริงๆ แล้วจิติญญาของหลี่ลั่วเป็คนอายุยี่สิบปีกว่าๆ หากต้องให้พูดคำพูดพลอดรักเขารู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว “ไม่อยากอันใด?”
ในขณะที่กู้จวิ้นเฉินตกอยู่ในห้วงความคิด แววตามีความสงสัย ใบหน้าของหลี่ลั่วค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา “และไม่อยากให้ข้าจุมพิตท่านใช่หรือไม่?”
บทสนทนาของทั้งสองคนไม่ได้เจตนาใช้น้ำเสียงให้เบาลง แต่ต่อให้พูดเสียงเบาเป็พิเศษ ด้วยความสามารถในการฟังของจวิ้นอีและหลี่ฉางเฉิง พวกเขาย่อมได้ยิน และรถม้าด้านในกับด้านนอกนั้นแทบจะกั้นเสียงอันใดไม่ได้
ทั้งสองคนต่างมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ความคิดในใจนั้นน่าจะเหมือนกัน นี่ท่านอ๋องกับเสี่ยวโหวเหฺย...กำลังเกี้ยวพานกันอยู่หรือ? ผู้หนึ่งเป็ชายหนุ่มอายุสิบสามปี ผู้หนึ่งเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบ จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดและจินตนาการ
กู้จวิ้นเฉินวางหนังสือลง มือแข็งแรงทั้งคู่ยื่นไปอุ้มหลี่ลั่วมาวางลงบนขาของตน
หลี่ลั่วเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
กู้จวิ้นเฉินยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน “เปิ่นหวางมิใช่อนุญาตแล้วหรือไรเล่า?
“หา?”