Puppy Love จดหมายรักระหว่างนายและฉัน (จบ)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     จะไปมีเ๱ื่๵๹กับคนที่ไม่มีสมองเช่นนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวหน่อย

 

        ถึงแม้ว่าท่าทีเหมือนจะดูมองโลกในแง่ดี แต่ครั้งนี้ท่าทางของต้วนเหล่ยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า “ต้องครั้งนี้นี่แหละ” แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกไม่เป็๲ธรรมมากอยู่เหมือนกัน คนที่แทงเขาจริงๆ แล้วคือใครกัน ตอนนี้ก็ยังหาคนคนนั้นไม่เจอเลย แต่การปะทะกันกับพวกของนายผมเหลืองครั้งก่อนนั้น ถ้าต้วนเหล่ยจะเอาเ๱ื่๵๹ที่ยังทำไม่สำเร็จครั้งที่แล้วมารวมยอดกับชวีเสี่ยวปอในครั้งนี้ มันก็คงจะไม่ใช่เ๱ื่๵๹ที่คาดไม่ถึงอะไร

 

        ทว่าคิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ ทั้งยังเปล่าประโยชน์อีกด้วย เพราะถึงยังไงการสร้างขวัญกำลังใจก็ดีกว่าการเปลืองแรงมานั่งพะว้าพะวังเป็๲ไหนไหน

 

        วันนี้ไม่รู้ว่าเซี่ยเจิงเป็๲อะไรไป ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะนอน เซี่ยเจิงก็ใช้แขนมาสะกิดชวีเสี่ยวปออย่างไม่เบาแต่ก็ไม่แรงนัก จนทำให้ชวีเสี่ยวปอสะดุ้งขึ้นมา และความง่วงก็หายไปเป็๲ปลิดทิ้ง

 

        ตอนแรกชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังจากที่เซี่ยเจิงทำซ้ำเช่นนั้นอีกสามรอบ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะพอใจขึ้นมานิดนึงแล้ว

 

       “ทำอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอดึงหนังสือที่รองอยู่ใต้คางของเขาออกมา จากนั้นจึงยัดใส่ลิ้นชักไป “เป็๲ลมบ้าหมูหรือไง? ”

 

       “ไม่นอนแล้วเหรอ? ”สายตาของเซี่ยเจิงไม่ได้มองไปที่ด้านข้าง แต่เขากำลังจดโน้ตอยู่อย่างรวดเร็ว

 

       “ฉันจะนอนหลับได้ยังไงล่ะ นี่นายเจตนาใช่ไหมเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอกระทุ้งเซี่ยเจิงกลับไปที่หนึ่ง แต่เขาไม่ทันได้ยั้งแรงเอาไว้ จึงทำให้บนสมุดที่เซี่ยเจิงกำลังจับปากกาเขียนอยู่เกิดเส้นหยึกหยักที่บิดๆ เบี้ยวๆ ขึ้นมาเส้นหนึ่ง

 

       “ขอโทษ !” ชวีเสี่ยวปอรีบพูดขอโทษออกไป

 

       “โหยวเจียให้ฉันควบคุมนาย” เซี่ยเจิงลบเส้นนั้นออกอย่างเงียบๆ “ตั้งใจเรียน”

 

       “อัพเลเวลอีกแล้วเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอนั่งตัวตรงขึ้นมา “เธอไม่ค่อยจะรู้จักฉันดีเท่าไหร่ ถ้าเปลี่ยนเป็๲เหลาหม่านะ ไม่แน่อาจจะไม่มาเสียเวลากับฉันตั้งนานแล้วก็ได้”

 

       “นายคิดว่ามันเสียเวลางั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหยุดเขียน

 

       “อืม การดูแลใส่ใจนักเรียนที่รั้งท้ายนี่เขียนอยู่ในวิชาบังคับของครูประจำชั้นด้วยหรือเปล่า ถึงยังไงฉัน... ” ชวีเสี่ยวปอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ชะงักไป เพราะเขารู้สึกว่าสายตาที่เซี่ยเจิงมองมาที่เขามันทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นคำพูดที่ยังไม่ทันได้พูดออกมาก็เปลี่ยนกลายเป็๲ความไม่กล้าขึ้นมา

 

       “ถึงยังไงนายก็ไม่คิดที่จะเรียนมหาลัย” เซี่ยเจิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เ๾็๲๰า “ใช่ไหม? ”

 

       “ใช่... ไม่ใช่ นายจะทำอะไรกันแน่? ” ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะหัวช้าแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยเจิงฟังดูไม่ค่อยพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นความไม่พอใจนี้ก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในหัวของเขาคิดทบทวนเ๱ื่๵๹ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าคร่าวๆ ดูอีกรอบ ตัวเขาเองก็ไม่ได้แกล้งเซี่ยเจิงสักหน่อย? หรือว่าเมื่อครู่ที่เขาทำลายข้อความบรรทัดนั้นที่เซี่ยเจิงจดเสร็จแล้วเลยโกรธขึ้นมางั้นเหรอ? ให้ตายเถอะ เซี่ยเจิงก็ไม่เคยใจแคบขนาดนี้มาก่อนนี่

 

       “ไม่ได้จะทำอะไรทั้งนั้นแหละ” เซี่ยเจิงผงะไปครู่หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ายังกลั้นความโกรธเอาไว้อยู่ ทั้งพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง

 

       “ป่วยเหรอ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที “ป่วยก็ไปกินยาซะ”

 

        หลังจากหมดคาบชวีเสี่ยวปอรีบออกจากห้องเรียนไปทันที เดิมทีเซี่ยเจิงก็อยากจะเรียกเขาไว้อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถอะ

 

        เซี่ยเจิงก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ว่าตัวเองเป็๲อะไรขึ้นมา

 

        เมื่อก่อนชวีเสี่ยวปอนั่งเหม่อลอยเกือบจะทั้งวัน ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าเป็๲อะไรขึ้นมา เขาเห็นคำว่า “ดูถูกตัวเองและละทิ้งความก้าวหน้า” คำนี้วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวของชวีเสี่ยวปอ แล้วเขาก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา

 

        หรือว่าเป็๲เพราะคำพูดของโหยวเจีย?

 

        แต่เซี่ยเจิงรู้สึกว่า นิสัยชอบทำอะไรตามใจตัวเองของโหยวเจียก็ยังไม่ได้แพร่เชื้อมายังเขาสักหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นประโยคที่ว่า “พวกเธอสองคนต้องก้าวหน้าไปด้วยกัน” ก็ไม่ถึงกับต้องทำให้เขามีท่าทีขนาดนี้ด้วยเช่นกัน

 

        ทว่าเขาเพียงแค่รู้สึกรำคาญ

 

        รำคาญมาก

 

        พอเห็นชวีเสี่ยวปอย้ำอยู่กับที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเองก็รู้สึกรำคาญ

 

        ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับตอนวิ่งหนึ่งพันเมตรบนลู่วิ่งในสนาม ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนนักเรียนทุกคนที่กำลังวิ่งพุ่งตรงเข้าสู่เส้นชัยอย่างสุดกำลัง แต่ชวีเสี่ยวปอกลับเดินเล่นอยู่ในสนามอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่วนเซี่ยเจิงก็อยากที่จะเข้าไปคว้าเขาไว้แล้วพาเขาวิ่งไปพร้อมกัน

 

        ความรู้สึกเช่นนั้นมันเป็๲แบบที่ว่า

 

       “ไม่อาจที่จะปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียวได้”

 

        ชวีเสี่ยวปอเข้าห้องเรียนมาในตอนที่กริ่งเข้าเรียนดังขึ้นมาพอดี คุณครูสอนวิชาการเมืองท่านนี้เขาขึ้นชื่อว่าเป็๲คนอารมณ์ดี จึงไม่ได้ต่อว่าอะไรเขา

 

        เซี่ยเจิงรู้สึกได้ว่าตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามานั้นราวกับว่ามีลมพายุกระโชกแรงพัดมา ริมฝีปากเขาเม้มติดกันแน่น แม้แต่สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงถึงขนาดที่ว่า “ใครพูดกับฉัน ฉันก็จะฆ่าคนนั้นแหละ” ความหมายประมาณนั้นเลย

 

        เซี่ยเจิงนึกถึงตอนที่เจอเขาครั้งแรก ดูเหมือนว่าชวีเสี่ยวปอก็จะทำหน้าแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกเดจาวูเช่นนี้ช่างน่าประหลาดเสียจริง

 

        แต่เซี่ยเจิงกลับรู้สึกว่าต้องเสี่ยงชีวิตคุยกับเขาดูสักหน่อย

 

       “อะแฮ่ม” เซี่ยเจิงทำเสียงกระแอม

 

        ทว่าเซี่ยเจิงยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ชวีเสี่ยวปอรีบก็หยิบกระทิงแดงสองกระป๋องออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้โอกาสในตอนที่คุณครูวิชาการเมืองหันหลังไปเขียนกระดาน เปิดกระป๋องออกแล้วกระดกมันเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว

 

        เซี่ยเจิง : “ ? ” ท่าทางอะไรกันเนี่ย

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอดื่มหมดและได้ยินเสียงของเซี่ยเจิงแล้ว เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยท่าทางหาเ๱ื่๵๹

 

       “ครั้งนี้ไม่นอนแล้ว” ชวีเสี่ยวปอเคาะไปบนกระป๋องเปล่าหนึ่งที “นายยังมีอะไรจะพูดอีกไหม? ”

 

       “ลูกพี่อย่าฆ่าผมเลยนะครับ” เซี่ยเจิงพูด

 

        หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

 

       “ชวีเสี่ยวปอ” ในขณะนั้นคุณครูวิชาการเมืองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว จากนั้นจึงเลือกคนที่เขาดูแล้วค่อนข้างที่จะขัดหูขัดตาและเรียกชื่อออกมา “หัวเราะอะไร? ครูสอนตลกขนาดนั้นเลยเหรอ? ”

 

       “ไม่ครับ แต่ครูสอนได้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ !” ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองได้หัวเราะต่อ ยื่นมือออกมาตีที่ต้นขาอย่างแรงไปหนึ่งที ทั้งยังถือโอกาสนี้ชื่นชมยกยอเขาอย่างชาญฉลาด

 

       “ตอนครูสอนยังตลกได้เหมือนเดี่ยวไมโครโฟนด้วยเหรอ? ” คุณครูวิชาการเมืองโบกมือ “เอาล่ะ นั่งลงได้ ตั้งใจฟังบรรยาย เซี่ยเจิงก็ด้วยนะ”

 

        หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอนั่งลง เขาก็ยังหัวเราะอยู่กับเซี่ยเจิงอยู่พักใหญ่ เพียงแต่ว่าคราวนี้พวกเขาทั้งคู่พยายามควบคุมให้เสียงออกมาให้เบาที่สุด

 

       “นี่พวกนายสองคน !” เจิงอี้หยางเตะเก้าอี้ของชวีเสี่ยวปอจากด้านหลังไปทีหนึ่ง “เปิดโหมดสั่นกันหรือยังไง? ”

 

        ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางให้เขาไปทีหนึ่ง

 

        แล้วเ๱ื่๵๹ที่ไม่มีความสุขก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา

 

        แต่พอเมื่อหัวเราะไปพักหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอก็ถอนหายใจออกมา : “พูดตามตรงนะ โหยวเจียทำให้นายลำบากใจหรือเปล่า? ”

 

       “ทำให้ฉันลำบากใจเ๱ื่๵๹อะไร? ” เซี่ยเจิงถามกลับไป

 

       “ก็... ” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะด้วยความกังวลใจไปสองครั้ง “ฉันน่ารำคาญมากเลยใช่ไหมล่ะ ฉัน... แบบว่าทำให้นายเสียเวลามาควบคุมดูแลฉันที่เป็๲แบบนี้ ตรงกันข้ามถ้าหากนายไม่ต้องมาสนใจฉัน นายอาจจะผ่อนคลายและสบายใจขึ้นอีกหน่อย? แล้วถ้าหากฉันไปคุยกับโหยวเจียให้นายไม่ต้องทำแบบนี้แล้วล่ะ” ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดชัดเจนแล้วหรือยัง? แต่ถึงยังไงที่สิ่งเขา๻้๵๹๠า๱จะสื่อออกมาก็มีความหมายเช่นนั้นนั่นล่ะ

 

       “ไม่ใช่” เซี่ยเจิงยังไม่ทันได้คิดก็ปฏิเสธออกมาทันที

 

       “ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอทนไม่ไหวแล้ว เมื่อครู่หลังจากหมดคาบเรียนเขาอยากจะไปวิ่งที่สนามสักสองสามรอบเพื่อระบายอารมณ์ ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานสองนานและเขาก็รู้สึกว่าเ๱ื่๵๹นี้น่าจะสมเหตุสมผลมากที่สุด ผลปรากฏว่าพอเซี่ยเจิงพูดขึ้นมาก็ปฏิเสธเขาเลยทันที “งั้นนายก็อธิบายมาให้ละเอียดเป็๲ลำดับหนึ่งสองสามเลยนะ ว่าจริงๆ แล้วเป็๲เพราะอะไรกันแน่? ”

 

       “พูดไม่ถูก” ตอนที่เซี่ยเจิงพูดสามคำนี้ออกมา ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขากวนประสาทสุดๆ ฟังยังไงก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่ แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง มันพูดไม่ถูกจริงๆ เซี่ยเจิงเองเขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย และถ้าหากหลับหูหลับตาอธิบายกับชวีเสี่ยวปอไปมันก็จะยิ่งผสมปนเปยิ่งเลอะเทอะกันเข้าไปใหญ่

 

        ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดออกไปอย่างจำใจ : “ช่างเถอะ ปล่อยนายไปก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้น กระทิงแดงสองกระป๋องนี้นายก็ตัดบัญชีให้ฉันด้วยก็แล้วกันนะ”

 

       “แบบนี้ก็ได้เหรอ? ” เซี่ยเจิงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอใช้คำว่า “หน้าไม่อาย” สามคำนี้ได้อย่างชำนาญเสียจริงๆ

 

       “บอกมาแค่ว่านายจะจ่ายหรือไม่จ่าย? ” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ได้ใจขึ้นมา

 

       “จ่าย” 

 

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้