พวกมือปราบพุ่งตัวเข้าไปในร้านชา สีหน้าของบุรุษผู้นั้นก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ไม่นานก็ได้ยินเสียงปึงปังดังออกมาจากด้านใน ทว่าชายหญิงคู่นี้ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมามากนัก
ร้านชานี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก มือปราบหลายนายทำการตรวจสอบด้านนอกด้านในโดยละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะกลับออกมาและรายงานกับหัวหน้าของพวกเขาว่า “ด้านในไม่มีคน”
หัวหน้าของเหล่ามือปราบนั้นก็มองดูรอบๆ อีกครั้งก่อนจะส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับบุรุษวัยกลางคนและเอ่ยออกมาเสียงเย็นว่า “นี่เป็ใบประกาศจับ แปะเอาไว้ด้านนอกร้านชาของเ้า ขอเพียงพบเห็นเ้าเด็กนี่ ไม่ว่าจะเป็หรือตาย เมื่อจับส่งไปที่ว่าการแล้วพวกเราก็จะตบรางวัลให้อย่างงาม” และก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้มากความอีก เขากระตุกบังเหียนและนำมือปราบคนอื่นๆ พุ่งทะยานไปด้านหน้า
รอจนมือปราบจากไปแล้ว บุรุษผู้นั้นจึงค่อยรีบหันไปเอ่ยกับภรรยาของตน “ยาจกน้อยนั่นเป็ฆาตกร เ้าได้ยินแล้วหรือไม่? ทำไมถึงไม่ให้ข้าแจ้งกับทางการ?” ผู้เป็ภรรยาเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า “เื่น้อยดีกว่าเื่มาก” บุรุษผู้นั้นรู้สึกโมโหอยู่ไม่น้อยก่อนจะสำรวจในนอกของร้านชาอีกครั้ง แล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมเอ่ยต่อ “เ้าเด็กนั่นไปแล้ว?”
เมื่อผู้เป็ภรรยาเห็นว่ามือปราบนั้นออกเดินทางไปไกลแล้ว นางถึงจะค่อยเดินอ้อมไปยังด้านหลังของร้านชา ยืนอยู่ตำแหน่งไม่ไกลจากวงล้อมที่ก่อขึ้นด้วยไม้ไผ่นัก โดยวงล้อมนั้นดูก็รู้แล้วว่าเป็สถานที่ปลดทุกข์
บุรุษผู้นั้นเข้าใจได้ในทันที และก็เป็ดังคาด หยางหนิงนั้นก้าวออกมาจากในนั้นจริงๆ
แม้ว่ามือปราบจะทำการตรวจสอบทั้งในและนอกของร้านชาแล้วรอบหนึ่ง ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ทำการตรวจสอบสถานที่ตรงนี้
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าต้องขอโทษด้วย” หยางหนิงยกมือขึ้นคารวะพร้อมเอ่ย “ข้าจะจากไปทันที ไม่ทำให้พวกท่านเดือดร้อนด้วยเด็ดขาด” แม้เขาจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยจะตรวจสอบมาจนถึงตัวเขาได้ ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะดำเนินการได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ มิเพียงแต่มั่นใจว่าเขาคือฆาตกร อีกทั้งยังเริ่มทำการออกค้นหาแล้ว
สีหน้าของชายวัยกลางคนคล้ำซีดสลับกันไปมา แววตาของเขามีความสงสัยปรากฏอยู่ไม่น้อยก่อนจะทำการเอ่ยถาม “เ้า...เ้าสังหารคนไปจริงหรือ?”
หยางหนิงมิได้ทำการอธิบายแต่กลับดึงใบทองคำบนตัวแผ่นนั้นออกมาและเอ่ยว่า “บนตัวของข้าไม่มีเศษเงิน มิทราบว่าสามารถเอาใบทองคำนี้แลกเป็เศษเงินสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นใบทองคำนั้นก็เกิดอาการตกตะลึง ก่อนจะรีบโบกมือและเอ่ยตอบ “พวกเราไม่มีเศษเงินให้แลกเยอะขนาดนั้น เ้า...เ้ารีบไปเถิด!” ทว่าสายตากลับยังคงจับจ้องไปที่ใบทองคำใบนั้น
หยางหนิงลังเลไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังยัดใบทองคำนั้นลงบนมือของหญิงวัยกลางคนก่อนจะรีบก้าวเดินจากไป สตรีผู้นั้นเอ่ยร้องเรียกอยู่หลายครั้งหยางหนิงถึงจะยอมหยุดฝีเท้า นางก้าวเดินมาด้านหน้าพร้อมเอ่ยถาม “หนุ่มน้อย เ้าคิดจะไปที่ใดหรือ? พวกมือปราบเ่าั้ล้วนแต่คิดจะจับเ้า”
หยางหนิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปที่เมืองหลวงตามหาขบวนคุ้มกันกลุ่มหนึ่ง แต่ว่าขบวนคุ้มกันนั้นออกเดินทางก่อนข้าหลายวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตามทันหรือไม่”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ขบวนคุ้มกันที่เ้าพูดถึงหากเดินทางตามเส้นถนนหลวงนี้ ต่อให้เร็วกว่าเ้าหลายวันก็ไม่แน่ว่าจะตามไม่ทัน” พลางยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ “เ้าเดินไปทางทิศนั้นหนึ่งวันน่าจะมองเห็นเทือกเขาหัววัว หากว่าเ้าข้ามเทือกเขาหัววัวไปก็จะมีระยะทางเร็วกว่าถนนหลวงถึงสองวัน ไม่แน่ว่าอาจจะตามทันได้”
“เทือกเขาหัววัว?” หยางหนิงแววตาเป็ประกาย
หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยต่อ “เทือกเขาหัววัวนั้นเป็เป็เขาสูงป่าลึก หนุ่มน้อย ที่แห่งนั้นอันตรายมาก เ้าล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถิด”
ชายวัยกลางคนเอ่ยต่อ “ทางข้าก็ได้ชี้บอกแล้ว จะไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความกล้าของเ้า เ้ารีบไปเถิด หากพวกมือปราบเ่าั้กลับมาจะทำให้พวกเราเดือดร้อนด้วยได้”
หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจพร้อมกับยกมือแสดงความเคารพและเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณท่านทั้งสอง” และในขณะที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นเตรียมจะคืนใบทองคำให้กับหยางหนิง หยางหนิงก็ได้วิ่งออกเดินทางไปแล้ว
เขามุ่งเดินไปตามทิศทางที่บุรุษผู้นั้นชี้บอก ระหว่างทางก็ทำเพียงแค่พักผ่อนไปเล็กน้อย จนถึง่พลบค่ำในวันต่อมาเขาก็มองเห็นเทือกเขารางๆ ที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาแต่ละลูกลากยาวเรียงกัน โดยมีูเาสองลูกที่ค่อนข้างสูงกว่าเล็กน้อย เมื่อมองดูผ่านๆ ก็คล้ายกับเขาสองข้างของวัวอยู่ไม่น้อย
่เวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์เอนเอียงไปทางทิศตะวันตก แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำสาดส่องลงบนเทือกเขาหัววัว ทำให้ทั้งเทือกเขานั้นดูมืดมนอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเทือกเขาหัววัวจะดูใกล้เหมือนอยู่เบื้องหน้า ทว่าหากต้องเดินจริงๆ แล้วต่อให้พระอาทิตย์ตกดินไปก็ยังคงทิ้งระยะห่างไว้อยู่ไม่น้อย
เมื่อขยับเดินไปใกล้เทือกเขาหัววัวแล้ว อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง หยางหนิงรู้สึกตื่นใขึ้นทันทีก่อนจะรีบหันกลับไปมองทิศทางด้านหลังตน ก่อนจะมองเห็นว่าทางด้านหลังมีคนขี่ม้าจำนวนมากกำลังวิ่งตรงมา
มือของเขากำแน่นเป็หมัด ขณะลอบคิดในใจว่าหรือพวกมือปราบเ่าั้จะเปลี่ยนทิศทางวิ่งกลับไปและบุรุษวัยกลางคนในร้านชานั้นก็บอกทิศทางที่ตนจะมุ่งหน้าไปให้กับคนเ่าั้?
เขายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า บริเวณโดยรอบก็ไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อนตัวได้ และเวลานี้ก็เห็นได้ชัดว่าคนเ่าั้มองเห็นตัวเขาแล้ว ต่อให้คิดจะหลบก็คงไม่ทันเสียแล้ว
ม้าเร็วสี่ห้าตัวพุ่งทะยานมาทางนี้ ขณะที่หยางหนิงพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนให้สงบลง แม้เขาจะรู้ว่าตนมีกำลังน้อยนิด แต่ก็ยังคงเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้
ใครจะรู้ว่าม้าเร็วเ่าั้กลับวิ่งผ่านตัวของเขาไปในทันทีโดยที่ผู้นำขบวนด้านหน้าทำเพียงแค่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนทั้งห้านี้มิใช่พวกมือปราบที่ออกไล่ล่าตน พวกเขาทุกคนล้วนสวมชุดสีม่วง หว่างคิ้วเหมือนจะมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง แต่เพราะพวกเขาพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วที่สูงมากทำให้ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถมองได้อย่างถนัดตา
หยางหนิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ทว่าม้าเร็วเ่าั้เมื่อวิ่งออกไปจากตรอกเล็ก อยู่ๆ ก็หยุดลงก่อนที่ม้าตัวหนึ่งจะทำการหมุนตัวและวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหยางหนิง คนชุดสีม่วงที่อยู่บนม้าทำการมองสำรวจหยางหนิงดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเสียงดุ “เคยพบเห็นชายชราที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเทาหรือไม่?”
หยางหนิงส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “ไม่เคยเห็น!” พลางครุ่นคิดในใจว่าที่แท้คนเหล่านี้ก็กำลังตามหาชายชราคนหนึ่ง ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าชายชราผู้นั้นที่ถูกเอ่ยถึงนั้นเป็ใคร
ทว่าในเวลานี้ อยู่ๆ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงที่แสบแก้วหูดังออกมาจากทิศทางของเทือกเขาหัววัว เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองกลับเห็นเพียงแสงสว่างจากดวงดาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าผ่านทางส่วนลึกของเทือกเขาหัววัว เวลานี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ทำให้แสงดาวที่ร้อยเรียงกันเป็เส้นนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งแสงนั้นยังมีเสียงที่แสบแก้วหูแฝงไว้อีกด้วย
แน่นอนว่าชายชุดม่วงเองก็มองเห็นแสงนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนม้าและเอ่ยกับคนชุดม่วงอีกหลายคนที่เหลือ “อยู่ในหุบเขา พวกเรารีบไปเร็ว!”
คนชุดม่วงทั้งห้ารีบบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปทางเทือกเขาหัววัว เมื่อหยางหนิงเห็นว่าเงาของคนทั้งห้าค่อยๆ ห่างออกไป ในใจของเขาก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
พวกคนชุดม่วงเ่าั้มีท่าทีดุร้าย แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามิใช่คนดี ทว่ากลับไม่รู้ว่าเป็ผู้ใดมาจากไหน และแสงดาวเส้นนั้นที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าก็ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็แสงสัญญาณ เช่นนั้นก็หมายความว่าเวลานี้ลึกเข้าไปในหุบเขานั้นยังมีผู้อื่นอยู่อีกด้วย
หยางหนิงกำลังคิดว่าตนควรจะปลีกตัวหลบจากคนเหล่านี้และหาทางอื่นดีหรือไม่ ทว่าการจะตามขบวนคุ้มกันได้นั้นก็มีเพียงเส้นทางนี้ทางเดียว เขาจึงได้แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินทางไปยังเทือกเขาหัววัวต่อ
เมื่อเดินไปได้ครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาแล้ว ห่างออกไปสักระยะหนึ่งเขาก็เหลือบไปเห็นว่ามีม้าหลายตัวอยู่ที่ตีนเขาด้วยเช่นกัน ทว่าเขากลับมองไม่เห็นคนชุดม่วงกลุ่มนั้น
หยางหนิงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเส้นทางบนเขานั้นไม่สะดวกต่อการขี่ม้า คนเ่าั้จะต้องทิ้งม้าเอาไว้ที่นี่และก้าวเดินขึ้นเขาอย่างแน่นอน
เวลานี้หากเขาแอบจูงม้าออกไปตัวหนึ่ง คงจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นได้ และหากขี่ม้าวิ่งไปบนถนนหลวงตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก คิดว่าก็คงจะสามารถตามขบวนคุ้มกันได้ทัน
แต่หากเขาขี่ม้าบนถนนหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยได้ เขายังคงจำได้ดีว่าพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยนั้นกระจายอยู่ทั่วอำเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อและกำลังค้นหาตัวเขาอยู่ พวกเขามีคนทั้งพวกทางการและทางลับอยู่นับไม่ถ้วน ตัวเขาจำเป็ต้องระมัดระวังตัวให้ดี
อีกทั้งเมื่อครู่คำพูดและท่วงท่าของพวกคนชุดม่วงเ่าั้ก็ทำให้หยางหนิงเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
หลังจากขึ้นเขาแล้ว ถนนก็ค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ บนูเานั้นล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้สูงที่เติบโตเรียงกันอย่างหนาแน่น หยางหนิงรู้ว่าคนชุดม่วงเหล่านี้จะต้องเดินไปตามทิศทางที่เกิดแสงสว่างเมื่อครู่แน่ ทำให้เขาพอจะคาดเดาถึงตำแหน่งได้รางๆ ทางด้านหนึ่งเขาก็คอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบ อีกด้านหนึ่งเขาก็เดินฝ่าป่าลึกไปยังทิศทางที่ตนคาดคะเนเอาไว้
เทือกเขาหัววัวนั้นมีลักษณะสมดั่งชื่อ มีเนินสูงต่ำติดๆ กัน บางครั้งก็สูงมากบางครั้งก็ต่ำมาก ทำให้ไม่เหมือนต้องเดินขึ้นเขาตลอดเวลา
พระจันทร์ลอยขึ้นจากขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์ที่เยือกเย็นประกอบกับตอนนี้ที่ย่างเข้าเดือนเก้าแล้วทำให้สภาพอากาศเริ่มแปรเปลี่ยนเป็หนาวเย็น ภายในป่าลึกบนเทือกเขาก็ยิ่งทำให้มีความชื้นแฝงตัวอยู่มาก เวลานี้หยางหนิงจึงรู้สึกเหน็บหนาวอยู่ไม่น้อย
บนูเาก็มักจะมีเสียงร้องของนกและเสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นเป็่ๆ ไม่รู้เวลาผ่านมาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว เวลานี้หยางหนิงก็ได้ก้าวเข้ามายังส่วนลึกของเทือกเขาแล้ว เมื่อมองดูบริเวณโดยรอบเขากลับไม่เห็นเงาของคนแม้แต่คนเดียว อีกทั้งแม้แต่เส้นทางเดินก็มองไม่เห็นแม้แต่เส้นเดียว ภาพเบื้องหน้ามืดสนิทประกอบกับสภาพของป่าลึกทำให้ที่แห่งนี้ดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าหยางหนิงจะเป็คนที่มีความกล้าหาญ ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ในขณะที่เขากำลังรู้สึกเสียใจที่ตนบุกเข้ามาในที่แห่งนี้นั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากทางฝั่งซ้ายด้านหน้าของตน หยางหนิงตั้งท่าเตรียมป้องกันขึ้นทันที ทว่าเสียงร้องนั้นดึงขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็หยุดลงโดยไร้ซึ่งซุ่มเสียงอีก
หยางหนิงรออยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดอีก เขาจึงค่อยๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่เกิดเสียงเมื่อครู่นี้ ภายใต้แสงสว่างอันเบาบางของป่าลึก หยางหนิงจึงไม่สามารถมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน เมื่อเดินไปได้สักระยะหนึ่ง อยู่ๆ เท้าเขาก็ไปสะดุดกับอะไรสักอย่างและเหยียบลงบนสิ่งของที่มีลักษณะนุ่มนิ่ม ข้อเท้าของเขาบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยจนเกือบจะทำให้ตัวต้องล้มลง โชคดีที่หยางหนิงตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับต้นไม้ต้นเล็กด้านข้างและพยุงตัวเองเอาไว้ได้ทัน
แสงจันทร์ที่เบาบางสาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ ทำให้หยางหนิงที่ก้มศีรษะมองดูเห็นสิ่งที่ทำให้เขาเกือบสะดุดล้มลงเมื่อครู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันใด ความตกตะลึงและตื่นกลัวทำให้เขาเกือบที่จะแผดเสียงร้องออกมา
ใต้เท้าของเขามีคนผู้หนึ่งนอนอยู่โดยไม่ขยับตัว และเท้าข้างหนึ่งของเขาก็กำลังเหยียบลงบนท้องน้อยของคนผู้นั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้หยางหนิงมองเห็นว่าคนผู้นี้้าของลำคอที่ขาวเนียนนั้นไร้ซึ่งศีรษะ
กลิ่นเืสดพุ่งทะลวงเข้าไปในจมูก ทว่าหยางหนิงนั้นมิได้รู้สึกอะไรกับกลิ่นคาวเืเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขาเห็นซากศพที่ไร้ศีรษะ ในใจกลับรู้สึกสะพรึงกลัวอย่างห้ามไม่อยู่
ดูจากเสื้อผ้าของคนผู้นี้แล้ว ดูเหมือนจะเป็หนึ่งในคนชุดม่วงที่ตนได้พบเห็นเมื่อก่อนหน้านี้
หยางหนิงยกมือขึ้นอุดจมูกของตน และในเวลานี้อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวนดังออกมาจากทิศทางที่ไม่ไกลนัก เสียงร้องเ็ปดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ ก่อนที่ชั่วพริบตาเสียงนั้นก็ได้มลายหายไปเช่นกัน ชั่วขณะหนึ่งใจของหยางหนิงก็เต้นรัวไม่หยุด เขาขยับเดินไปทางด้านหน้าอีกสิบกว่าก้าว ก่อนจะเห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาของคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่จึงรีบทำการแอบหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่
เพียงแต่ทางด้านนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เมื่อหยางหนิงชะเง้อคอออกไปมองกลับเห็นว่าเงาที่ยืนอยู่นั้นกำลังยืนนิ่งตัวตรง ขณะที่ศีรษะและแขนทั้งสองข้างนั่งตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ท่าทีนิ่งเฉยไม่มีการขยับ
หยางหนิงรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงก้าวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ทว่าคนผู้นั้นก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ หยางหนิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นและส่งเสียงร้อง “เห้ย” ออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าบริเวณหน้าอกของคนผู้นั้นยื่นออกมาด้านหน้าเล็กน้อยเหมือนบรรจุของบางอย่างอยู่ด้านใน เวลานี้เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย หยางหนิงก็ไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ในทันที แต่ทำการเดินอ้อมไปทางด้านข้างแทน ตอนนี้เขาถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านหลังของคนผู้นี้มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขนาดเท่าแขนคนเสียบแทงอยู่ โดยกิ่งไม้กิ่งนั้นได้แทงทะลุผ่านทางกลางหลังของเขาไปจนถึงบริเวณหน้าอก และแน่นอนว่าการที่คนผู้นี้ยังยืนตรงอยู่นั้นก็เป็เพราะว่ากิ่งไม้นั้นได้แทงทะลุร่างกายและพยุงตัวของเขาเอาไว้
หยางหนิงยิ่งดูยิ่งรู้สึกตกตะลึง ซากศพทั้งสองที่ตนเห็นนั้นล้วนแต่มีวิธีการตายที่น่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ทว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทั้งหมดนี้เป็ฝีมือของผู้ใด
เมื่อหยางหนิงขยับเข้าไปใกล้ซากศพนั้นและก้มตัวลงมองสำรวจใบหน้าของเขา หยางหนิงก็จำได้ในทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือบุรุษชุดม่วงที่เอ่ยถามตนเมื่อครู่ตอนที่อยู่ตีนเขา ตรงหว่างคิ้วของคนผู้นี้มีรอยสักเป็สัญลักษณ์รูปแมงป่อง