แม่นางเยว่เห็น่เวลาที่อันเจิงกำลังดึงธงลงมา ในแววตาสับสนถึงที่สุด เห็นท่าทางโศกเศร้าของนางแล้วไม่อาจคาดเดาถึงอดีตของนางได้เลยใบหน้าของนางที่เคยดูบอบบางน่าทะนุถนอมก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ใบหน้านี้ทำให้คนที่พบเห็นกลัวและยังทำให้รู้สึกเศร้าในเวลาเดียวกัน
อันเจิงหันกลับมา มองเห็นร่างที่ถูกตัดออกเป็สองท่อนของโค่วปา
ในขณะนั้น แววตาของแม่นางเยว่ฉายชัดว่าอยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้นางเดินออกมาจากร้านเหล้า หลังจากนั้นจึงไปดึงธงที่อยู่ในมืออันเจิงออกพลางพูดอย่างจริงจัง“หนีไปซะ แล้วอย่าได้กลับมาที่นี่อีก”
แม่นางเยว่เอาธงกลับไปแล้วหลังจากนั้นก็เหมือนมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น นางจับธงด้วยมือทั้งสองข้าง ชั่วพริบตาสถานที่แห่งนี้ก็กลับมาเป็เหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นธงของร้านเหล้าก็ยังอยู่ที่เดิมมีลมพัดเบา ๆ ให้มันกวัดแกว่งไปมาแต่เหมือนกับว่าที่ธงจะมีแสงสว่างออกมาเล็กน้อย หูของอันเจิงคล้ายได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังถอนหายใจ
“ดาบเล่มนี้เป็ดาบแห่งทวยเทพกลับถูกเ้าเอาไปฆ่ามดปลวกตัวหนึ่งเช่นนี้...ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดาย”
อันเจิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นหรือได้ยินมันเป็แค่ภาพลวงตาของเขาหรือไม่แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะให้เป็
อันเจิงก้มตัวลงคารวะ “ข้าขอโทษด้วย”
แม่นางเยว่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “เื่วันนี้ข้าไม่โทษเ้าแต่เ้าอย่ากลับมาที่นี่อีกเลย”
อันเจิงรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้แม่นางเยว่ะเืใจไม่ใช่เื่ที่เขาหยิบดาบออกมาจากธง ถึงแม้วรยุทธ์ของอันเจิงจะยังไม่ฟื้นคืนแต่ดวงตาของเขายังดีอยู่ เขารู้ว่าดาบเล่มนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากมากจนถึงขั้นมากที่สุด ใน่เวลาที่สับสนอลหม่านดาบเล่มนั้นมีสิ่งที่โดดเด่นออกมา เขาััได้ถึงพลังที่เหนืุ์แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือ ในธงนั่นอาจจะไม่ได้มีแค่ดาบเล่มนั้นเล่มเดียว
แล้วเสียงที่เขาได้ยินในหูว่ามีคนพูดกับเขาเล่า คงจะเป็เพียงการเข้าใจผิดของเขาเองสินะดาบเล่มนี้เป็ดาบเพียงหนึ่งเดียว เป็ดาบที่อยู่ในธง คนอื่นอาจคิดว่าดาบนี้เป็เพียงภาพดาบที่ถูกกวัดแกว่งไปมาตามลมแต่กลับไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วในธงผืนนี้ได้ซ่อนจิติญญาแห่งดาบเอาไว้
อันเจิงมองไปที่ตรงมุมถนนของย่านหนานชานเขาเห็นชายคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูแล้วคล้ายกับบัณฑิต เงาด้านหลังของเขาช่างเดียวดายและเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
อันเจิงไม่รู้ว่าเขาเป็ใคร แต่มั่นใจว่าคนที่พูดกับเขาเมื่อครู่ต้องเป็บัณฑิตคนนี้แน่
“ดาบนี้เป็ดาบแห่งทวยเทพ”
คำพูดเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของอันเจิง
ทวยเทพหรือ?
อันเจิงถอนหายใจออกมาพลางคิดในใจว่า...ในโลกนี้มีทวยเทพจริงหรือ?มีคนเคยพูดไว้ว่า บน์ที่กว้างใหญ่มีเทพมากมายที่ลงมาจุติในโลกมนุษย์ เทพที่อยู่บน์ชั้นเก้านั้นจะไม่มีวันตายและไม่มีวันโดนทำลายใน์ชั้นเก้า เทพเ่าั้จะสามารถเด็ดเอาดวงดาวลงมาได้ ในโลกมนุษย์ที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้อันเจิงซึ่งผ่านโลกมามากก็ยังไม่เคยได้พบได้เจอเื่เหล่านี้มาก่อน ใครกันจะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นสูงสุดชาติภพก่อน ตัวเขาเองยังฝึกได้ถึงแค่ขอบเขตแห่ง์ขั้นที่รองลงมาจากขั้นสูงสุดเท่านั้นยังห่างไกลกับขอบเขตแห่ง์ขั้นสูงสุดมาก เปรียบไปแล้วพลังของเขาคงอยู่ที่คอขวดเท่านั้นเหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงจะถึงปลายทาง
อันเจิงเคยได้ยินมาว่า จักรพรรดิในราชวงศ์ต้าซีองค์หนึ่งสามารถฝึกวรยุทธ์ได้จนถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นสูงสุดแต่มันก็เป็เพียงแค่ตำนานเท่านั้น อันเจิงไม่เคยเห็นจักรพรรดิองค์นั้นแสดงฝีมือมาก่อนดังนั้นจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าวรยุทธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด และยังมีอีกตำนานหนึ่งเล่าว่าใน่ที่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าซี คำว่าซีในชื่อของราชวงศ์นั้นก็มาจากจักรพรรดิองค์แรกหรือว่าในโลกนี้อาจจะมีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถฝึกได้ถึงขอบเขตแห่ง์ขั้นสูงสุด
แต่อย่างไรเขาก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดที่จะคงอยู่ได้ตลอดไป
อันเจิงไม่รู้ว่าทวยเทพนั้นมีจริงหรือไม่และก็ไม่รู้ว่าจะมีทวยเทพอยู่ที่ไหนอีกบ้าง เขารู้เพียงแต่ว่าในโลกนี้อาจจะมีเทพและเทพก็อาจจะมีเืมีเนื้อเหมือนกับคนผู้คนในโลกนี้มีแต่ความไม่เท่าเทียมกัน ในโลกที่มีแต่คนชั่วช้ามากมายแต่พวกเทพก็ไม่เคยที่จะใส่ใจ อันเจิงรู้สึกว่าเทพพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว คนที่บำเพ็ญตนยังจะมีความน่าภาคภูมิใจมากกว่าเสียอีก
การฆ่าโค่วปาเป็เื่ที่อันเจิงไม่ได้คาดการณ์ไว้
อันเจิงรู้ดีว่าในตอนนี้พวกต้าโค่วและตระกูลเฉินกำลังเดินทางมาถึงจุดแตกหักและเขาก็รู้ดีว่าทำไมเฉินเซ่าป๋ายถึงไม่ยอมออกมาจากโรงจวี้ฉ่าง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าคนของพวกต้าโค่วจะสามารถทำให้ตระกูลเฉินเดินมาถึงจุดจุดนี้ได้ตามที่อันเจิงรู้มา อำนาจของตระกูลเฉินมีมากกว่าอำนาจของพวกต้าโค่วมาก แต่ในตอนนี้เฉินเซ่าป๋ายกลับหลบเข้าไปอยู่ในโรงจวี้ฉ่างส่วนโค่วปาก็กลับมาขัดขวางเขาอยู่ที่ถนนใหญ่ แล้วสั่งให้เขาไปฆ่าเฉินเซ่าป๋ายซะโดยที่ไม่หวาดกลัวคนของตระกูลเฉินเลยแม้แต่น้อย...แสดงว่าในตอนนี้คนของตระกูลเฉินคงกำลังประสบปัญหาอย่างหนักหนักมากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรกเสียอีก
อันเจิงเดินไปพลางคิดไปพลางสุดท้ายเขาก็เข้าใจ ใช่แล้ว!...ศัตรูของพวกตระกูลเฉินคงไม่ได้มีแค่พวกต้าโค่วเป็แน่?ต้าโค่วเป็เพียงแค่ศัตรูที่รู้กันอย่างเปิดเผยเท่านั้นคนที่้าทำลายพวกตระกูลเฉินจริง ๆ นั้นยังไม่เผยตัวให้เห็นตระกูลเฉินเป็ตระกูลพ่อค้า เมื่อเทียบกับพวกต้าโค่วแล้วตระกูลเฉินนั้นยิ่งใหญ่กว่ามากดังนั้นถ้าพวกต้าโค่วโดนทำลายไป กิจการของพวกตระกูลเฉินก็จะยิ่งใหญ่โตมากขึ้นแล้วถ้าพวกตระกูลเฉินโดนทำลายเล่า พวกต้าโค่วเองก็คงจะได้ประโยชน์ไปไม่น้อย
พวกต้าโค่วน่าจะเป็แค่ส่วนหนึ่งของมีดเล่มนี้แต่ยังไม่ใช่ส่วนที่แหลมคมที่สุด ส่วนที่แหลมคมที่สุดนี้คงจะเป็ใครสักคนที่ยังไม่เปิดเผยตนเองออกมา
อันเจิงฆ่าโค่วปาไปแล้ว พวกต้าโค่วคงไม่มีวันให้อภัยเขาเป็แน่แม้แต่โค่วลิ่ว คนที่เคยยอมรับในตัวเขา ถ้าพบกันครั้งต่อไปคาดว่าเขาคงจะถูกสังหารในทันที
โค่วลิ่วมาไวกว่าที่อันเจิงคิดไว้มากเขาเข้ามาหาอันเจิงโดยที่ยังไม่ได้ไปโรงจวี้ฉ่างก่อนแม้ว่าจะเห็นประตูของโรงจวี้ฉ่างอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม
ที่หน้าประตูของโรงจวี้ฉ่าง คนเฝ้าประตูสองคนยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพวกเขาทั้งสองไม่ได้สนใจมองอะไร ราวกับว่าโค่วลิ่วที่ยืนอยู่หน้าโรงจวี้ฉ่างเป็อากาศธาตุโค่วลิ่วเองก็ไม่ได้ทำให้พวกคนเฝ้าประตูเกิดความสนใจในตัวเขาแม้แต่น้อยในความเป็จริง ที่พวกคนเฝ้าประตูเป็แบบนี้ก็เพราะพวกเขารู้ดีว่า เหตุผลที่ในแต่ละเดือนพวกเขาได้เงินมามากมายขนาดนี้เพราะอะไรพวกเขาเข้าใจมันดี ดังนั้นขอแค่ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายในโรงจวี้ฉ่าง พวกเขาก็ไม่สนใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตายเพราะทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับตัวพวกเขา
“ท่านลิ่ว”
อันเจิงโค้งตัวคำนับเหมือนกับที่เคารพโค่วปาโดยไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
“เ้าทำให้ข้าคาดไม่ถึงแล้วยังเปิดโลกให้ข้าอีกด้วย”
โค่วลิ่วยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเขามองอันเจิงด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์ในสำนักของข้า ที่ข้าฝึกมาด้วยความตั้งใจนั้นเมื่อลองเทียบกับเ้าแล้ว พวกมันก็เป็ได้แค่เศษขยะเท่านั้นข้ามองข้ามเ้าไปเสียนาน มองไม่ออกจริง ๆ เลยว่า เ้านั้นเป็เหมือนหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนนี่คงเป็สิ่งที่ข้าเสียใจที่สุด ถ้าข้ารู้สึกตัวเร็วกว่านี้เ้าคงจะเป็หยกที่ถูกเจียระไนโดยสำนักต้าโค่วของข้าแล้วและคงเป็หยกที่มีประกายสดใสนัก”
อันเจิงส่ายหน้า “ดีแล้วที่สำนักของท่านไม่ได้ขัดเกลาข้าแม้แต่น้อยถ้าพวกท่านขัดเกลาข้าละก็ มันคงเท่ากับเป็การทำลายข้าแน่ ๆ”
โค่วลิ่วตะลึงเล็กน้อยกับคำตอบหลังจากนั้นเขาก็ปรบมือให้อันเจิง “เ้าช่างมีปณิธานที่แน่วแน่เสียจริง”
อันเจิงจึงถามขึ้น “ท่านโค่วลิ่วท่าน้าจะฆ่าข้าหรือไม่?”
โค่วลิ่วส่ายหัว “ข้ามาเพื่อฆ่าเฉินเซ่าป๋ายต่างหาก”
อันเจิงถอนหายใจออกมา “ที่แท้ท่านโค่วลิ่วก็มาเพื่อยิงเกาทัณฑ์ออกไปเพื่อที่จะสามารถฆ่าเป้าหมายที่ไม่เคยเจอได้แต่ว่าเพียงแค่ครึ่งทางกลับมีคนเอามีดมาฟันลูกเกาทัณฑ์ของท่านยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย ลูกเกาทัณฑ์ของท่านก็หักลงเสียแล้ว”
โค่วลิ่วหัวเราะออกมาพร้อมกับมีท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น“ข้าก็คงเหมือนกับลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงออกมาแล้ว ไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปได้อีกเ้าคงไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ตอนนี้เ้าไม่ได้ถูกสำนักต้าโค่วครอบงำอีกต่อไป ถ้าเป็เหมือนที่เ้าพูดสำนักต้าโค่วคงจะเป็สำนักที่อ่อนแอมาก...ด้านหลังมีมืออยู่มือหนึ่งกำลังง้างเกาทัณฑ์โดยที่ทุก ๆ คนของสำนักต้าโค่วเป็เหมือนกับลูกเกาทัณฑ์นั้น ลูกเกาทัณฑ์แต่ละดอกที่ยิงออกไปไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงทำใจฆ่าเ้าไม่ได้หรอก”
“ข้าเคยเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดมาก่อนข้าเคยรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเสียเลยทำไมถึงมีคนที่เกิดมาแล้วก็สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ แต่ว่าข้ากลับฝึกมันไม่ได้ข้าฝึกวิชาสำเร็จได้ก็จริง แต่ร่างกายของข้ากลับอ่อนแอเมื่อเทียบกับวิชาที่ข้ามีเคยมีคนพูดคำหนึ่งว่า ใจสูงยิ่งกว่าฟ้า...ข้าคิดว่ามันก็คงจะเป็แบบนั้น”
เขามองมาที่อันเจิง “เ้าอาจจะคิดว่าข้าพยายามไม่เท่ากับคนอื่นั้แ่ข้าอายุหกขวบเป็ต้นมา ข้าตั้งใจฝึกวิชาั้แ่ตะวันยังไม่ทันขึ้นจนถึงตอนที่ข้าอายุสิบขวบข้าก็ต่อยเตะจนเสาพังราบไปถึงยี่สิบเจ็ดต้น บิดาของข้าบอกข้าไว้ว่าคนเรานั้นไม่มีการแบ่งสูงต่ำ จุดเริ่มต้นทั้งหมดมันเริ่มมาจากตอนที่เกิดมาต่างหากดังนั้นแม้ว่าจะมีความยากลำบากเพียงใด ขอเพียงแค่พยายาม ต้องพยายามมากกว่าเด็กตระกูลอื่นเป็เท่าตัวจึงจะสำเร็จถ้ายังไม่สำเร็จก็ต้องพยายามเป็สองเท่า ถ้าสองเท่ายังไม่สำเร็จก็ต้องเป็สี่เท่าถ้ายังไม่สำเร็จอีกก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอน ทำมันจนกว่าจะสำเร็จให้จงได้”
“แต่ว่าต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า ท่านพ่อข้านั้นหลอกข้ามาตลอดเพราะไม่ว่าจะฝึกอย่างไร ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
เขาชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของเขา “ตอนที่ยังเป็เด็กข้าใฝ่ฝันอยากจะเป็แม่ทัพคนหนึ่ง ออกศึกเพื่อทำให้โลกนี้เป็โลกที่น่าอยู่เป็โลกที่มีความยุติธรรมกับทุกคน ต่อมาข้าจึงพบว่าโลกนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นจนถึงตอนที่เป็หนุ่ม ข้าก็ยังอยากที่จะเป็จอมยุทธ์กวัดแกว่งดาบฆ่าคนชั่วขจัดเื่ที่ไม่เป็ธรรมในโลกนี้ ฆ่าคนเลวให้หมดสิ้น แต่ต่อมาข้ากลับกลายมาเป็คนชั่วเสียเอง...อันเจิงถ้าสำนักต้าโค่วขาดใครไปสักคน ต้าโค่วสองคำนี้ก็แค่หลอกตัวเองเท่านั้นล่ะ”
โค่วลิ่วหันหลังกลับแล้วเดินมุ่งหน้าไปที่โรงจวี้ฉ่างอันเจิงจึงะโตามหลัง “นึกเสียใจที่เคยทำเื่ชั่ว ๆ อย่างนั้นหรือ?”
โค่วลิ่วส่ายหัว “ไม่เสียใจ ข้าเพียงเกลียดตัวเองที่ยังเลวไม่พอ”
อันเจิงพูดไม่ออก
เมื่อโค่วลิ่วเดินไปถึงหน้าประตูของโรงจวี้ฉ่างเขาก็หันหน้ากลับไปมองอันเจิงอีกครั้ง “สถาปนาตัวเองว่าเป็พวกต้าโค่วแต่ก็ยังเป็เพียงหมากให้คนอื่นสลัดทิ้งอยู่ดี ตามตำนานเล่าไว้ว่า ถ้ามีหยกแห่งิญญาสิบสองก้อนขอแค่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ฝึกตนในขอบเขตสุมารุก็สามารถล้างไขกระดูกเปลี่ยนร่างกายจนฝึกวรยุทธ์ได้ แต่ว่าข้าคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้วอันเจิงเ้ายังเด็กนัก ยังมีโอกาสอยู่ จำไว้นะว่า ถ้าได้ฝึกยุทธ์ต่อให้ต้องทรยศคนทั้งโลก มันก็ไม่เป็ไรหรอก”
“ข้าไม่ใช่ท่าน อย่าเอาเื่ที่ท่านทำไม่สำเร็จมายัดเยียดให้ข้า”
สีหน้าของโค่วลิ่วเปลี่ยนไปหลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“ข้าพวกต้าโค่วที่จงรักภักดีมาคารวะโรงจวี้ฉ่างแล้ว”
โค่วลิ่วะโไปยังคนที่อยู่ด้านในของประตูใหญ่
อันเจิงยืนมองอยู่อย่างเงียบ ๆ
“เ้ามามีธุระอะไร?”
โค่วลิ่วตอบกลับว่า “มาฆ่าเฉินเซ่าป๋าย”
“เมื่อเข้ามาแล้วก็ถือว่าเป็แขกของโรงจวี้ฉ่างเื่ในยุทธภพนั้นขอให้จัดการกันข้างนอก ถ้าเข้ามาฆ่าคนด้านใน คนที่เ้าฆ่านั้นจะไม่ใช่แค่ศัตรูของเ้าแต่เป็ชื่อเสียงของโรงจวี้ฉ่างที่จะถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นข้าอยากจะบอกเ้าให้อดทนรอไว้รอให้คนที่เ้าอยากจะฆ่าออกมาจากโรงจวี้ฉ่างเสียก่อน เมื่อนั้นเ้าจะฆ่าเขาก็เป็เื่ของเ้า”
“เช่นนั้นข้าขอถามว่ามันจะออกมาเมื่อไหร่?”
“ข้าก็ไม่รู้ เขาออกไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะเมื่อลูกค้าเข้ามาในโรงจวี้ฉ่างแล้ว โรงจวี้ฉ่างไม่มีวันจะไล่ลูกค้าออกไปเด็ดขาดจนกว่าเขาจะออกไปเอง”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงไม่รออีกต่อไปแล้ว มันก็เหมือนกับเมียที่บ้านไปอยู่ในมือคนอื่นถึงข้ารอพวกเขาก็ไม่รออยู่ดี”
คนในโรงจวี้ฉ่างตอบกลับ“เื่เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโรงจวี้ฉ่าง หากเ้าขืนบุ่มบ่ามเข้ามาเมื่อไหร่เ้าได้ตายสมใจอยากแน่”
“ต้องขออภัย ข้าต้องคงลงมือเสียแล้ว”
โค่วลิ่วชักดาบออกมาจากหลังของเขาดาบนั้นทำมาจากเหล็กชั้นยอด ดูเหมือนว่าจะมีแสงวิบวับออกมาจากดาบเขาวิ่งเข้าไปในประตูของโรงจวี้ฉ่างทันที คนเฝ้าประตูที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา
ก้าวแรกที่โค่วลิ่วเดินเข้ามาในโรงจวี้ฉ่างกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในใจของเขายังนิ่งสงบ เมื่อก้าวต่อไปอีกก้าวก้าวที่สองก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้าวที่สามเขาเหยียบลงไปที่ธรณีประตูของโรงจวี้ฉ่างทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าออกมาจากด้านใน รูปร่างของมันเป็เหมือนกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเมื่อแสงสีฟ้าเข้ามาถึงตัวโค่วลิ่ว ขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดในทันที
แสงสีฟ้าตัดขาของเขาขาดราวกับว่าตอนนี้ตัวของเขาเตี้ยลงมาครึ่งหนึ่ง โค่วลิ่วร้องครวญครางออกมาด้วยความเ็ปเขาเอาดาบมาคาบไว้ที่ปาก มือทั้งสองข้างยังคงคืบคลานไปด้านหน้า เมื่อมือของเขาัักับธรณีประตูของโรงจวี้ฉ่างแสงสีฟ้านั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ต้นแขนของเขาถูกสะบั้นออกมาเป็สองท่อน
เมื่อแขนของเขาขาดสะบั้นลง ฟันของโค่วลิ่วยังคงกัดดาบอยู่มือและเท้าของเขาก็ยังคงกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกับก้อนเนื้อที่โชกไปด้วยเืและเืก็ยังคงพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เขาคำรามออกมาจากลำคออย่างเ็ปทรมานแต่ยังคงใช้คางค่อย ๆ ตะเกียกตะกายไปกับพื้น เพื่อพาครึ่งตัวที่เหลือของตนเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
“ไม่ต้องพยายามอีกแล้ว”
มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากด้านในหลังจากนั้นแสงสีฟ้าก็บินมาแทงเข้าไปที่กะโหลกศีรษะของโค่วลิ่ว
ดาบของโค่วลิ่วหล่นกระทบพื้นเสียงดัง!
แสงสีฟ้ายังคงบินอยู่เหนือประตูครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ หายไป มีของขนาดเล็กมาก ๆ สิ่งหนึ่งตกลงข้างศพของโค่วลิ่ว
เมื่ออันเจิงเดินไปใกล้ ๆจึงพบว่าเป็ไม้จิ้มฟันซีกหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยเื