“ท่านลุง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านแล้ว มีช่องทางนี้ ที่บ้านก็สามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น หนี้สินสองปีที่แล้วก็จะสามารถใช้คืนได้หมดสิ้นเสียที” หูฉางหลินมีความตื่นเต้นสายหนึ่ง กระต่ายคอกนี้ขายได้ราคาไม่เลว หมายความว่าหลังเลี้ยงกระต่ายโตแล้วก็จะมีช่องทางการจำหน่ายที่ไม่เลวแล้ว ขอแค่เลี้ยงกระต่ายให้ดี ก็ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีรายได้
“ดูเ้าพูดเข้า เงินนั่นไม่้าใช้คืนเร่งด่วนอันใด ไม่ต้องให้ท่านแม่เ้ารีบคืนหรอก ระวังเหนื่อยจนป่วยได้” หวังซื่อเป็บุตรสาวของสกุลหวัง สกุลหวังมีบุตรสามคนชายหญิง คนโตหวังหงหย่วนอายุสามสิบกว่า ได้ป่วยและเสียชีวิตไปนานแล้ว สกุลหวังรุ่นก่อนจึงเหลือแค่สองพี่น้องหญิงชาย หวังซื่อตอนต้นปีก็มายืมเงินกับพี่ชายของนางไปไม่กี่เหรียญ
สองฝ่ายคุยเื่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ครู่หนึ่ง ก็นัดหมายกันว่ายามว่างจะไปดูกระต่ายที่บ้านหูฉางกุ้ยกันว่าเอากระต่ายมาเลี้ยงให้ดีได้อย่างไร ไม่นานก็แยกย้ายต่างคนต่างไปซื้อของ
หลังขายกระต่ายได้ ในใจหูฉางหลินตื่นเต้นเป็อย่างมาก ที่บ้านยังมีกระต่ายตัวผู้อีกคอกหนึ่งที่ขายได้ เช่นนี้พอลองคำนวณรายรับก็จะมีประมาณสองพันเหวิน เงินนี้สามารถเทียบได้กับค่าตอบแทนที่พวกเขาทำกันเดือนกว่า ต้องรู้ว่าปีที่แล้วๆ มา ถึงแม้ยุ่งอยู่กับงานหนึ่งปีเต็มก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเก็บเงินได้สักกี่เหลียง [1] แต่ว่าพอขายกระต่ายได้หนึ่งทีก็จะได้ถึงสองเหลียง สองครอบครัวหารกันคนละครึ่งก็เหลือหนึ่งเหลียง ทำไมเขาจะไม่ดีใจได้เล่า
“เจินจู หลังกลับไปตอนเที่ยง ลุงกับท่านพ่อเ้าจะไปทำที่พักกระต่ายให้เ้า ต้องสร้างแบบใด เ้าเอ่ยมาได้เต็มที่ พวกเราเลี้ยงกระต่ายให้ดีก่อน กระต่ายนี่มีค่าสูงนัก” หูฉางหลินสองตาเปล่งประกาย ท่าทางราวกับฮึกเหิมในการทำงานเต็มที่
เจินจูเม้มปากยิ้ม ท่านลุงคนนี้มีจิตใจโอนอ่อนผ่อนตามนัก ขายกระต่ายรอบเดียวก็รู้ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงกระต่ายแล้ว นางจึงยิ้มแล้วกล่าว “ท่านลุง พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันเถิด ฟ้าเริ่มไม่เช้าแล้ว ไปเตรียมของที่้าซื้อทั้งหมดก่อน จะได้ไม่ต้องกลับเย็นนัก”
“อื้อ ได้ กลับไปค่อยว่ากัน ฉางกุ้ย บ้านเ้าล้วนต้องซื้อสิ่งใด? เอาเงินมาหรือไม่?” หูฉางหลินเอี้ยวกลับมาถามหูฉางกุ้ย
หูฉางกุ้ยที่เงียบไม่ออกเสียงมาตลอดจึงกล่าวออกมาได้ “ซื้อพวกข้าวสาร แป้งสาลี และเครื่องปรุงรส ข้าพกเงินมาแล้ว”
หูฉางหลินรู้จักนิสัยน้องชายคนนี้ของเขาดี จึงไม่ให้ความสนใจเขาอีก ก้าวยาวๆ มุ่งไปทางตลาด บ้านของเขาต้องซื้อของไม่น้อย ก่อนออกจากบ้านหวังซื่อก็สั่งของที่ต้องซื้อมาด้วยเช่นเดียวกัน
เดินตามหูฉางหลินไป สามคนเข้าร้านสินค้าจิปาถะ หลังจากแยกย้ายกันถามราคา เจินจูก็หยิบกระปุกสามอันออกมาจากในตะกร้า กระปุกหนึ่งน้ำมันพืช กระปุกหนึ่งซีอิ๊วขาวและมีอีกหนึ่งกระปุกเกลือ จ่ายเงินไปเกือบเจ็ดสิบเหวิน ยุคนี้น้ำมันกับเกลือต่างมีราคาค่อนข้างแพง ทุกครั้งที่หลี่ซื่อต้มผักจึงใส่น้ำมันเพียงนิดหน่อย นั่นเพราะน้ำมันราคาแพง ทำใจให้ใส่มากไม่ได้
หูฉางหลินซื้อเกลือสิบชั่ง ใช้ผ้าน้ำมันห่อเอาไว้ น้ำมันพืชเขาไม่ได้ซื้อ สักครู่หนึ่งมาอยู่ที่ร้านเนื้อซื้อพวกมันหมูกลับไป เพื่อเอาไปเผาน้ำมันหมูที่ทั้งหอมทั้งอร่อยออกมา
เจินจูเดินร้านค้าจิปาถะในยุคโบราณเป็ครั้งแรก รู้สึกค่อนข้างแปลกใหม่ เดินอยู่หนึ่งรอบก็หยิบของในร้านมาดูหนึ่งชิ้น โอ้ นี่มิใช่แปรงสีฟันหรอกหรือ? นางยืนดูอย่างพินิจพิจารณา ไม่ผิด เป็แปรงสีฟัน เป็แบบที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ หยาบๆ ด้ามค่อนข้างใหญ่ ขนแปรงยังมีความนุ่มนวล ไม่รู้ว่าใช้ขนอะไรทำ ด้านข้างของมันวางตลับไม้เล็กๆ เรียงอยู่ไม่กี่อัน น่าจะเป็ผงสีฟันที่เข้าชุดกัน ข้างผงสีฟันมีของที่โดดเด่นวางเรียงอยู่เป็สบู่แบบกล่อง หรือที่เรียกว่าป้าหอม เจินจูคันยุบยิบในใจอย่างทนไม่ได้เล็กน้อย ของพวกนี้ล้วนเป็ของใช้ในชีวิตประจำวันขั้นพื้นฐาน แต่ที่บ้านนางกลับไม่มีของแบบเดียวกันนี้สักอย่าง
หูฉางกุ้ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของหูเจินจูมาตลอด เห็นนางมองดูอยู่นาน ในที่สุดอดเดินไปข้างหน้าแล้วถามไม่ได้ “ซื้อสักอันดีหรือไม่?”
เจินจูเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ ท่านพ่อที่พูดน้อยคนนี้ของนางสนใจคนด้วยหรือ? มุมปากโค้งรอยยิ้มขึ้นแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าได้ เจินจูอยากซื้อสิ่งใด? ป้าหอม? ได้ ซื้อหนึ่งชิ้น ลุงจ่ายให้เ้า พี่ชุ่ยจูของเ้าก็มีหนึ่งชิ้น ลุงลืมเสียสนิท เจินจูของพวกเราเป็สาวแล้ว ควรซื้อไว้” หูฉางหลินที่ชำเลืองมองอยู่ด้านข้างแล้วกล่าวออกมาตามตรง
หูฉางกุ้ยส่ายหน้า กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านพี่ ข้ามีเงิน”
หูฉางหลินมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ทุกข์ร้อน อย่าคิดว่าหูฉางกุ้ยเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ที่จริงน้องชายคนนี้ของเขานิสัยดื้อรั้นมากนัก เื่ที่คิดแน่นอนแล้วจะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ บางครั้งก็เหมือนก้อนหินในส้วมหลุมจริงๆ ทั้งเหม็นทั้งแข็ง สุดท้ายก็ไม่สนใจเขา หันมายิ้มพร้อมกล่าวกับเจินจูว่า “ได้ ครั้งนี้พ่อเ้าซื้อให้เ้า รอบหน้าอยากได้อะไรบอกลุง ลุงจะซื้อให้เ้าเอง”
เจินจูยิ้มแล้วพยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงซื้อป้าหอมมาหนึ่งชิ้น จ่ายเงินไปสิบห้าเหวิน ส่วนแปรงสีฟัน ของสิ่งนี้ถ้าซื้อต้องซื้อทั้งครอบครัว ใช้เพียงตนเองคนเดียวไม่ได้ นางคำนวณแล้วว่าทำเื่เช่นนี้ไม่ดีนัก ดังนั้นนางคิดว่าผ่านไประยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยเอ่ยปากคงดีกว่า
ถือโอกาสตอนหูฉางกุ้ยจ่ายเงิน เจินจูนึกถึงพื้นดินในมิติช่องว่างที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่จึงถามคนขายในร้าน ว่าที่นี่มีเมล็ดพันธุ์พิเศษอะไรบ้างไหม? คนขายตอบว่าเมล็ดผักเมล็ดธัญพืชล้วนมีทุกชนิด เจินจูมองอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ส่วนใหญ่ล้วนเป็ชนิดที่ทางบ้านมี ไม่มีที่ตนเอง้า ตอนนั้นจึงทำได้เพียงยกเลิกความคิดเดิม
เมื่อออกจากร้านค้าจิปาถะแล้ว เดินมาถึงร้านแป้งธัญพืช ตรงถนนฝั่งตรงข้าม ถามราคาเสร็จต่างคนต่างชั่งแป้งสาลีห้าชั่ง แป้งข้าวฟ่างแบบสีแดงสิบชั่ง แป้งสาลีหนึ่งชั่งหกเหวิน แป้งข้าวฟ่างแบบสีแดงหนึ่งชั่งสี่เหวิน ของที่ราคาถูกซื้อมากหน่อย ของที่ราคาแพงซื้อน้อยหน่อย การใช้ชีวิตของปุถุชนคนธรรมดามักจะต้องคิดและวางแผนให้ละเอียดรอบคอบเสมอ
ซื้อข้าวสารกับแป้งเสร็จก็เดินเข้าตลาด ซื้อเนื้อหมูอีกเล็กน้อยจึงจะกลับบ้านได้ ขณะนี้เป็เวลาเกือบจะเที่ยงๆ บ่ายๆ คนซื้อเนื้อจึงมีไม่น้อย หูฉางหลินพาพวกเขามาหยุดอยู่ร้านค้าเนื้อร้านที่สาม ชิ้นเนื้อเล็กใหญ่วางเรียงตามลำดับบนแท่นโต๊ะตัวยาว เนื้อติดมันครึ่งหนึ่งแพงหน่อยมีราคาสิบแปดเหวิน เนื้อแดงทั้งหมดกลับถูกกว่าเป็สองเหวิน ซี่โครงกระดูกแพงหน่อย ส่วนกระดูกกลับเป็สินค้าที่ซื้อครึ่งแถมครึ่ง เพราะโดยพื้นฐานแล้วเนื้อบนกระดูกล้วนแคะออกไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงกระดูกเปลือยเปล่า มันหมูด้านข้างอ้วนชุ่มชื้นนัก หูฉางหลินถามราคา ก็ตัดมาห้าชั่ง หลังจากทอดแล้วจะมีน้ำมันหมูสองชั่งกว่า
เจินจูมองไปยังเครื่องในหมูที่อยู่ในถาดข้างๆ คิดแล้วถามว่า “ท่านอา ไส้ใหญ่กับไส้เล็กนี่ขายอย่างไรหรือ?” เ้าของคนขายแผงหมูเป็ชายรูปร่างแข็งแรงอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น
“พวกนั้นหรือ ไม่คุ้มกับเงินมากหรอก ถ้าพวกเ้าเอาด้วยให้ราคาสิบเหวินแล้วเอาไปให้หมดเลย” เขาโบกมืออย่างเป็กันเอง
ในถาดเป็ไส้เล็กหนึ่งเส้น ไส้ใหญ่หนึ่งเส้นแล้วยังมีปอดหมู ในใจเจินจูประมาณการอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
“เจินจู เครื่องในนี่กลิ่นแรงนัก ไม่อร่อย เราซื้อเนื้อหมูสองชั่งกลับไปดีหรือไม่?” หูฉางหลินกล่าวโน้มน้าว กลัวว่าเพื่อประหยัดเงินแล้วนางจะซื้อเครื่องในที่ไม่อร่อยเหล่านี้มา
เจินจูยิ้มและไม่อธิบายเพิ่มเติม แม้นางจะทำเครื่องในหมูไม่ค่อยเป็ แต่สุภาษิตกล่าวได้ดีว่า ไม่เคยทานเนื้อหมู แต่เคยเห็นหมูเดิน [2]
มารดานางชอบทำกับข้าวพวกนี้ หลังใช้เกลือล้างไส้ใหญ่ให้สะอาดแล้ว ก็เป็อะไรที่นุ่มหยุ่นแล้วยังอร่อยมากอีกด้วย เช่น ผักดองผัดไส้ใหญ่ ไส้หมูผัดทอด ไส้หมูน้ำแดง เป็ต้น ไส้เล็กก็ใช้ทำน้ำแกง แล้วยังสามารถทอดผัดได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือใช้ห่อกุนเชียง กล่าวถึงกุนเชียง ที่นี่เหมือนว่าจะไม่มีประเพณีห่อกุนเชียง นางนึกถึงทุกๆ ข้ามปีใหม่ที่บ้านมักจะห่อไส้สี่สิบห้าสิบชั่ง ห่อเสร็จก็ผึ่งลม ตอนหุงข้าวก็ใส่ลงไปเสียสองเส้น กลิ่นหอมบริสุทธิ์เข้มข้นที่เป็เอกลักษณ์ตอนนำขึ้นจากหม้อชวนให้คนน้ำลายสอ กินประกอบกับข้าวสวยยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม
เจินจูกลืนน้ำลาย ในใจคิดว่ารอให้มีปัจจัยแล้วนางต้องห่อกุนเชียงให้ได้ ส่วนปอดหมูหรือ นั่นยิ่งง่ายเลย น้ำแกงหัวไชเท้าปอดหมูคลายร้อนและบำรุงปอด รสชาติก็ไม่เลว บ้านนางต้องดื่มน้ำแกงหนึ่งถ้วยในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว บางครั้งก็ใช้ทำปอดหมูผัดพริก หอมเผ็ดเข้ารสอร่อยมากนัก
สุดท้ายแล้วนางจึงยิ้มก่อนกล่าวว่า “ท่านลุง ข้าทราบดี กลับไปท่านก็จะรู้เอง” นางเอียงศีรษะกลับไปแล้วกล่าวกับเ้าของคนขายว่า “ท่านอา ซื้อเครื่องในพวกนี้แล้วยังสามารถเพิ่มกระดูกนั่นอีกสักสองสามอันได้หรือไม่?”
“ได้สิ เช่นนั้นพวกเ้ายังเอาเนื้ออยู่หรือไม่?” เ้าของคนขายตอบอย่างสบายๆ กระดูกนี่ปกติแล้วก็ขายไม่ได้ ยกให้พวกเขาก็ไม่ได้เสียหายอันใด
หูฉางหลินเห็นเจินจูยึดมั่นว่าจะซื้อเครื่องในหมูก็ไม่ห้ามปรามอีก เป็อันว่าเขาดูออกแล้วว่าหลานสาวคนนี้มีความคิดบางอย่าง จึงพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นตัดเนื้อมันครึ่งชั่ง เนื้อแดงหนึ่งชั่ง เอามันน้อยหน่อยนะ”
หลังจ่ายเงินทั้งสองฝั่งแล้วก็เอาเนื้อทั้งหมดแยกใส่ในตะกร้า เจินจูครุ่นคิด ไม่ว่าจะเป็ไส้ใหญ่หรือไส้เล็กล้วนต้องใช้ฮวาเจียว [3] มาเป็เครื่องปรุง ถือโอกาสซื้อเสียหน่อยดีกว่า จึงกล่าวถาม “ท่านลุง ร้านขายของจิปาถะมีฮวาเจียวขายหรือไม่?”
หูฉางหลินชะงักงัน คิดอยู่สักครู่จึงตอบ “เหมือนจะไม่มี ของสิ่งนี้ร้านสมุนไพรจึงจะมีขายกระมัง? เจินจู เ้าจะเอาไปทำอะไรหรือ?”
“ร้านสมุนไพรหรือ เมื่อครู่เหมือนเห็นทางฝั่งประตูทางใต้มีร้านหนึ่ง อีกเดี๋ยวไปถามราคา หากไม่แพงก็ซื้อมานิดหน่อยเถิด ท่านลุง ประโยชน์ของฮวาเจียวมีไม่น้อยเลยนะเ้าคะ กลับไปท่านก็จะรู้เอง” เจินจูหัวเราะอุบไว้เป็ความลับต่อไป
หูฉางหลินมองเจินจูที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วกล่าว “เ้าฉลาดเฉียบแหลมคนนี้นี่”
สองคนพูดคุยและหัวเราะขณะเดินกลับไป หูฉางกุ้ยติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่เื้ัก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
ขณะเดินทางก็พบเข้ากับแผงลอยที่ขายน้ำตาล เจินจูหยุดลงจ่ายเงินห้าเหวินเพื่อซื้อน้ำตาลธัญพืชกับน้ำตาลเม็ดสนเล็กน้อย หลังพ่อค้าห่อน้ำตาลเสร็จ เจินจูจึงเอาน้ำตาลวางอย่างระมัดระวังเพื่อ ‘เก็บไว้กลับไปให้ผิงอันและผิงซุ่น’
หูฉางหลินมองหลานสาวที่รู้ความ ในใจแอบตื้นตันอยู่พักหนึ่งไม่ได้ เจินจูคนนี้เปรียบเสมือนคนที่ตรัสรู้อย่างฉับพลัน รู้ความ ปราดเปรียวแล้วยังฉลาดเฉลียว หากเป็เด็กผู้ชายน่าจะดีกว่านี้
เจินจูไม่รู้ว่าหูฉางหลินจัดลำดับของนางอยู่ในใจ นางเพียงมองซ้ายขวาไปรอบๆ เพื่อหาร้านสมุนไพร กลัวว่าจะพลาดตรงไหนไป
“นี่ไง! ท่านลุง ใช่ที่นี่หรือไม่? ” เจินจูดวงตาสุกสกาว มองตัวอักษรใหญ่บนแผ่นป้ายสีทองคุณภาพดีข้างหน้า ‘ฝูอันถัง’
“เอ่อ เจินจู นี่เป็ร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไท่ผิง เ้าเพียง้าซื้อฮวาเจียวนั่นหน่อยเดียว หรือเราไปร้านสมุนไพรเล็กๆ ซื้อเพียงนิดก็พอเถิด ลุงรู้ว่าในตรอกข้างหน้าไม่ไกลก็มีร้านหนึ่ง พวกเราไปซื้อที่นั่นดีกว่าหรือไม่?”
หูฉางหลินมองไปที่ร้านสองชั้นบรรยากาศกว้างขวาง ในใจก็บังเกิดความกลัวเล็กน้อย ห้องโถงใหญ่มีไม่กี่คนที่กำลังเอาใบสั่งยามาซื้อสมุนไพรและตรวจโรคอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็ครอบครัวร่ำรวย ศีรษะสวมผ้าโพกหัว บนกายสวมเสื้อแบบจีนตัวยาว แล้วมองพวกเขาที่บนกายสวมผ้าหยาบรัดรูป ขากางเกงและรองเท้ามีแต่โคลนตม แม้เจินจูจะสะอาดหน่อย แต่ก็สวมผ้าหยาบและรองเท้าผ้าบนกาย ในใจเขาค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจและยังไม่กล้าเข้าไปด้วย
เจินจูได้ฟังแล้วไม่ได้ซาบซึ้งใจมากนัก นางถือว่าในขณะนี้พวกเขาเป็ญาติพี่น้อง เมื่อมองเห็นพวกเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะความแตกต่างระดับชนชั้นแล้ว ในใจก็รู้สึกเป็ทุกข์เล็กน้อย แม้ใช้ชีวิตอยู่ชนชั้นล่าง แต่ก็ไม่ยินดีนักที่จะเห็นพวกเขาประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอาย หรือเสียงเบาท่าทางนอบน้อมถ่อมตน
เจินจูจัดการสีหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวกับหูฉางกุ้ย ”ท่านพ่อ ท่านให้เงินข้าสิบเหวิน”
หูฉางกุ้ยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ยังนับสิบเหวินให้นางแต่โดยดี เจินจูรับมา เอาลงในตะกร้าไผ่สาน ยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “ท่านพ่อ ท่านลุง พวกท่านรออยู่ตรงนี้สักเดี๋ยว ข้าไปไม่นานจะรีบกลับ” กล่าวจบก็สาวเท้าก้าวไปทางร้านสมุนไพร
เชิงอรรถ
[1] เหลียง เป็หนึ่งในสกุลเงิน 1 เหลียง = 1,000 เหวิน
[2] ไม่เคยทานเนื้อหมู แต่เคยเห็นหมูเดิน เป็การเปรียบเปรยว่า แม้คนเราไม่เคยประสบเื่นั้นกับตัวเอง แต่ก็เคยได้ยิน หรือได้เห็นมาเล็กน้อย
[3] ฮวาเจียว หรือพริกไทยเสฉวน มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน ในประเทศจีน เป็พืชตระกูลส้ม มีลักษณะเป็พวงคล้ายพริกไทย ผิวขรุขระคล้ายมะกรูดลูกเล็กๆ ติดกัน มีกลิ่นหอมแรงและรสเผ็ดชาลิ้นที่เป็เอกลักษณ์