หยางหนิงรอเหล่าชู่ผีจากไปได้ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยปลุกโหวจื่อให้ตื่นขึ้น โหวจื่อที่เพิ่งนอนหลับได้ไม่นานนักก็มีสีหน้างุนงงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “พี่...พี่ใหญ่เตียว เกิดเื่อะไรขึ้น?”
หยางหนิงยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ “พวกเ้ารีบตื่นเถอะ ข้าจะพาพวกเ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
โหวจื่อชะเง้อมองออกไปทางนอกประตูแวบหนึ่ง ด้านนอกยังคงมืดสนิทไร้แสงตะวัน ในขณะที่กำลังจะเอ่ยถามต่อนั้นหยางหนิงก็ได้เอ่ยแทรกขึ้นมาแล้ว “พวกเ้าไม่ไปจะต้องเสียใจแน่ จะไปหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเ้า”
โหวจื่อมีความสงสัยอยู่มากมาย ทว่าก็ยังคงปลุกคนอื่นๆ ให้ตื่นขึ้น คนทั้งหลายต่างก็มีสีหน้างุนงง หยางหนิงเองก็ไม่เสียเวลาต่ออีก เขานำทุกคนเดินออกจากศาลเ้าไปและเดินนำไปยังประตูเมืองทิศใต้
ตลอดทางพวกโหวจื่อล้วนรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก พวกเขาเอ่ยถามอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหยางหนิงกลับเอ่ยเพียงแค่เมื่อถึงก็จะรู้เอง บริเวณไม่ไกลจากประตูเมืองทิศใต้มากนัก คนทั้งหลายก็เริ่มหาที่นั่งจุดหนึ่งบริเวณฐานกำแพง
ยามเหม่าสามเค่อ ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างบ้างแล้ว ตรงกำแพงเมืองก็เริ่มมีผู้คนเดินขวักไขว่กันบ้างแล้ว หลังจากประตูเมืองถูกเปิดออก หยางหนิงก็รีบพาพวกโหวจื่อเดินออกจากเมืองในทันที
ยามเข้าเมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นมีการตรวจค้นอย่างเข้มงวด และยามออกจากเมืองหากเป็รถม้าก็จะต้องทำการตรวจสอบเช่นกัน ทว่าพวกหยางหนิงนั้นดูแค่แวบหนึ่งก็รู้ว่าเป็พวกยาจกแล้ว ผู้คุมประตูเมืองจึงไม่มีใจคิดมาตรวจสอบพวกยาจกเหล่านี้ พวกเขาทั้งหลายจึงสามารถเดินออกจากประตูเมืองได้อย่างง่ายดาย
หลังจากออกจากเมืองแล้ว หยางหนิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมามากนัก ฝีเท้าที่ก้าวเดินของเขาค่อนข้างเร็ว เดินนำพวกโหวจื่อออกห่างจากประตูเมืองประมาณสี่ถึงห้าลี้อย่างไม่หยุดพัก
“พี่ใหญ่เตียว สรุปพวกเราจะไปที่ใดกันแน่?” โหวจื่อทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง “ตอนนี้ทั่วอำเภอฮุ่ยเจ๋อนั้นไม่นับว่าสงบสุขนัก ไม่แน่ว่าอาจจะไปเจอกับพวกโจรได้ อย่างไรเสียพวกเรากลับเข้าไปในเมืองจะปลอดภัยกว่านะ”
หยางหนิงหยุดฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับมาและเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ยื่นมือออกมา!”
โหวจื่อตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าหยางหนิงใช้สีหน้าจริงจังจับจ้องมาทางตน เขาก็ลังเลไปชั่วขณะแต่สุดท้ายก็ยังคงยื่นมือออกไป หยางหนิงวางแหวนวงหนึ่งลงบนฝ่ามือของโหวจื่อ โหวจื่อนิ่งค้างด้วยท่าทีงุนงง
“แหวนวงนี้หากนำไปเปลี่ยนเป็เงิน อย่างน้อยก็คงได้ประมาณหลายสิบตำลึงเงิน” หยางหนิงเอ่ย “โหวจื่อ เ้ารีบพาพวกเขาหนีไปจากที่แห่งนี้เถิด ไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้ ภายในไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าก็จะต้องมีคนมาตรวจสอบถึงเบาะแสของพวกเราแล้ว”
โหวจื่อและคนอื่นๆ ต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างงุนงง ทว่าไม่นานโหวจื่อก็กำแหวนวงนั้นไว้ในมือของตนพร้อมเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่เตียว ท่านได้ทรัพย์สมบัติก้อนโตมางั้นหรือ?” เขาเพียงคิดว่าเมื่อคืนหยางหนิงขโมยทรัพย์สินจากจวนสกุลฮวามาจำนวนหนึ่ง ตอนนี้จึงทำการแบ่งเงินทองให้กับพวกเขา
“สมบัติก้อนโตนั้นไม่ได้รับ ทว่าปัญหาก้อนโตนั้นได้สร้างขึ้นแล้ว” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทางปวดใจ “เซียวอี้ซุ่ยถูกคนสังหารแล้ว พรรคพวกของเขาอาจทำการคิดบัญชีนี้ลงบนตัวข้า พวกเ้าอาศัยอยู่ในศาลเ้ากับข้า บัญชีนี้ก็จะต้องคิดลงบนตัวพวกเ้าด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเ้ารีบหนีเอาชีวิตไปเถิด นำแหวนวงนี้ไปแลกเงินสามารถเอาไปใช้เป็ค่าเดินทางพวกเ้าได้ พวกเราแยกกันเสียั้แ่ตรงนี้ บางทีชีวิตนี้อาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
เขาเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วและรวบรัด เมื่อเอ่ยจบก็ไม่เสียเวลาอีก ทำการเร่งรุดไปทางทิศใต้ต่อในทันที
หลังจากที่พวกโหวจื่อทั้งหลายนิ่งตะลึงไปแล้ว ทุกคนต่างก็ใจนหน้าซีดเผือดพร้อมกับเร่งรุดวิ่งตามไปและเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว “พี่...พี่ใหญ่เตียว เป็ท่านที่สังหารเซียว...เซียวอี้ซุ่ย?”
“ผู้ใดสังหารนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว” หยางหนิงมิได้หันหน้ากลับไปแต่กลับเร่งฝีเท้ามากขึ้น “ทว่าหากพวกเ้าติดตามข้า อันตรายจะยิ่งมีมากขึ้น พวกเขาอาจจะทำการไล่ตามมาแล้ว จะไปที่ใดต่อพวกเ้าเลือกเองก็แล้วกัน”
โหวจื่อหยุดฝีเท้าลง นิ่งค้างไปชั่วขณะ คนทั้งหลายก็ได้แต่จ้องมองดูหยางหนิงที่หายวับไปในความมืด ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งคนด้านหลังจึงค่อยเอ่ยถามด้วยท่าทีระมัดระวัง “โหวจื่อ พวกเรา...พวกเราควรทำไงต่อดี?”
“จะทำอย่างไรต่อได้?” โหวจื่อถ่มน้ำลายลงบนพื้นไปคำโต “คนจะต้องเป็เ้าเด็กนี่ฆ่าแน่นอน พวกเราพลาดท่าเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเ้าเด็กนี่จะใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ฝีมือก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ด้วย...!” ย้อนคิดไปถึงก่อนหน้านี้ตอนที่ตนตั้งตัวเป็ปรปักษ์กับเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความกลัว “หากพวกเราไปกับเขาจะต้องซวยไปด้วยแน่ ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีกแล้ว รีบหนีตายก่อนเถอะ ยิ่งออกจากอำเภอฮุ่ยเจ๋อเร็วเท่าไรยิ่งดี” ทว่าเขากลับไม่กล้าเดินตามไปยังทิศทางที่หยางหนิงจากไปจึงได้แต่ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก “พวกเราไปทางนี้ รีบวิ่งเร็ว!”
หยางหนิงที่เดินแยกจากพวกโหวจื่อแล้วก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาในทันที
เพียงค่ำคืนเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้มีหรือที่หยางหนิงจะเคยคิดว่าหลังจากที่ตนข้ามภพมาแล้ว ตนจะได้ลงมือทำเื่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาก็จะต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแล้ว
การหลบหนีออกจากอำเภอฮุ่ยเจ๋อนั้นเป็เื่ที่จำเป็ต้องทำ อีกทั้งเขายังต้องตามหาเบาะแสของเสี่ยวเตี๋ยต่ออีกด้วย
ตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยได้ถูกส่งไปที่เมืองหลวงแล้ว หยางหนิงแค่ใช้ก้นไม่ต้องใช้สมองคิดก็ยังรู้ได้ว่าสถานการณ์ที่นางต้องเผชิญจะต้องลำบากยากเข็นเป็แน่ เสี่ยวเตี๋ยนั้นถือว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจทิ้งนางอย่างไม่ไยดีได้
แม้ว่าตัวเขาจะรู้ดีว่าตอนนี้ตนมีอำนาจเพียงน้อยนิด ไม่แน่ว่าเมื่อพบเสี่ยวเตี๋ยแล้วจะสามารถช่วยนางออกมาได้ ทว่าต่อให้เป็เช่นนี้ เขาก็ยังต้องพยายามอย่างสุดความสามารถของตน เมื่อเป็เช่นนี้ถึงจะไม่ผิดต่อสามัญสำนึกของตนเอง
ตอนนี้เขาก็ได้กุมเบาะแสเอาไว้ไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยและหญิงสาวคนอื่นๆ ได้ถูกหน่วยงานขนส่งเป็คนเอาตัวไป โดยจุดหมายก็คือเมืองหลวงอีกทั้งยังได้ทำการออกเดินทางเป็เวลาถึงสามวันแล้ว
เพราะฉะนั้นการจะตามหาเสี่ยวเตี๋ย ก่อนอื่นก็ต้องตามหาหน่วยขนส่งนั้นให้พบก่อน
ระยะทางระหว่างเมืองฮุ่ยเจ๋อและเมืองหลวงนั้นต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งเดือน เพราะฉะนั้นหน่วยขนส่งนั้นตอนนี้ก็ยังต้องอยู่ในระหว่างการเดินทางอย่างแน่นอน
ในเมื่อพาหญิงสาวไปจำนวนไม่น้อย เช่นนั้นขบวนรถจะต้องไม่เล็กแน่ ในเมื่อเป็ถึงหน่วยงานใหญ่ระดับต้นๆ ของเมืองหลวง เพื่อความปลอดภัยแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องใช้ธงของหน่วยงานในการจัดขบวนเดินทางครั้งนี้
เพราะฉะนั้นหน่วยงานที่ว่านี้ไม่แน่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจมากนัก แต่จะต้องมีเส้นสายกว้างขวางอย่างแน่นอน หากเป็หน่วยงานขนส่งที่ไม่มีเส้นสาย ต่อให้มียอดฝีมือจำนวนมาก การจะขนส่งเดินทางไปทั่วแผ่นดินได้ก็คงจะเป็ไปไม่ได้อยู่ดี
เมื่อชูป้ายธงของหน่วยงาน ตลอดทางก็จะราบรื่นไม่มีผู้ขัดขวาง หน่วยงานขนส่งบางแห่งยังสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบระหว่างทางได้อีกด้วย สำหรับข้อได้เปรียบเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไม่มีทางยอมละทิ้ง
หยางหนิงเชื่อว่าสำนักคุ้มกันกลุ่มนี้จะต้องสะดุดตาเป็อย่างมาก เช่นนั้นหากตนทำการสอบถามไปตามเส้นทางก็อาจจะได้รับข่าวสารบางอย่างกลับมา
อีกทั้งแม้พวกสำนักคุ้มกันนี้จะเดินทางก่อนหน้าเขาไปถึงสามวัน แต่ระหว่างทางจะต้องไม่มีทางเร่งรุดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่มีหยุดพักแน่ หากตนใช้ระยะเวลาที่พวกเขาพักผ่อนมาดึงระยะห่างที่เคยมีให้สั้นลง เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
ขอเพียงสามารถตามสำนักคุ้มกันได้ทัน เช่นนั้นก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวเตี๋ย ต่อให้ไม่อาจช่วยเสี่ยวเตี๋ยออกมาได้ แต่อย่างน้อยหากสามารถติดตามไปด้วยได้แล้วก็จะต้องมีโอกาสประจวบเหมาะให้ลงมือได้แน่
เขาเดินไปคิดไป จวบจนตนดึงสติกลับมาได้แล้วถึงพบว่าท้องฟ้าได้สว่างไสวเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อมองตรงไปทางด้านหน้าก็เห็นว่าเป็ถนนหลวงที่เส้นทางค่อนข้างกว้างเส้นหนึ่ง หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันพลางครุ่นคิดว่าหากตนเดินบนถนนเส้นทางหลวงเช่นนี้อย่างเปิดเผยแล้วมีกลุ่มพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยตามมา พวกเขาก็จะสามารถพบตัวเขาได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้ว่าตนกำลังอยู่ใน่หลบหนีเอาชีวิตรอดอยู่ เวลาเช่นนี้นั้นไม่เหมาะที่จะเดินบนถนนทางหลวงอย่างเปิดเผยจริงๆ
เขาหมุนตัวเลี้ยวไปเดินทางถนนเล็กที่พุ่งตรงไปทางทิศใต้ ในใจคิดแต่จะไล่ตามสำนักคุ้มกันให้ทัน เพราะฉะนั้นระหว่างทางจึงไม่ทำการหยุดพักแม้แต่น้อย ยามที่รู้สึกหิวกระหายก็แค่แวะดื่มน้ำที่บ่อน้ำริมทาง และหาผลไม้ป่ามาดับความหิว เมื่อถึงยามโพล้เพล้ของวันต่อมา เขาก็ได้จากอำเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อมาไกลมากแล้ว
โดยไม่รู้ว่าตามเส้นทางถนนเล็กที่เขาเดินมานั้นจะทำให้เขาเลี้ยวมากับถนนหลวงอีกครั้ง ยามนี้เห็นว่าทางแยกด้านหน้ามีบ้านฟางอยู่หลังหนึ่ง ด้านนอกบ้านฟางนั้นยังมีก้านไผ่ปักตั้งอยู่ก้านหนึ่ง บนนั้นแขวนผ้าเอาไว้ผืนหนึ่งเขียนเป็ตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า “ชา”
ที่แห่งนี้น่าจะเป็ร้านชาข้างทางร้านหนึ่ง
เวลานี้หยางหนิงกลับรู้สึกว่าตนกระหายน้ำอยู่บ้าง จึงเดินเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นว่าด้านในร้านชานั้นมีเพียงบุรุษอายุสี่สิบต้นๆ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เขาจึงเอ่ยออกมาพร้อมประดับรอยยิ้มจางๆ ไว้บนใบหน้า “ท่านลุง ท่าน...!”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบ บุรุษผู้นั้นก็เหลือบตามามองแวบหนึ่งก่อนจะโบกมือไล่พร้อมเอ่ยว่า “ไปไหนก็ไปๆ ที่นี่หากไม่มีเงินก็ไม่มีของให้กิน” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่หันมามองหยางหนิงอีก
หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึง พลางคิดในใจว่านิสัยของผู้าุโท่านนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากนั้นก็ก้มหน้าลงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของตนยังคงมีลักษณะเหมือนยาจกอยู่ ก็ไม่ผิดที่เมื่อบุรุษท่านนี้เห็นแล้วจึงเอ่ยปากขับไล่และคิดไปเองว่าเขามาเพื่อที่จะขออาหารกิน
“ท่านลุง ข้ามีเื่อยากจะสอบถามท่านหน่อย” แน่นอนว่าหยางหนิงจะไม่จากที่นี่ไปแน่ อีกทั้งเขายังก้าวไปด้านหน้าสองก้าวและเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หลายวันมานี้มีขบวนคุ้มกันเดินผ่านที่แห่งนี้หรือไม่? ที่นี่เป็ถนนหลวงที่มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงใช่หรือไม่?”
“เหลวไหล” บุรุษผู้นั้นหันหน้ากลับมาพร้อมเอ่ยตอบอย่างหงุดหงิด “ในเมื่อเ้ารู้ว่าถนนหลวงแห่งนี้สามารถมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงได้ เช่นนั้นจะไม่มีรถม้าวิ่งผ่านได้อย่างไร? ทุกวันผ่านไปผ่านมาตั้งไม่รู้กี่คันรถ ข้าจำเป็ต้องจำด้วยหรือว่าขบวนไหนเป็ขบวนพ่อค้า ขบวนไหนเป็ขบวนคุ้มกัน?”
บุรุษผู้นี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ทว่าหยางหนิงก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองก่อนจะยิ้มๆ และถามต่อ “เช่นนั้นมีน้ำให้ดื่มดับกระหายหรือไม่? ข้ากระหายน้ำยิ่งนัก”
“คิดจะดื่มน้ำนั้นย่อมได้ ไม่เพียงแต่มีน้ำ ยังมีชาด้วย” บุรุษผู้นั้นเหล่มองหยางหนิงก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่ดูคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ขอเพียงบนตัวมีเงิน ข้ายังสามารถเอาของกินให้เ้าได้อีกด้วย”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบกลับมีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “ก็แค่น้ำชามหนึ่งมิใช่หรือ? ทำไมต้องตระหนี่ด้วย กิจการไม่ดีก็อย่ามาระบายโทสะใส่ผู้อื่นสิ” ก่อนจะมีหญิงวัยกลางคนที่ผูกผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากด้านในร้านชาและยื่นน้ำชามหนึ่งให้กับหยางหนิง หยางหนิงรีบยื่นมือออกไปรับและแหงนหน้าขึ้นดื่ม
บุรุษส่งเสียงหึเบาๆ ในลำคอแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
หยางหนิงนำชามยื่นคืนไปให้กับสตรีผู้นั้นก่อนจะยกมือขึ้นคำนับและเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านป้า”
“เ้ามาจากทางเหนือใช่หรือไม่?” เมื่อสตรีผู้นั้นเห็นหยางหนิงมีสภาพเนื้อตัวมอมแมม นางกลับไม่มีท่าทีรังเกียจอีกทั้งยังเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงสารเห็นใจอีกด้วย “ช่างน่าสงสารเหลือเกิน อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ต้องเตร็ดเตร่ไร้ที่พักพิงแล้ว หนุ่มน้อย หากเ้าหิวข้าจะไปเอาแผ่นแป้งกรอบมาให้”
บุรุษผู้นั้นถลึงตาโตพร้อมเอ่ย “จะเอาแผ่นแป้งกรอบอะไรอีก หากทุกคนเป็เช่นนี้พวกเราจะเอาอะไรกิน? เ้านี่เป็สตรีที่ทำให้ข้าล่มจมจริงๆ”
สตรีผู้นั้นกลับไม่สนใจพร้อมกับเข้าไปในร้านและหยิบเอาแผ่นแป้งกรอบแผ่นหนึ่งออกมา ลักษณะกรอบแห้งของมันนั้นดูไม่ค่อยน่ากินจริงๆ ทว่าหยางหนิงก็ยังคงรีบเอ่ยขอบคุณและรับแผ่นแป้งมา พร้อมเอ่ยถามต่อ “ท่านป้า ขอถามท่านหน่อยว่าหลายวันมานี้เห็นขบวนคุ้มกันผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่? น่าจะประมาณสองสามวันก่อน”
สตรีผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ยตอบว่า “ตรงนี้จะมีรถม้าผ่านมาทุกวัน ข้าไม่ได้สังเกตจริงๆ เ้าจะถามถึงขบวนคุ้มกันไปทำไมกัน?”
ในขณะที่หยางหนิงกำลังจะเอ่ยตอบนั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าที่ห่างไปไม่ไกลนักดังมาจากทางเหนือ
บุรุษและสตรีผู้นั้นเห็นคนไปมาอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ได้สนใจมากนัก ทว่าหยางหนิงกลับรู้สึกบีบคั้นในหัวใจขึ้นชั่วขณะก่อนจะรีบแวบตัวขึ้นไปบนร้านชาและมองยาวไปทางทิศเหนือ ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินเขาก็เห็นเพียงม้าเร็วห้าหกตัวกำลังวิ่งทะยานมาสถานที่แห่งนี้
ม้าเร็วดุจศรธนู ชั่วขณะหนึ่งก็ย่างมาถึงข้างร้านชาแล้ว เมื่อกวาดตามองไปก็ล้วนแต่เป็มือปราบที่สวมชุดสีฟ้า โดยคนที่นำอยู่ด้านหน้ากระชากบังเหียนม้าให้หยุดลงและกวาดตามองแวบหนึ่ง บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้วพร้อมเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พวกท่านอยากจะดื่มชางั้นหรือ? รีบเข้ามาเร็ว!”
มือปราบที่นำขบวนกลับไม่สนใจ ก่อนจะหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากตัวและสะบัดมันให้เปิดออกพร้อมเอ่ยถามบุรุษผู้นั้น “มองดูให้ดีว่าเ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน เขาหันหน้ากลับไปแต่กลับพบว่าหยางหนิงที่เดิมยืนอยู่ข้างร้านชานั้นได้หายตัวไปแล้ว ในขณะที่สาววัยกลางคนผู้นั้นเองก็ก้าวมาด้านหน้าและสังเกตดูภาพวาดนั้นพร้อมส่ายหน้าตอบ “หลายวันมานี้คนผ่านไปมาพวกข้าก็เห็นมาไม่น้อย ทว่ากลับไม่เห็นคนที่เหมือนภาพวาดผู้นี้”
มือปราบผู้นั้นกลับมีสีหน้าเ็าพร้อมเอ่ยต่อ “พวกเ้ามองดูให้ดีอีกครั้ง ไม่แน่ว่าจะหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน” ก่อนจะจ้องไปทางบุรุษผู้นั้นและเอ่ยถามเสียงต่ำ “เ้ามองซ้ายมองขวาทำอะไร?”
บุรุษผู้นั้นรีบเอ่ยตอบ “ไม่...ไม่มีอะไร!”
มือปราบยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “คนผู้นี้เป็ฆาตกรที่กำลังหลบหนีอยู่ มีโทษปะา หากพวกเ้าทราบข่าวแล้วไม่รายงานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน ความผิดนั้นต้องร้ายแรงถึงขั้นตัดหัว... ดูให้ดีๆ ว่าเคยเห็นหรือไม่?” ก่อนจะหันกลับไปส่งสัญญาณทางสายตา มือปราบอีกสามคนก็รีบพลิกตัวลงจากม้าและดึงดาบข้างเอวออกมาพร้อมพุ่งเข้าไปด้านในร้านชา