ฉินอวี่เดินไปรอบๆ ตลาด หลังจากซื้อโอสถระดับสามไปจำนวนหนึ่งและเกราะยุทธ์ป้องกันระดับสี่อีกหนึ่งชิ้นเขาก็ออกไปทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลานาน ตอนนี้เวลาบีบคั้นเข้ามาแล้ว เขาจำเป็ต้องไปฝึกฝนต่อที่หอคอยว่านจ้ง หลังจากสร้างเสถียรภาพให้กับระดับฝึกฝนแล้ว เขาจะรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย
แต่ทันทีที่มาถึงประตูทางเข้าตลาด ฉินอวี่กลับพบว่าเหล่าศิษย์จำนวนมากกำลังต่อแถวเพื่อออกจากที่แห่งนี้ เมื่อกวาดสายตาออกไปบริเวณโดยรอบ ฉินอวี่ก็พบกับจางอี้เหวินที่กำลังยืนมองซ้ายแลขวา และมองเห็นศิษย์ใหม่คนนั้นที่ขายหอกศึกให้กับเขาก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่รู้สึกใก็คือ ศิษย์ใหม่คนนั้นยืนอยู่กับคนผู้หนึ่งที่สวมหน้ากากอยู่ในชุดคลุมสีดำ และคนผู้นั้นกำลังเฝ้าดูศิษย์ทุกคนที่กำลังออกไปจากที่แห่งนี้
“นั่นมันคนที่ซื้อใบปรุงยาโอสถเพลิงอัคคีมิใช่หรือ?” ฉินอวี่มองดูคนสวมหน้ากากในชุดดำอย่างละเอียด จึงพบว่าลักษณะท่าทางของคนผู้นี้คือคนที่ตกลงซื้อขายใบปรุงยากับตน
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ดวงตาของฉินอวี่ก็หรี่ลงทันที หรือมีคนสนใจหอกศึก?
น่าจะต้องเป็เช่นนี้แน่นอน
ในใจของฉินอวี่เริ่มคิดทบทวน และย้อนกลับไปในตลาดอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี่ก็เดินออกมาพร้อมสวมหน้ากากและชุดคลุมสีดำที่ประมุขหอตำราได้มอบให้กับเขา ซึ่งมีความแตกต่างจากชุดคลุมสีดำและหน้ากากของตลาดแห่งนี้ เพราะชุดดำและหน้ากากที่ประมุขหอตำราให้มานั้นมีคุณภาพและพิเศษยิ่งกว่า
“ไม่ได้สิ ศิษย์ผู้นี้เป็คนตรวจป้ายคำสั่ง หากนำป้ายคำสั่งของผู้ดูแลออกมา อาจทำให้คนผู้นั้นสงสัยได้...” ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจบางอย่างไว้ในใจ
ไม่นาน แถวก็เคลื่อนมาถึงลำดับของฉินอวี่
หลังจากคืนชุดคลุมของตลาดกลับไป ฉินอวี่ก็สวมอยู่ในชุดคลุมสีดำและหน้ากากของผู้ดูแลหอตำรา
ทันใดนั้น ศิษย์ใหม่คนนั้นก็ชี้ตรงไปที่ฉินอวี่ และพูดอะไรบางอย่างกับศิษย์ที่สวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำ
ศิษย์ที่สวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำได้หันมามองฉินอวี่ และสังเกตเห็นคุณภาพของชุดคลุมที่ฉินอวี่สวมใส่ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ “ช้าก่อนสหาย ศิษย์น้องของข้าได้ขายสินค้าของข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ทราบว่าสหายได้ซื้อไปหรือไม่?”
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองไปทางศิษย์ที่สวมหน้ากากในชุดคลุมสีดำคนนั้น จากนั้นก็มองไปทางศิษย์ใหม่ที่อยู่ข้างเขา ก่อนจะส่ายหน้ากลับไป
“ของชิ้นนั้นมีความสำคัญกับข้ายิ่งนัก ขอสหายได้โปรดแสดงป้ายคำสั่งด้วย หากไม่ใช่ ข้าจะชดเชยให้สิบแต้ม ว่าอย่างไร?” ศิษย์คนนั้นพูดด้วยเสียงหนักแน่น
ฉินอวี่พ่นลมอย่างเ็า เสียงของเขาชัดเจนและคมชัด ฟังดูเหมือนเสียงอันเ็าของสตรี จากนั้น เขาก็หยิบป้ายคำสั่งสีเขียวออกมา
ศิษย์สวมหน้ากากใขึ้นทันที เมื่อได้เห็นป้ายคำสั่งที่ฉินอวี่นำออกมา และรีบมือขึ้นประสานกันแสดงความเคารพ “อาจารย์อาสวี่ ข้าล่วงเกินท่านแล้ว ข้าขอมอบร้อยแต้มเป็การชดเชยให้ท่านอาจารย์อา” พูดจบ ศิษย์คนนี้ก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาและเตรียมจะมอบแต้มสนับสนุนให้กับฉินอวี่
ฉินอวี่รีบเก็บป้ายคำสั่ง และเดินออกไปทันที
ศิษย์ที่สวมหน้ากากมองดูฉินอวี่เดินออกไปด้วยความตกตะลึง ครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมา และมองไปทางศิษย์ใหม่อย่างดุดัน พร้อมตวาดเสียงดัง “ครั้งหน้า ช่วยตรวจสอบให้ข้าดีกว่านี้ด้วย!”
ศิษย์ใหม่คนนั้นได้แต่พยักหน้าด้วยความกลัว
เมื่อแน่ใจว่าพ้นสายตาของศิษย์ที่สวมหน้ากากแล้ว ฉินอวี่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ศิษย์ที่สวมหน้ากากคนนั้นคงจะสังเกตเห็นว่าชุดคลุมของตนเองมีคุณสมบัติไม่เหมือนชุดคลุมทั่วไป ฉะนั้นจึงมีโอกาสถูกตรวจสอบอย่างมาก และหากถูกจับได้ คงเกิดเื่วุ่นวายขึ้นแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี่ก็รู้สึกประหลาดใจ เขายังไม่รู้เลยว่าสถานะของสวี่โม่ชิงเมื่ออยู่ในสำนักเป็อย่างไร แต่ตอนนี้เขาก็รู้ว่าสามารถทำให้ศิษย์คนนั้นหวาดกลัวได้
การไปตลาดในครั้งนี้ นับว่าเป็สิ่งที่คุ้มค่ายิ่งนัก แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่รู้สึกขมขื่นก็คือ เขาได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับคนสองคนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนอย่างไร้ตัวตน ไม่ว่าจะเป็ศิษย์ที่ซื้อใบปรุงยาของโอสถเพลิงอัคคีหรือจะเป็ศิษย์ที่สวมหน้ากาก เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคนคงไม่ปล่อยเื่นี้ไปง่ายๆ
เพียงแต่ ยังโชคดีที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนใดๆ ออกไป ส่วนเื่การยืมใช้สถานะของสวี่โม่ชิงนั้น ฉินอวี่กลับไม่กลัวการถูกเปิดเผย นอกจากศิษย์คนนี้จะไปถามต่อหน้าเท่านั้น แต่ตามที่ฉินอวี่คาดการณ์ ศิษย์คนนี้ไม่มีทางกล้าไปถามอย่างแน่นอน
ระหว่างทางกลับของฉินอวี่ เมื่อแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคนอยู่แล้ว เขาก็ถอดชุดคลุมดำออก และมุ่งหน้ากลับที่พัก
หลังจากจางอี้เหวินรออยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม เขาก็รีบมุ่งหน้ากลับมาทันที ทันทีที่พบกับฉินอวี่เขาก็พูดขึ้น “เ้ากลับมาั้แ่เมื่อไร? เ้าไม่รู้หรือว่าข้ารอเ้าอยู่ที่นั่นตั้งหลายชั่วยาม?”
ฉินอวี่จ้องมองจางอี้เหวินอย่างเ็า และไม่ได้ตอบอะไร
จางอี้เหวินยิ้มอย่างเขินอาย ระงับความโกรธเอาไว้ในใจ และพูดขึ้น “พวกคนใจดำเ่าั้ไม่ยอมลดราคาให้เลย ข้าเลยซื้อโอสถหลอมปราณมาไม่ได้เลย จะทำอย่างไรดี?”
“พาข้าไปหอคอยว่านจ้ง” ฉินอวี่พูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืน
“ตอนนี้ข้ามีอยู่เพียงสามสิบสามแต้ม เพียงพอที่จะพาเ้าไปยังการฝึกฝนระดับชั้นต่ำสุดเท่านั้น” จางอี้เหวินกล่าว
“นำทางไป และเล่าเื่ทั้งหมดที่เกี่ยวกับหอคอยว่านจ้งให้ข้าฟัง” ฉินอวี่กล่าว ก่อนหน้านี้เขาได้ซื้อเกราะยุทธ์ป้องกันระดับสี่และโอสถจำนวนหนึ่งเอาไว้ รวมแล้วก็มีแต้มสนับสนุนอยู่หกสิบห้าแต้ม เมื่อบวกกับการซื้อหอกศึกอีกยี่สิบแต้ม ฉินอวี่ก็มีแต้มอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าแต้ม
ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา
จางอี้เหวินนำทางฉินอวี่มาถึงยังเชิงยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากหอคอยว่านจ้ง และในขณะที่ทั้งสองคนมาถึงที่นี่ ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
“เ้ากลับไปเถอะ” ฉินอวี่มองไปยังผู้คนมากมายตรงหน้า ก่อนจะพูดอย่างเ็า
“หากข้ากลับไปเ้าจะเข้าไปอย่างไร? จะว่าไป เ้ามีอยู่กี่แต้ม?” จางอี้เหวินถามอย่างสงสัย
ฉินอวี่ทำเป็ไม่ได้ยิน และเดินตรงเข้าไปในฝูงชน
“เ้านี่เป็คนเช่นไรกันแน่? ยังเห็นข้าเป็บริวารอยู่จริงหรือ อยากจะเรียกก็เรียก อยากจะไปก็ไป? หากไม่ใช่เพราะข้า้าจะเข้าไปยังแดนขัดเกลาละก็ ข้าคงไม่มีเวลามาสนใจเ้าหรอก” จางอี้เหวินบ่น
“เดี๋ยวสิ ไม่น่าใช่นะ ถ้าพูดตามหลักแล้ว เขายังไม่ได้จุดตะเกียงกรรม และไม่มีป้ายคำสั่ง แล้วไปเอาแต้มสนับสนุนมาจากไหน?”
“แล้วข้าไปยุ่งอะไรกับเขา จะมาคิดแทนมากมายเช่นนี้เพื่ออะไร” จางอี้เหวินเดินออกไปอย่างโกรธเคือง
หลังจากที่จางอี้เหวินจากไป ฉินอวี่ก็เดินออกไปเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สวมชุดคลุมดำและหน้ากากเพื่อลงไปยังเชิงเขาอีกครั้ง ในตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยสถานะของผู้ดูแลหอตำราได้ คนกำลังใกล้ตายคนหนึ่งได้กลายเป็ผู้ดูแลหอตำรา คงจะเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างใหญ่หลวง และเมื่อถึงตอนนั้น ก็อาจต้องตกเป็เป้าของผู้คนจำนวนมาก จนเกิดปัญหาที่ไม่จำเป็ขึ้นแน่นอน
นอกจากนี้ การที่ประมุขแห่งหอตำราได้มอบชุดคลุมดำและหน้ากากให้กับตนเองเช่นนี้ น่าจะเป็เพราะไม่้าให้สถานะของตนเองถูกเปิดเผยออกไป
เนื่องด้วยเื่ของการคัดเลือกศิษย์ หอคอยว่านจ้งจึงเต็มไปด้วยผู้คน โดยส่วนใหญ่แล้ว ศิษย์เหล่านี้ล้วนอยู่ในขั้นปราณเสถียรและขั้นเทียนชุ่ย โดยบรรดาศิษย์ที่อยู่ในขั้นปราณเสถียรต่าง้าเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยให้ได้ภายในเวลาครึ่งปี เพื่อเข้าไปในแดนขัดเกลา ส่วนศิษย์ขั้นเทียนชุ่ยต่างเตรียมตัวเพื่อรอการคัดเลือกศิษย์ที่จะเกิดขึ้น แต่ด้วยหอคอยว่านจ้งมีพื้นที่จำกัด จึงมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ต้องถือป้ายเลขลำดับเอาไว้ พลางนั่งทำสมาธิฝึกฝนตนเองเพื่อรอเข้าไปยังหอคอยว่านจ้ง
ตามที่จางอี้เหวินได้กล่าวไว้ หอคอยว่านจ้งถูกสร้างขึ้นบริเวณใต้ดินของยอดเขาแห่งหนึ่ง แบ่งออกเป็หกชั้น แยกออกไปตามขอบเขตการฝึกฝนั้แ่ขั้นปราณเสถียรจนถึงขั้นทลายวิถี
ด้วยสถานการณ์ฝึกฝนของฉินอวี่ เมื่อเขาไปในชั้นแรกนับว่าดีพอสมควร แต่ในชั้นแรกนี้ไม่มีห้องส่วนตัว ฉินอวี่จึงเลือกที่จะไปในชั้นที่สองซึ่งเป็ที่ฝึกของขั้นเทียนชุ่ย เพราะไม่้าถูกรบกวนใน่เวลาฝึกฝน
ฉินอวี่เดินตรงเข้าไปในห้องโถงของหอคอยว่านจ้ง และเมื่อมาถึงโต๊ะของคนดูแล เขาก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาพลางพูดว่า “ที่ชั้นสองมีห้องส่วนตัวหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว! ไม่เห็นหรือว่ามีคนรออยู่ตั้งมากมาย?” ศิษย์ที่รับผิดชอบคนนั้นพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ห้องเทียนล่ะ?” ฉินอวี่ถามต่อไป จางอี้เหวินบอกไว้ว่าั้แ่ชั้นสองขึ้นไป จะมีห้องเทียน ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเหล่าศิษย์อัจฉริยะที่ภาคภูมิของ์
ศิษย์ที่รับผิดชอบคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธ และเมื่อเห็นป้ายคำสั่งในมือของฉินอวี่ ม่านตาของเขาก็หดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นทันที และพูดด้วยความใ “หลิงอวิ๋นคารวะผู้ดูแล”
“ห้องเทียนที่ชั้นสองมีว่างหรือไม่?” ฉินอวี่ถามอย่างเฉยเมย
“จะว่ามีก็มีนะขอรับ แต่...” หลิวอวิ๋นพูดอย่างตื่นตระหนก ในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียวเขาก็รู้ถึงสถานะของฉินอวี่ ทำให้เขาเกรงกลัวอย่างมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าผู้ดูแลหอตำราก็จะมาถึงที่นี่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในสำนักยุทธ์ว่านจ้ง หากจะไปล่วงเกินสายชีพจรฟ้า หรือผู้ดูแลแห่งหอร้อยสมบัติ ย่อมดีกว่าไปล่วงเกินผู้ดูแลของหอตำรา เพราะหากเป็เช่นนั้นแล้ว จะเป็เื่ยากต่อการเข้าไปในหอตำรา
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลิวอวิ๋นรู้สึกสงสัยคือ เหตุใดผู้ดูแลจึง้าใช้เพียงชั้นที่สอง? โดยทั่วไปแล้ว ผู้ดูแลมักจะอยู่ในระดับชั้นที่ห้าขึ้นไป หรือว่าผู้ดูแลคนนี้จะอยู่เพียงขั้นเทียนชุ่ย?
“เพียงแต่อะไร?” ฉินอวี่ถามอย่างเ็า
“ไม่มีอะไรขอรับ ผู้ดูแล้าห้องเทียนในชั้นที่สองใช่หรือไม่? ค่าใช้จ่ายสองร้อยแต้มต่อหนึ่งปี” หลิวอวิ๋นกัดฟันพูด หากก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดจาไม่ดีใส่ผู้ดูแลเสียก่อน หลิวอวิ๋นก็อาจปฏิเสธไปอย่างสุภาพ แต่ในตอนนี้ หลิวอวิ๋นไม่กล้าปฏิเสธฉินอวี่
“ห้องเทียน ครึ่งปี” ฉินอวี่พูดจบก็ยื่นป้ายคำสั่งออกไปวางตรงหน้าหลิวอวิ๋น
“ครึ่งปี?” ดวงตาของหลิวอวิ๋นเบิกกว้าง ั้แ่เขาอยู่ที่หอคอยว่านจ้งมานาน ยังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มาขอพำนักฝึกฝนเพียงครึ่งปีมาก่อน
“มีอะไร ไม่ได้หรือ?” ฉินอวี่ที่สวมหน้ากากพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“ได้... ได้” หลิวอวิ๋นปาดเหงื่อที่หน้าผากทันที ก่อนจะหยิบป้ายคำสั่งของฉินอวี่ และทำการหักแต้มสนับสนุนไปหนึ่งร้อยแต้ม จากนั้นจึงหยิบป้ายคำสั่งสีแดงเข้มยื่นให้กับฉินอวี่ ก่อนจะมองไปอีกด้านหนึ่ง “หลี่เซิ่ง พาผู้ดูแลไปห้องเทียนหมายเลขเก้า!”
ศิษย์ที่ชื่อหลี่เซิ่งนำทางฉินอวี่เดินลงบันไดไปจนสุดทาง สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ หอคอยว่านจ้งแห่งนี้ไม่ใช่หอคอยสูง แต่กลับสร้างลึกลงไปใต้ดิน เมื่อมองจากชั้นที่หนึ่งลงไป ดูเหมือนถ้ำลึกตามธรรมชาติ และสิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือ เมื่อมองลงไป กลับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด จนไม่อาจคาดคะเนความลึกของถ้ำแห่งนี้ได้
บนหน้าผาทางเข้าถ้ำถูกล้อมด้วยสะพานไม้แคบๆ วนรอบปากถ้ำอยู่หลายรอบ ในชั้นที่หนึ่ง มีศิษย์ขั้นปราณเสถียรจำนวนมากนั่งขัดสมาธิกันอยู่อย่างแน่นขนัด
ในชั้นที่สอง มีถ้ำจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างมากมาย หลี่เซิ่งนำฉินอวี่ตรงลงไปด้านล่าง จนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นที่สอง เขาก็ชี้นิ้วไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ผู้ดูแล ที่นี่คือห้องเทียนหมายเลขเก้า เมื่อถึงเวลาข้าจะมาเรียกท่าน ผู้ดูแล ท่านแค่เอาป้ายคำสั่งวางไว้ตรงนี้ประตูก็จะเปิดออก” พูดจบ ศิษย์คนนี้ก็ชี้นิ้วไปตรงส่วนเว้าที่ด้านหนึ่งของปากถ้ำ
ฉินอวี่นำป้ายคำสั่งวางลงไปประตูถ้ำก็เปิดออกทันที ฉินอวี่จึงเอ่ยขึ้นมา “มาเรียกปลุกข้าล่วงหน้าหนึ่งเดือน” พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในถ้ำ
ทันทีที่ฉินอวี่ก้าวเท้าเข้าไป เขาก็แอบใขึ้นทันที เพราะในถ้ำมีพลังิญญาฟ้าดินอยู่อย่างเข้มข้นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดแรงกดอันทรงพลังดั่งเขาไท่ซานที่แข็งแกร่งขึ้นมา จนฉินอวี่ถึงกับโซเซไปด้านหน้า
ในตอนนี้ ประตูถ้ำยังไม่ปิดสนิท หลี่เซิ่งถึงกับโซเซจนล้มลงกับพื้น และพึมพำในใจ “ดูเหมือนว่าต่อไปจะต้องซ่อมแซมภายในได้แล้ว โชคดีที่เป็ผู้ดูแล หากเป็คนนั้น... เกรงว่าอาจจะต้องคงโกรธมาก?”
