ทันทีที่จางหยางสั่งการก็ปรากฏบริวารยี่สิบสามสิบคนพร้อมอาวุธในมือพุ่งออกจากทางเข้าลานกว้างอีกด้านเข้ามารุมล้อมไป๋หยุนเฟยไว้ แต่เมื่อพบเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงถือก้อนอิฐโชกเืในมือกลับไม่มีผู้ใดกล้าจะเปิดฉากลงมือ
“เ้ากล่าวเองว่าหากข้าชนะจะปล่อยให้ข้าเป็อิสระ” ไป๋หยุนเฟยกล่าวเสียงราบเรียบขณะที่สายตาจับจ้องจางหยางอย่างเ็า
“เ้า!... ข้า...” จางหยางอับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ มันสะกดกลั้นจนทั้งใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็แดงฉาน
ยามนี้ผู้ชมรอบด้านได้สติคืนจากความตระหนกแล้ว สำหรับพวกมันไม่ว่าใครต้องตาย ล้วนไม่สลักสำคัญเท่าความแปลกใหม่เร้าใจที่ได้รับ สำหรับ “การแสดงออกที่เกินคาด” ของไป๋หยุนเฟยเมื่อครู่แน่นอนว่าให้ความรู้สึกอิ่มเอมแก่พวกมันเป็พิเศษ แต่เมื่อพบเห็นความเปลี่ยนแปลงในลานจึงพากันชี้มือชี้ไม้ไปยังไป๋หยุนเฟยสลับกับจางหยางพลางส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“นั่นก็ถูกแล้ว มันชนะแล้ว สมควรได้รับอิสระกระมัง? อย่าได้บอกว่าสมรภูมิเดรัจฉานของตระกูลจางแห่งนี้เป็เพียงสถานที่ให้คนของตนเข่นฆ่าผู้อื่นตามอำเภอใจ??” ผู้ที่เอ่ยคำพูดขึ้นมากะทันหันนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็คุณชายรองเจิ้ง มันชี้มือไปยังเหล่าผู้สูงศักดิ์ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นแล้ว พวกมันจะมายังที่นี่ทำอะไร??”
แม้จะกล่าวด้วยระดับเสียงปกติ แต่เนื่องเพราะสมรภูมิยามนี้ตกอยู่ในความเงียบ เหล่าผู้ชมกำลังกระซิบกระซาบถกเถียงกัน ทุกคนจึงล้วนได้ยินคำพูดของคุณชายรองเจิ้งอย่างชัดเจน พวกมันทั้งหมดล้วนแสดงท่าทีว่า “ข้าเห็นด้วย” ถึงกับมีผู้คนไม่น้อยมองมาที่จางหยางด้วยท่าทีไม่พอใจ
ใบหน้าจางหยางบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว สุดท้ายจึงฝืนยิ้มประสานมือคารวะคุณชายรองเจิ้งก่อนจะหันไปยิ้มขออภัยแก่ผู้ชมพร้อมกับกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า... คุณชายรองเจิ้งกล่าวถูกต้อง เมื่อครู่ข้าเสียกิริยาแล้ว ข้าจะปลดปล่อยมันเป็อิสระ...” กล่าวจบก็ปรายตาส่งสัญญาณแก่บริวารภายในลาน
ยามนั้นคุณชายรองเจิ้งจึงเอยปากกล่าวอีกครั้งว่า “สหาย ข้าเองจะกลับแล้วเช่นกัน เ้าจะร่วมทางไปพร้อมข้าหรือไม่?” คำพูดเหล่านี้กลับกล่าวกับไป๋หยุนเฟย
ทันทีที่คำพูดกระทบหูจางหยาง ใบหน้ามันก็เปลี่ยนเป็แดงฉานอีกครั้ง ทว่าแม้ลอบขุ่นเคืองใจแต่ยังไม่กล้าแสดงความเดือดดาล เดิมทีมันคิดว่าหลังจากปล่อยไปจะหาหนทางฆ่าไป๋หยุนเฟยได้โดยไม่ยากเย็น แต่คุณชายรองเจิ้งผู้นี้กลับอ่านเจตนาของมันออกอย่างปรุโปร่ง ถึงกับเอ่ยปากปกป้องชีวิตของไป๋หยุนเฟย
ภายในลานกว้าง แม้ไป๋หยุนเฟยไม่แสดงท่าทีอันใดแต่กลับเข้าใจกระจ่าง มันก็เกรงเหตุไม่คาดฝันเช่นกัน จึงไม่กล่าวอันใดเพียงก้าวเท้าไปยังทางเดินซึ่งเมื่อครู่เหล่าบริวารกรูออกมา ชั่วครู่จึงปรากฏตัวที่อัฒจันทร์ เพียงยืนเงียบงันอยู่ด้านหลังคุณชายรองเจิ้ง
ไป๋หยุนเฟยก้มหน้าลงต่ำ ไม่เงยหน้ามองจางหยางที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่วา ทว่าเส้นเืบนหลังมือที่กำก้อนอิฐกลับปูดโปนขึ้น มิหนำซ้ำยังกัดฟันแน่นจนแทบจะหลั่งโลหิต ที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพราะมันเกรงว่าจะไม่อาจควบคุมตนเองพุ่งเข้าไปทุบก้อนอิฐลงบนศีรษะของศัตรูได้ แต่มันทราบดีว่าหากพุ่งเข้าไปจริงๆ ไม่เพียงไม่อาจกระทบถูกศัตรู กระทั่งชีวิตของตนยังต้องสิ้นสุดลงที่นี่
“คุณชายจาง เช่นนั้นข้าขออำลา” คุณชายรองเจิ้งกล่าววาจาอย่างปลอดโปร่งไม่กี่คำ จากนั้นลุกขึ้นก้าวเท้าไปยังทางออกทันทีโดยไม่แยแสว่าจางหยางจะคิดเช่นไร ไป๋หยุนเฟยเองก็อุ้มร่างของผู้เฒ่าอู๋ติดตามอยู่ไม่ห่าง ส่วนท่านลุงฉินนั้นก็เดินตามหลังพลางมองดูไป๋หยุนเฟยที่อยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด
................
ในตรอกห่างไกลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลั่วซี ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยออกจากสมรภูมิเดรัจฉาน หลังจากเดินต่อมาอีกชั่วครู่ คุณชายรองเจิ้งจึงหันกลับมาหาไป๋หยุนเฟยที่เดินตามหลังอย่างเงียบงันมาตลอดทาง จากนั้นจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าคือเจิ้งไคจากตระกูลเจิ้งแห่งนครหลวง เ้าคือ...”
“ไป๋หยุนเฟย”
“น้องหยุนเฟย เ้า... จากนี้เ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
ไป๋หยุนเฟยจ้องมองที่เจิ้งไคด้วยท่าทีเงียบงัน สุดท้ายจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าติดค้างท่าน ข้าจะตอบแทนท่านสิบเท่าในภายหลัง...”
“ฮ่า ฮ่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น... ข้าเพียงเอ่ยปากไม่กี่คำ อย่าได้เก็บมาใส่ใจ” เมื่อเห็นว่าไป๋หยุนเฟยเข้าใจคำพูดตนเองผิด เจิ้งไคจึงส่ายหน้าก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าหมายถึง จากนี้เ้าอย่าได้ปรากฏตัวต่อหน้าจางหยางอีก แม้ข้าสามารถช่วยเ้าออกมาได้ แต่ก็จะไปจากเมืองนี้แล้ว ถึงเวลานั้นมันอาจตามรังควานสร้างปัญหาแก่เ้าอีก ในความเห็นข้า เ้าไม่สมควรอยู่ที่เมืองนี้อีก”
ไป๋หยุนเฟยนิ่งเงียบไปอีกครั้ง มันก้มหน้ามองศพของผู้เฒ่าอู๋ กระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน...
“ขอบคุณ...”
มันเอ่ยปากอย่างสุภาพ จากนั้นกลับไม่แยแสเจิ้งไคอีก เพียงก้มหน้าเดินตามตรอกออกไปด้านนอก
“วันนี้ท่านช่วยเหลือข้า ข้าจะจดจำไว้ในใจ วันใดที่เข้มแข็งพอ ข้าจะทดแทนท่านสิบเท่า”
เมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยจากไป เจิ้งไคจึงได้แต่สั่นศีรษะถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา...
................
ผู้เฒ่าอู๋กล่าวว่าครอบครัวของตนอาศัยอยู่ริมถนนเล็กๆ ทางทิศเหนือของเมืองห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล โชคดีที่เส้นทางเปลี่ยวร้าง ไม่เช่นนั้นด้วยสารรูปมันที่ร่างโชกเืทั้งยังอุ้มซากศพไว้ในอ้อมแขน คงต้องถูกจับกุมไปยังกรมเมืองเป็แน่
หลังจากขู่ขวัญผู้คนสามสี่คนติดต่อกัน จากคำบอกเล่าด้วยเสียงสั่นระริกของชาวบ้านในที่สุดมันก็หาครอบครัวผู้เฒ่าอู๋พบ หลังจากส่งร่างไร้ิญญาของผู้เฒ่าอู๋ให้แก่คนในครอบครัวแล้วมันจึงหันกายจากไป โดยไม่แยแสต่อท่าทีหวาดกลัว ตื่นตระหนก และเศร้าโศกของคนเ่าั้อีก
หลังจากกลับถึงบ้านมันรีบชำระล้างคราบโลหิตบนร่างในทันที จากนั้นจึงเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าอื่นที่มันมีอยู่เพียงชุดเดียว ไป๋หยุนเฟยมองดูบ้านที่อาศัยมาตลอดสิบแปดปีของมันเป็ครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าจากมาอย่างเด็ดเดี่ยว...
................
ภายใต้แสงจันทร์สลัว ในป่าห่างไกลจากเมืองลั่วซี ไป๋หยุนเฟยคุกเข่าเบื้องหน้าหลุมศพของมารดาและท่านปู่ของมัน พลางกล่าวคำพูดบางอย่างด้วยเสียงแ่เบา
“…”
“จากนั้นข้าถูกเจิ้งไคช่วยเหลือและออกจากที่นั่นมา...”
“มารดา... ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว หากข้าไม่้าถูกข่มเหงและเหยียดหยาม หากข้าไม่้าถูกปฏิบัติเยี่ยงมดปลวก หากข้า้าใช้ชีวิตอย่างเสรี ข้าต้องมีพลังอันยิ่งใหญ่... ยิ่งใหญ่จนไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินข้า”
“มารดา ท่านปู่กล่าวว่าข้าต้องใช้ชีวิตอย่างมีมโนธรรม...”
“ผู้เฒ่าอู๋สละชีวิตเพื่อช่วยข้า ข้า... ้าแก้แค้นให้แก่เขา ข้าจะให้จางหยางนั้นจ่ายค่าตอบแทนในสิ่งที่มันกระทำ! เพื่อผู้เฒ่าอู๋ เพื่อหลานสาวของท่านเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ และเพื่อตัวข้าเองด้วยเช่นกัน!”
“ยามนี้ข้าได้รับพลังที่แสนพิเศษ ข้ารู้สึกได้ว่า หากข้าค้นคว้าอย่างจริงจังและใช้มันอย่างถูกต้อง ข้าจะสามารถเป็ผู้แข็งแกร่ง...”
ไป๋หยุนเฟยปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ทว่าขณะจะยันตัวลุกขึ้นยืนก็พลันมีเสียงชราดังขึ้นจากด้านหลัง
“เ้า้าพลังหรือไม่?”
“ผู้ใด?” เสียงที่ปรากฏขึ้นฉับพลันสร้างความหวาดหวั่นแก่ไป๋หยุนเฟย มันฉวยก้อนอิฐด้านข้างขึ้นมาอย่างว่องไวก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ด้านหลัง
“โอ? พลังิญญาของเ้าได้เริ่มตื่นขึ้นแล้ว? แม้จะยังแ่บางอยู่ก็ตาม...” น้ำเสียงของอีกฝ่ายประหลาดใจอยู่บ้าง คนผู้นั้นกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ฮ่า ฮ่า อย่าได้หวาดกลัวเลยสหายน้อย ข้าไม่คิดทำร้ายเ้า”
ภายใต้แสงจันทร์ไป๋หยุนเฟยแลเห็นชายชราท่าทางเมตตาแต่งกายด้วยชุดยาวสีเทาเดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสนิทสนมพลางประเมินชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านเป็ใคร? ้าอะไร?” ไป๋หยุนเฟยถามคำถามที่สำคัญที่สุดสองอย่างทันที เมื่อเห็นว่าชายชราไม่มีเจตนาร้ายมันจึงผ่อนคลายความระวังลง ทว่ามือยังคงกระชับก้อนอิฐไว้แแ่
“ข้าพอจะเข้าใจที่เ้ากล่าวเมื่อครู่อยู่บ้าง ดูจากพลังิญญาของเ้าที่เริ่มตื่นขึ้น คงเป็พลังพิเศษที่เ้ากล่าวถึงเมื่อครู่กระมัง?”
“ขอบอกต่อเ้าเลยว่าไม่มีทางที่เ้าจะแก้แค้นด้วยพลังอันต่ำต้อยเพียงเท่านี้ เ้าไม่ได้เป็แม้กระทั่งผู้ฝึกปรือิญญาด้วยซ้ำ แม้เ้าบัดซบจางหยางจะบรรลุเพียงด่านปัจเจกิญญาระดับกลาง แต่ก็เกินกว่าคนอย่างเ้าจะต่อกรได้”
“ที่ข้า้าบอกต่อเ้าคือ... ข้าสามารถส่งเสริมให้เ้าแข็งแกร่งขึ้น จนมีหนทางแก้แค้นดังที่ปรารถนา เ้าจะรับปากหรือไม่?”
เดิมทีชายชราคาดว่า หลังจากได้ยินตนเองกล่าวคำพูดเหล่านี้ สหายน้อยเบื้องหน้าจะรับปากด้วยความยินดี ทั้งรีบสอบถามวิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ทว่า...
“ข้าจะเชื่อถือท่านได้อย่างไร?”
“เอ่อ...” ชายชรานิ่งงันไปชั่วขณะ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวอย่างอับจนปัญญาว่า “เ้าสิ่งล้ำค่าใดพอจะให้ข้าหลอกลวง? ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะทำให้เ้าเชื่อถือ...”
ทันทีที่กล่าวจบ ไป๋หยุนเฟยพลันรู้สึกรอบข้างสว่างวาบ พร้อมกับถูกคลื่นความร้อนพุ่งปะทะใบหน้า... จู่ๆ เปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่รอบกายมันและชายชราอย่างน่าเหลือเชื่อ!!
มิหนำซ้ำเพลิงเหล่านี้ยังลอยอยู่กลางอากาศแทนที่จะเผาไหม้บนพื้นดิน!
ภายใต้แสงของเปลวเพลิง ชายชราชี้นิ้วอย่างยิ้มแย้มไปยังก้อนหินกลมขนาดเท่าบ่อน้ำห่างออกไปไม่ไกล ท่ามกลางทุ้มดังกึกก้องก้อนหินพลันลอยขึ้นจากพื้นดินสู่อากาศ ชายชราขยับนิ้วทั้งห้าเล็กน้อย ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงบดขยี้ดังขึ้น ก้อนหินนั้นก็พลันแตกละเอียดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงสู่พื้นดิน...
ไป๋หยุนเฟยมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะพลันเวียนศีรษะวูบ ยามที่รู้สึกตัวอีกครั้งจึงพบว่า... ตนเองลอยค้างอยู่กลางอากาศ!
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสร้างความสับสนในใจมันไม่น้อย ไป๋หยุนเฟยได้แต่ใช้สายตาตื่นตะลึงจับจ้องไปยังชายชราบนพื้นที่ยังคงมองมาอย่างยิ้มแย้ม
ยามได้เห็นท่าทีตื่นตระหนกบนใบหน้าไป๋หยุนเฟย ชายชราจึงยิ้มอย่างพอใจ ยามโบกมืออีกครั้งไป๋หยุนเฟยจึงลอยลงสู่พื้นดินอย่างแช่มช้า เปลวเพลิงรอบด้านเองก็ค่อยๆ หดตัวลงกลายเป็ลูกไฟขนาดเท่าชามอ่างลอยอยู่กลางอากาศ ดูท่าชายชราจะเหลือไว้เพื่อให้แสงสว่าง
“เป็อย่างไร? เด็กน้อยเ้าเชื่อข้าแล้วกระมัง? ข้าจะกล่าวอีกครั้ง ข้าสามารถส่งเสริมเ้าให้แข็งแกร่งขึ้น ช่วยให้เ้าแก้แค้นได้ เ้าจะรับปากหรือไม่?”
ไป๋หยุนเฟยก้มศีรษะนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงจ้องมองชายชราอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายค่อยเอ่ยปากอย่างแช่มช้าว่า “มีเงื่อนไขอันใด?”
“เอ่อ...” ชายชรานั้นนิ่งงันไปชั่วขณะ ขณะที่ในใจอดท้อแท้หดหู่ขึ้นมาไม่ได้ “สหายน้อยนี้ช่างแตกต่างจากผู้คนก่อนหน้า... ไม่ว่าผู้ใดมีวาสนาเยี่ยงนี้ย่อมต้องะโคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างตื่นเต้น แต่มันกลับ...”
“นี่... ข้าเพียงเห็นว่าเ้ามีสัดส่วนพร์อันเลิศล้ำ จึง้าจะส่งเสริมเ้า...”
“ข้าไม่เชื่อ” ไป๋หยุนเฟยสอดคำทันที
“เอ่อ...” ชายชราถึงกับอับจนถ้อยคำ หลังจากนิ่งงันอยู่นานก็พลันะเิเสียงหัวเราะดังลั่น
“เด็กน้อยเ้านี้ช่างไม่เหมือนใคร เอาเถอะข้าจะไม่ปิดบังอันใดเ้าอีก นอกจากเพื่อช่วยเ้าสามารถแก้แค้นได้แล้ว ข้ายังมีจุดประสงค์อื่นในการถ่ายทอดวิชาแก่เ้า”
“ข้าเป็คนของสำนักชะตาลิขิต สักวันหนึ่งสำนักข้าจะต้องเผชิญภัยพิบัติถึงขั้นสิ้นสูญ ดังนั้นข้าช่วยเหลือเ้าเพื่อหวังว่าวันหน้าเ้าฝึกฝนจนบรรลุจะสามารถช่วยเหลือสำนักข้าผ่านพ้นภัยพิบัติเช่นกัน”
“สำนักชะตาลิขิตคืออะไร?”
“เอ่อ...” ชายชรารู้สึกราวกับเดินในความมืดมิดและชนเข้ากับกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า
“สำนักชะตาลิขิตเป็สำนักของผู้ฝึกปรือิญญา แม้ไม่ใช่หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แต่ก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน ข้าจะบอกให้เ้าทราบ ประมุขตระกูลจางแห่งเมืองลั่วซีนี้ จางเจิ้นซานและบุตรชายมันจางหยางล้วนเป็ศิษย์สำนักธารน้ำแข็งทางทิศตะวันออกของมณฑลฉิงหยุนนี้ แม้นั่นเป็เพียงสำนักเล็กๆ แต่ยามนี้เ้ายังไม่เข้มแข็งพอจะต่อกรได้ กับตระกูลจางทางที่ดีเ้าควรต้องหลบซ่อนตัวเสีย”
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันราวกับไตร่ตรองคำพูดของชายชรา ผ่านไปชั่วขณะจึงเอ่ยปากสอบถามอีกครั้ง “อะไรคือผู้ฝึกปรือิญญา”
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกนี้ล้วนประกอบด้วยร่างกายและจิติญญา ทุกผู้คนล้วนสามารถฝึกฝนร่างกาย แต่พวกมันเพียงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา ทว่าบางคนกลับสามารถฝึกฝนจิติญญาและยกระดับพลังิญญาของตนได้ จากนั้นอาศัยการควบคุมร่างกายด้วยจิติญญา จึงดึงความสามารถซ่อนเร้นอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ พวกมันกระทั่งสามารถใช้ประโยชน์จากพลังแห่งธาตุธรรมชาติเพื่อปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต ผู้ที่สามารถฝึกฝนจิติญญาเหล่านี้ถูกเรียกขานว่าเป็ ผู้ฝึกปรือิญญา”
"อ้างอิงจากพลังแห่งิญญา พลังของผู้ฝึกปรือิญญาสามารถแบ่งแยกได้เป็เก้าด่าน ได้แก่ นวกะิญญา ปัจเจกิญญา วีรชนิญญา ภูติญญา บรรพิญญา เอกะิญญา ราชันิญญา จักรพรรดิิญญา และเทวะิญญา แต่ละด่านแบ่งแยกได้อีกสามระดับได้แก่ ต้น กลาง และปลาย"
“การเพิ่มพูนพลังิญญานั้นยากเข็ญอย่างยิ่งยวด ประมุขแห่งตระกูลจาง จางเจิ้นซานนั้นบรรลุถึงด่านภูติญญาระดับต้น และเ้าสำนักธารน้ำแข็งเพียงบรรลุด่านบรรพิญญาระดับกลาง”
“พลังิญญาของเ้าได้เริ่มตื่นขึ้นแล้ว ยามใดที่ตื่นขึ้นเต็มที่ เ้าจะััได้ถึงการคงอยู่ของพลังิญญาในร่างและถือว่าบรรลุด่านนวกะิญญาระดับต้น”
“ข้าสามารถชี้แนะวิธีฝึกฝนิญญาและการใช้พลังิญญาแก่เ้า ตอนนี้... เ้าจะรับปากหรือไม่”