เรียนมัธยมปลายต้องใช้เงินสักเท่าไรกันเชียว?
ถ้าเป็ปีที่แล้วหลิวหย่งต้องลำบากเป็แน่แต่ปีนี้เขาค้นพบหนทางหาเงินได้แล้ว เงินที่หามาก็ยังไม่ได้หยิบออกมาใช้หากเอาไปทำอย่างอื่น เงินส่วนนี้อาจไม่เพียงพอ ทว่าแค่เลี้ยงดูเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินเพิ่มนั้นเป็เื่ขี้ปะติ๋วมีเงินก็มีความมั่นใจ หลิวหย่งหวังให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตจากใจจริงจากไม่มีคุณสมบัติใด ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานได้โอกาสจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่าว่าแต่เขามีเงินเลย ต่อให้ไม่มีเงินก็ต้องขายเืส่งเสีย!
เซี่ยเสี่ยวหลานก้มหน้า “ลุง ฉันพูดแล้วว่าจะซื้อบ้านในเมืองให้แม่ นี่คือชีวิตของฉันฉันก็อายุสิบแปดแล้ว ย่อมหาเงินเองได้ เงินที่ลุงหามาควรเก็บไว้ให้เทาเทานะ”
ถ้าต้องยอมให้หลิวหย่งเลี้ยงดูจริงๆ เซี่ยเสี่ยวหลานจะต้องรู้สึกอดสูจนตายแน่
หลิวหย่งรู้ดีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเย่อหยิ่งทรนงก่อนจะชนผนังฆ่าตัวตายก็มีนิสัยเสียแบบนี้ ไม่คิดว่าอุตส่าห์กลายเป็คนมีเหตุผลรับผิดชอบแล้วแต่จุดนี้ก็ยังแก้ไม่หายเสียที
เหล่าวังคิดว่าเด็กคนนี้ช่างลำบากเหลือเกินพามารดาที่หย่าร้างไปอาศัยอยู่บ้านลุง ตั้งใจรีบเร่งแก้ไขสภาพชีวิตอันยากลำบากอาจารย์ฉีก็ใจอ่อนระทวย ทำธุรกิจอิสระไม่เป็ที่นับหน้าถือตานักแต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังสัญญาจะซื้อบ้านให้มารดา ช่างเป็ลูกกตัญญูยิ่งนัก
“นักเรียนเซี่ย การเรียนกับการตั้งตัวไม่ขัดแย้งกันพอเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย รัฐจะจัดหางานให้เธอเองหน่วยงานก็จะแบ่งบ้านให้เธอเช่นกัน”
แต่ถือเป็เื่ของอีกหลายปีหลังจากนี้
ทำธุรกิจส่วนตัวคาดเดาได้ยากว่าจะสามารถซื้อบ้านได้สักหนังจริงหรือไม่ทำธุรกิจมิใช่มั่นคงไม่มีเสีย จะอนาคตก้าวไกลไปกว่านักศึกษาได้อย่างไรอาจารย์ฉีเพียงแค่ไม่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานทำอะไรโง่เง่าจากความคิดเพียงชั่ววูบจึงเกลี่ยกล่อมด้วยความหวังดีจากก้นบึ้งของจิตใจ “หลังเธอได้ทำงาน ทุกเดือนก็จะมีเงินเดือนให้ค่อยคืนเงินที่ลุงส่งเสียเธอเรียนให้เขาก็ได้มิใช่หรือ?”
ท่าทางของเซี่ยเสี่ยวหลานตรงไปตรงมา “หนูชินกับการเรียนเองที่บ้านแล้วค่ะสภาพแวดล้อมของโรงเรียนจะทำให้หนูรู้สึกกดดันมาก ตอนมัธยมเรียนอย่างไรก็ไม่เข้าหัวอยู่บ้านอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ยังได้เจอวิธีการเรียนที่เหมาะมากกว่าด้วยคุณครูคิดว่าทำแบบนี้ดีหรือไม่? ถ้าโรงเรียนมีสอบหนูก็จะไปสอบ ต่อให้ไม่มีสอบหนูจะไปโรงเรียนสัปดาห์ละครั้งเรียนรู้จุดที่ศึกษาเองแล้วไม่เข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตัวเองจะทำธุรกิจไม่ไปโรงเรียนไม่ต้องให้เื่ถึงอาจารย์ทั้งสอง หลิวหย่งลุงของเธอก็ไม่มีทางเห็นด้วย
แต่เธอบอกว่าตนเหมาะกับศึกษาด้วยตนเอง อาจารย์สองท่านไม่กล้ามั่นใจหลิวหย่งก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัยเช่นกัน
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่มัธยมต้นผลการเรียนธรรมดามากจริงๆ
ถ้าผลการเรียนดีก็คงจะสอบอาชีวศึกษาไปั้แ่แรกแล้วคงไม่เรียนจบมัธยมต้นแล้วหยุดเรียนหนังสือต่อแบบนี้หรอก
เซี่ยเสี่ยวหลานจบมัธยมต้นได้สามปีอีกทั้งสามารถทำข้อสอบของเซี่ยนอีจงได้ถึง 446 คะแนน ไม่น่าใช่การที่อยู่บ้านพลิกหนังสือสองสามวันแล้วจะทำได้หรอกนะ? อย่างไรก็เป็ผลงานของการศึกษาด้วยตนเองหลิวหย่งไม่สะดวกซักไซ้ต่อหน้าอาจารย์ทั้งสองแต่ในใจคาดเดาว่ามีความเกี่ยวข้องกับจือชิงหวังเจี้ยนหัวจากหมู่บ้านต้าเหอคนนั้น
หวังเจี้ยนหัวก็สอบติดมหาวิทยาลัยไปแล้วเมื่อก่อนเสี่ยวหลานดีกับเขา ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะเล่าเรียนด้วยกัน
แต่หลิวหย่งพูดเื่นี้ได้หรือ?
พูดออกมาก็จะต้องกล่าวถึงรักสามเส้าระหว่างเซี่ยจื่ออวี้หวังเจี้ยนหัว และเซี่ยเสี่ยวหลาน ในเื่ราวยุ่งเหยิงของความสัมพันธ์นั้นเซี่ยเสี่ยวหลานพ่ายแพ้แก่เซี่ยจื่ออวี้และผู้แพ้ก็ต้องแบกกิตติศัพท์ยั่วยวนว่าที่พี่เขยไปโดยปริยายจะพูดต่อหน้าอาจารย์จากเซี่ยนอีจงได้อย่างไร!
คำขอนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้เหล่าวังลำบากใจ
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเด็ดเดี่ยวในความคิด หากเซี่ยนอีจงไม่เห็นด้วยเธอก็ไม่ถือที่จะไปสมัครเรียนที่เอ้อร์จง
เหล่าวังจะยอมปล่อยต้นกล้าอนาคตปริญญาตรีชั้นนำให้เอ้อร์จงได้อย่างไรจึงทำได้เพียงบอกว่าขอหารือกับทางผู้บริหารโรงเรียนเสียก่อน
หารือได้ก็ดีน่ะสิ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเื่นี้น่าจะสำเร็จได้แน่จากนั้นพวกเขาจึงแยกทางใครทางมันกับอาจารย์ทั้งสองที่เขตอันชิ่งอาจารย์ฉีไม่พอใจในตัวหลิวหย่งเท่าไรนัก
ศึกษาด้วยตนเองคือข้ออ้างอาจารย์ฉีคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกังวลเื่สถานะทางการเงินของครอบครัวต่างหาก
มีใจเพชรเป็เื่ดี แต่เด็กคนนี้ใจเพชรเกินไปแล้ว...คนเป็ลุงก็ควรหนักแน่นบ้าง ห้ามปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานทำลายอนาคตของตัวเอง
“ครูแนะนำว่าเธอมาโรงเรียนเข้าเรียนตามปกติดีกว่านะ”
“ขอบคุณครูฉีมากเลยค่ะ แต่หนูตัดสินใจแล้ว”
เหลวไหล
เธอสอบมหาวิทยาลัยเพราะ้าก้าวไปข้างหน้าและเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมของตนเอง
อีกยี่สิบสามสิบปีผ่านไป นักศึกษามหาวิทยาลัยในยุค 80 กลุ่มนี้จะครองตำแหน่งสำคัญของแต่ละสายงานไปจนถึงหน่วยงานรัฐเซี่ยเสี่ยวหลานตระหนักว่าไปเรียนมหาวิทยาลัยสร้างสัมพันธ์ทางสังคมไว้ตอนนี้อนาคตจะมีประโยชน์อีกมากมาย มนุษย์อาศัยอยู่บนโลก ไม่มีทางต่อสู้อย่างเดียวดายในสนามรบไปตลอดกาลได้
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องสำคัญอย่างแน่นอนต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานมองการณ์ไกลสักเท่าไร แต่เธอก็ต้องใส่ใจกับปัจจุบันด้วย
ถอดความจนสร้างความรวยมุ่งสู่ชีวิตมั่งคังให้เร็วที่สุดแก้ไขปัญหาปากท้องคือเป้าหมายอันดับแรกของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“สอบมหาวิทยาลัยได้จริงหรือ...”
หลิวหย่งยิ้มเงอะงะตลอดทาง
เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแท้จริงเซี่ยเสี่ยวหลานแซ่ ‘เซี่ย’ เพราะเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนของตนโดยสมบูรณ์ความเบิกบานที่เต็มเปี่ยมคือตระกูลหลิวจะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยสักคนแล้ว ช่างเป็เกียรติ์เป็ศรีแก่วงศ์ตระกูลเหลือเกิน!
เขาเห็นด้วยกับวิธีของอาจารย์เซี่ยเสี่ยวหลานควรไปเข้าเรียนในโรงเรียนตามปกติ คนอื่นเรียนซ้ำสองสามปียังสอบไม่ติดก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปจริงอยู่ที่คะแนนสอบของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เลว แต่ย่อมไม่ควรทะนงตนด้วยเหตุผลนี้ไปโรงเรียนตามปกติเพื่อทุ่มเทจิตใจทั้งหมดให้กับการเรียน พยายามมุ่งมั่นสักครั้งปีหน้าก็สอบมหาวิทยาลัยดีๆ สักแห่ง!
หลิวหย่งไม่ได้กล่าวอะไรมาก เขาจะรอหลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยกลับมาก่อนค่อยร่วมมือกันกดดันเซี่ยเสี่ยวหลาน
“จริงหรือ?!”
หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยเข้าหมู่บ้านโน้นออกหมู่บ้านนี้คอยรับซื้อปลาไหลจักรยานถูกเซี่ยเสี่ยวหลานขี่ไปแล้ว หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยจึงอาศัยการเดินเท้า
ทำงานทั้งวันไม่ต้องพูดถึงว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงไหนแต่พอกลับบ้านมาได้ยินข่าวดีเข้า หลิวเฟินปลื้มปีติเสียจนเหม่อลอย
เื่นี้จริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัยอาจารย์จากเซี่ยนอีจงมาแจ้งผลด้วยตนเองบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เพียงผ่านการทดสอบเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนของโรงเรียนได้มากไปกว่านั้นคือโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยในปีหน้าก็มีมากโข
“ไปเรียนหนังสือ ตั้งใจเล่าเรียน แม่ส่งเสียลูกเอง...”
หลิวเฟินออกปากพึมพำประโยคเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่สนตรรกะ ไร้ลำดับคำ เห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมากเกินไปแล้ว
หลิวเฟินรู้สึกใช้ชีวิตล่องลอยเหมือนความฝันก่อนหน้านี้ลูกสาวพยายามฆ่าตัวตาย พวกเธอแม่ลูกถูกไล่ออกจากตระกูลเซี่ยทั้งที่ตัวเปล่าไร้ต้นทุนใดๆเซี่ยเสี่ยวหลานราวกับมีเหตุผลขึ้นในชั่วข้ามคืนชีวิตของสองแม่ลูกไม่ใช่ยิ่งผ่านไปยิ่งย่ำแย่ แต่กลับยิ่งผ่านไปยิ่งดีเลิศ! หย่าร้างด้วยความราบรื่น ย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิมเซี่ยเสี่ยวหลานทำเงินจากธุรกิจ ความเปลี่ยนแปลงในด้านดีเหล่านี้สั่งสมทีละเล็กทีละน้อย...จวบจนถึงวันนี้ ข่าวดีที่อาจารย์จากเซี่ยนอีจงนำมาให้นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัยได้ ความเป็ไปได้ที่จะสอบติดก็มีมากด้วย!
มหาวิทยาลัยชั้นนำ?
หรูหราเกินไปแล้ว
แม้เป็เพียงสถาบันวิชาชีพหรืออาชีวศึกษาก็ตาม
ชะตาของเซี่ยเสี่ยวหลานต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงแน่!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันไปรายงานตัวที่เซี่ยนอีจงหลิวเฟินก็เหมือนมองเห็นอนาคตอันแสนสดใสสวยงามเสียแล้ว
การศึกษาเปลี่ยนแปลงชีวิต รัฐจัดสรรอาชีพให้ภูมิลำเนาชนบทกลายเป็ภูมิลำเนาเมือง ได้ถือชามข้าวเหล็ก [1] บอกลาข่าวลือไม่น่าพิสมัยเ่าั้จนหมดสิ้น—อนาคตเช่นนี้ แม้ยังไม่ชัดเจนดั่งมองบุปผาในสายหมอกทว่าสอดคล้องกับความหวังของหลิวเฟินมากเหลือเกิน
เธออยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นตื้นตัน ทว่าสุดท้ายกลับลงท้ายด้วยปิดหน้าร่ำไห้โอดครวญ
“หลานฟังคำพูดแม่ของหลานเถอะ ตั้งใจเรียนเสีย เื่ธุรกิจอย่ากังวลหากไม่ไหวยังมีลุงอยู่ หลานยังต้องกลัวอะไรอีก!”
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้นี่นะ ครอบครัวเดียวกันไม่อนุญาตให้เกรงใจ”
หลิวหย่งและหลี่เฟิ่งเหมยผลัดกันเข้าสนามไกล่เกลี่ยคนละตา
เซี่ยเสี่ยวหลานลังเลเข้าเสียแล้ว เธอรีบร้อนเกินไปหรือเปล่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนค่อยทำธุรกิจไม่ได้หรือ?
ไม่ได้... ยุคสมัยกำลังเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่เธอเองก็ไม่ใช่ยอดคนผู้ถูกลิขิตมาให้เปล่งประกายแสงแต่เธอมีประสบการณ์และความรู้จากอนาคตมากกว่าคนอื่นอยู่มากหากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่า เธอจะไขว่คว้าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติก่อนได้อย่างไร!
เธอไม่ได้มาเพื่อเป็ผู้พ่ายแพ้!
จิตใจที่วอกแวกของเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งมั่นขึ้นอีกครั้งหาเงินทองและเรียนหนังสือมิได้ขัดแย้งกัน สามารถใส่ใจทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้เธอตั้งใจจะลงแรงกายมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เช่นนั้นแล้วจะเป็อย่างไร?
เธอจะทำให้สำเร็จให้ได้
เธอกอดหลิวเฟินผู้กำลังร้องไห้โยเยเอาไว้
“แม่ แม่เชื่อฉันนะ”
เชิงอรรถ
[1]铁饭碗 ชามข้าวเหล็กหมายถึง อาชีพการงานที่มั่นคงมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้