จะไปมีเื่กับคนที่ไม่มีสมองเช่นนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวหน่อย
ถึงแม้ว่าท่าทีเหมือนจะดูมองโลกในแง่ดี แต่ครั้งนี้ท่าทางของต้วนเหล่ยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า “ต้องครั้งนี้นี่แหละ” แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกไม่เป็ธรรมมากอยู่เหมือนกัน คนที่แทงเขาจริงๆ แล้วคือใครกัน ตอนนี้ก็ยังหาคนคนนั้นไม่เจอเลย แต่การปะทะกันกับพวกของนายผมเหลืองครั้งก่อนนั้น ถ้าต้วนเหล่ยจะเอาเื่ที่ยังทำไม่สำเร็จครั้งที่แล้วมารวมยอดกับชวีเสี่ยวปอในครั้งนี้ มันก็คงจะไม่ใช่เื่ที่คาดไม่ถึงอะไร
ทว่าคิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ ทั้งยังเปล่าประโยชน์อีกด้วย เพราะถึงยังไงการสร้างขวัญกำลังใจก็ดีกว่าการเปลืองแรงมานั่งพะว้าพะวังเป็ไหนไหน
วันนี้ไม่รู้ว่าเซี่ยเจิงเป็อะไรไป ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะนอน เซี่ยเจิงก็ใช้แขนมาสะกิดชวีเสี่ยวปออย่างไม่เบาแต่ก็ไม่แรงนัก จนทำให้ชวีเสี่ยวปอสะดุ้งขึ้นมา และความง่วงก็หายไปเป็ปลิดทิ้ง
ตอนแรกชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังจากที่เซี่ยเจิงทำซ้ำเช่นนั้นอีกสามรอบ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะพอใจขึ้นมานิดนึงแล้ว
“ทำอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอดึงหนังสือที่รองอยู่ใต้คางของเขาออกมา จากนั้นจึงยัดใส่ลิ้นชักไป “เป็ลมบ้าหมูหรือไง? ”
“ไม่นอนแล้วเหรอ? ”สายตาของเซี่ยเจิงไม่ได้มองไปที่ด้านข้าง แต่เขากำลังจดโน้ตอยู่อย่างรวดเร็ว
“ฉันจะนอนหลับได้ยังไงล่ะ นี่นายเจตนาใช่ไหมเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอกระทุ้งเซี่ยเจิงกลับไปที่หนึ่ง แต่เขาไม่ทันได้ยั้งแรงเอาไว้ จึงทำให้บนสมุดที่เซี่ยเจิงกำลังจับปากกาเขียนอยู่เกิดเส้นหยึกหยักที่บิดๆ เบี้ยวๆ ขึ้นมาเส้นหนึ่ง
“ขอโทษ !” ชวีเสี่ยวปอรีบพูดขอโทษออกไป
“โหยวเจียให้ฉันควบคุมนาย” เซี่ยเจิงลบเส้นนั้นออกอย่างเงียบๆ “ตั้งใจเรียน”
“อัพเลเวลอีกแล้วเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอนั่งตัวตรงขึ้นมา “เธอไม่ค่อยจะรู้จักฉันดีเท่าไหร่ ถ้าเปลี่ยนเป็เหลาหม่านะ ไม่แน่อาจจะไม่มาเสียเวลากับฉันตั้งนานแล้วก็ได้”
“นายคิดว่ามันเสียเวลางั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงหยุดเขียน
“อืม การดูแลใส่ใจนักเรียนที่รั้งท้ายนี่เขียนอยู่ในวิชาบังคับของครูประจำชั้นด้วยหรือเปล่า ถึงยังไงฉัน... ” ชวีเสี่ยวปอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ชะงักไป เพราะเขารู้สึกว่าสายตาที่เซี่ยเจิงมองมาที่เขามันทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นคำพูดที่ยังไม่ทันได้พูดออกมาก็เปลี่ยนกลายเป็ความไม่กล้าขึ้นมา
“ถึงยังไงนายก็ไม่คิดที่จะเรียนมหาลัย” เซี่ยเจิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เ็า “ใช่ไหม? ”
“ใช่... ไม่ใช่ นายจะทำอะไรกันแน่? ” ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะหัวช้าแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยเจิงฟังดูไม่ค่อยพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นความไม่พอใจนี้ก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในหัวของเขาคิดทบทวนเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าคร่าวๆ ดูอีกรอบ ตัวเขาเองก็ไม่ได้แกล้งเซี่ยเจิงสักหน่อย? หรือว่าเมื่อครู่ที่เขาทำลายข้อความบรรทัดนั้นที่เซี่ยเจิงจดเสร็จแล้วเลยโกรธขึ้นมางั้นเหรอ? ให้ตายเถอะ เซี่ยเจิงก็ไม่เคยใจแคบขนาดนี้มาก่อนนี่
“ไม่ได้จะทำอะไรทั้งนั้นแหละ” เซี่ยเจิงผงะไปครู่หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ายังกลั้นความโกรธเอาไว้อยู่ ทั้งพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง
“ป่วยเหรอ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที “ป่วยก็ไปกินยาซะ”
หลังจากหมดคาบชวีเสี่ยวปอรีบออกจากห้องเรียนไปทันที เดิมทีเซี่ยเจิงก็อยากจะเรียกเขาไว้อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถอะ
เซี่ยเจิงก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ว่าตัวเองเป็อะไรขึ้นมา
เมื่อก่อนชวีเสี่ยวปอนั่งเหม่อลอยเกือบจะทั้งวัน ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าเป็อะไรขึ้นมา เขาเห็นคำว่า “ดูถูกตัวเองและละทิ้งความก้าวหน้า” คำนี้วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวของชวีเสี่ยวปอ แล้วเขาก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา
หรือว่าเป็เพราะคำพูดของโหยวเจีย?
แต่เซี่ยเจิงรู้สึกว่า นิสัยชอบทำอะไรตามใจตัวเองของโหยวเจียก็ยังไม่ได้แพร่เชื้อมายังเขาสักหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นประโยคที่ว่า “พวกเธอสองคนต้องก้าวหน้าไปด้วยกัน” ก็ไม่ถึงกับต้องทำให้เขามีท่าทีขนาดนี้ด้วยเช่นกัน
ทว่าเขาเพียงแค่รู้สึกรำคาญ
รำคาญมาก
พอเห็นชวีเสี่ยวปอย้ำอยู่กับที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเองก็รู้สึกรำคาญ
ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับตอนวิ่งหนึ่งพันเมตรบนลู่วิ่งในสนาม ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนนักเรียนทุกคนที่กำลังวิ่งพุ่งตรงเข้าสู่เส้นชัยอย่างสุดกำลัง แต่ชวีเสี่ยวปอกลับเดินเล่นอยู่ในสนามอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่วนเซี่ยเจิงก็อยากที่จะเข้าไปคว้าเขาไว้แล้วพาเขาวิ่งไปพร้อมกัน
ความรู้สึกเช่นนั้นมันเป็แบบที่ว่า
“ไม่อาจที่จะปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียวได้”
ชวีเสี่ยวปอเข้าห้องเรียนมาในตอนที่กริ่งเข้าเรียนดังขึ้นมาพอดี คุณครูสอนวิชาการเมืองท่านนี้เขาขึ้นชื่อว่าเป็คนอารมณ์ดี จึงไม่ได้ต่อว่าอะไรเขา
เซี่ยเจิงรู้สึกได้ว่าตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามานั้นราวกับว่ามีลมพายุกระโชกแรงพัดมา ริมฝีปากเขาเม้มติดกันแน่น แม้แต่สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงถึงขนาดที่ว่า “ใครพูดกับฉัน ฉันก็จะฆ่าคนนั้นแหละ” ความหมายประมาณนั้นเลย
เซี่ยเจิงนึกถึงตอนที่เจอเขาครั้งแรก ดูเหมือนว่าชวีเสี่ยวปอก็จะทำหน้าแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกเดจาวูเช่นนี้ช่างน่าประหลาดเสียจริง
แต่เซี่ยเจิงกลับรู้สึกว่าต้องเสี่ยงชีวิตคุยกับเขาดูสักหน่อย
“อะแฮ่ม” เซี่ยเจิงทำเสียงกระแอม
ทว่าเซี่ยเจิงยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ชวีเสี่ยวปอรีบก็หยิบกระทิงแดงสองกระป๋องออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้โอกาสในตอนที่คุณครูวิชาการเมืองหันหลังไปเขียนกระดาน เปิดกระป๋องออกแล้วกระดกมันเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยเจิง : “ ? ” ท่าทางอะไรกันเนี่ย
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอดื่มหมดและได้ยินเสียงของเซี่ยเจิงแล้ว เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยท่าทางหาเื่
“ครั้งนี้ไม่นอนแล้ว” ชวีเสี่ยวปอเคาะไปบนกระป๋องเปล่าหนึ่งที “นายยังมีอะไรจะพูดอีกไหม? ”
“ลูกพี่อย่าฆ่าผมเลยนะครับ” เซี่ยเจิงพูด
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ชวีเสี่ยวปอ” ในขณะนั้นคุณครูวิชาการเมืองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว จากนั้นจึงเลือกคนที่เขาดูแล้วค่อนข้างที่จะขัดหูขัดตาและเรียกชื่อออกมา “หัวเราะอะไร? ครูสอนตลกขนาดนั้นเลยเหรอ? ”
“ไม่ครับ แต่ครูสอนได้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ !” ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองได้หัวเราะต่อ ยื่นมือออกมาตีที่ต้นขาอย่างแรงไปหนึ่งที ทั้งยังถือโอกาสนี้ชื่นชมยกยอเขาอย่างชาญฉลาด
“ตอนครูสอนยังตลกได้เหมือนเดี่ยวไมโครโฟนด้วยเหรอ? ” คุณครูวิชาการเมืองโบกมือ “เอาล่ะ นั่งลงได้ ตั้งใจฟังบรรยาย เซี่ยเจิงก็ด้วยนะ”
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอนั่งลง เขาก็ยังหัวเราะอยู่กับเซี่ยเจิงอยู่พักใหญ่ เพียงแต่ว่าคราวนี้พวกเขาทั้งคู่พยายามควบคุมให้เสียงออกมาให้เบาที่สุด
“นี่พวกนายสองคน !” เจิงอี้หยางเตะเก้าอี้ของชวีเสี่ยวปอจากด้านหลังไปทีหนึ่ง “เปิดโหมดสั่นกันหรือยังไง? ”
ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางให้เขาไปทีหนึ่ง
แล้วเื่ที่ไม่มีความสุขก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา
แต่พอเมื่อหัวเราะไปพักหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอก็ถอนหายใจออกมา : “พูดตามตรงนะ โหยวเจียทำให้นายลำบากใจหรือเปล่า? ”
“ทำให้ฉันลำบากใจเื่อะไร? ” เซี่ยเจิงถามกลับไป
“ก็... ” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะด้วยความกังวลใจไปสองครั้ง “ฉันน่ารำคาญมากเลยใช่ไหมล่ะ ฉัน... แบบว่าทำให้นายเสียเวลามาควบคุมดูแลฉันที่เป็แบบนี้ ตรงกันข้ามถ้าหากนายไม่ต้องมาสนใจฉัน นายอาจจะผ่อนคลายและสบายใจขึ้นอีกหน่อย? แล้วถ้าหากฉันไปคุยกับโหยวเจียให้นายไม่ต้องทำแบบนี้แล้วล่ะ” ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดชัดเจนแล้วหรือยัง? แต่ถึงยังไงที่สิ่งเขา้าจะสื่อออกมาก็มีความหมายเช่นนั้นนั่นล่ะ
“ไม่ใช่” เซี่ยเจิงยังไม่ทันได้คิดก็ปฏิเสธออกมาทันที
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอทนไม่ไหวแล้ว เมื่อครู่หลังจากหมดคาบเรียนเขาอยากจะไปวิ่งที่สนามสักสองสามรอบเพื่อระบายอารมณ์ ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานสองนานและเขาก็รู้สึกว่าเื่นี้น่าจะสมเหตุสมผลมากที่สุด ผลปรากฏว่าพอเซี่ยเจิงพูดขึ้นมาก็ปฏิเสธเขาเลยทันที “งั้นนายก็อธิบายมาให้ละเอียดเป็ลำดับหนึ่งสองสามเลยนะ ว่าจริงๆ แล้วเป็เพราะอะไรกันแน่? ”
“พูดไม่ถูก” ตอนที่เซี่ยเจิงพูดสามคำนี้ออกมา ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขากวนประสาทสุดๆ ฟังยังไงก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่ แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง มันพูดไม่ถูกจริงๆ เซี่ยเจิงเองเขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย และถ้าหากหลับหูหลับตาอธิบายกับชวีเสี่ยวปอไปมันก็จะยิ่งผสมปนเปยิ่งเลอะเทอะกันเข้าไปใหญ่
ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดออกไปอย่างจำใจ : “ช่างเถอะ ปล่อยนายไปก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้น กระทิงแดงสองกระป๋องนี้นายก็ตัดบัญชีให้ฉันด้วยก็แล้วกันนะ”
“แบบนี้ก็ได้เหรอ? ” เซี่ยเจิงรู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอใช้คำว่า “หน้าไม่อาย” สามคำนี้ได้อย่างชำนาญเสียจริงๆ
“บอกมาแค่ว่านายจะจ่ายหรือไม่จ่าย? ” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ได้ใจขึ้นมา
“จ่าย”