ภายในป่า บรรยากาศมืดครึ้ม หยางหนิงมีสีหน้าตึงเครียดขณะยืมเอาแสงสว่างอันเยือกเย็นของดวงจันทร์มองดูพื้นที่เปียกแฉะของพื้นดินที่อยู่ข้างกายตน เขาย่อตัวลงไปและยื่นนิ้วออกไปปาดก่อนจะยกขึ้นมาใกล้จมูกเพื่อสูดดม วินาทีแรกที่ดมก็ได้กลิ่นคาวของเืสด จึงรู้ได้ว่ารอยนั้นคือคราบเืที่ไหลอาบอยู่บนพื้น
เขาชะเง้อหน้าออกไปมองทางด้านหน้า ก่อนจะเห็นเพียงแค่เืที่ปกคลุมอยู่ทั่วพื้นดินลากยาวไปยังส่วนลึกของป่าด้านหน้า หยางหนิงกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เขารู้ว่าจะต้องมีคนได้รับาเ็แล้วพยายามก้าวเดินเข้าไปในป่าลึกเป็แน่
แม้จะรู้ว่าอันตรายมาก ทว่าหยางหนิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะเดินตามรอยคราบเืเข้าไปยังป่าลึก เมื่อเดินไปได้ครู่หนึ่งเขาก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีซากศพกองกันอยู่ที่พื้นจำนวนมาก ขณะที่บริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบไร้ซุ่มเสียง เมื่อหยางหนิงเห็นซากศพจำนวนมากมายเรียงกองกันอยู่ตรงนี้ เขาก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าดด้านข้างมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง จึงก้มตัวลงไปหยิบมาไว้ในมือก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ซากศพเ่าั้ เมื่อสังเกตดูให้ดีก็พบว่าซากศพของคนที่นอนอยู่บนพื้นมีประมาณแปดเก้าคน นอกจากมีคนหนึ่งที่หัวกับร่างถูกแยกออกจากกันแล้ว ผู้อื่นก็นับว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี เมื่อเทียบกับศพที่ตายอย่างอเนจอนาถที่เขาพบสองคนก่อนหน้านี้แล้ว การตายของคนพวกนี้นับว่าปกติขึ้นมาก
ศพเหล่านี้ล้วนสวมชุดสีม่วง บางคนยังแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอีกด้วย หยางหนิงเห็นว่าบริเวณหว่างคิ้วของพวกเขาล้วนมีรอยสักรูปแมงป่องจึงรู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้เป็พรรคพวกเดียวกัน
บนพื้นไม่เพียงแต่มีซากศพกองระเกะระกะ อีกทั้งยังมีอาวุธหลากหลายประเภทวางกระจัดกระจายอีกด้วย นอกจากดาบใหญ่แล้วยังมี ตะขอเหล็ก มีดสั้น โซ่เหล็กและอาวุธอื่นๆ อยู่อีก เพียงมองแวบหนึ่งก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านอาวุธ
อีกทั้งพวกคนเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างกำยำ ทั้งยังเป็ยอดฝีมือ เพราะฉะนั้นหยางหนิงจึงคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนจำนวนมากเช่นนี้ถึงสามารถจบชีวิตลงในที่แห่งนี้ได้ในเวลาอันสั้น
ขณะที่เขากำลังเกิดความสงสัยอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากตำแหน่งที่ไม่ไกลกับตนมากนัก ร่างกายของหยางหนิงเกร็งแข็งขึ้นทันที ดาบในมือถูกกำเอาไว้แน่น และเมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นเพียงพุ่มไม้เถาวัลย์กองหนึ่งอยู่ด้านข้าง และเสียงนั้นก็ดังออกมาจากพุ่มไม้เถาวัลย์พุ่มนั้น
หยางหนิงกำดาบเอาไว้ในมือขณะค่อยๆ ย่างกายเข้าไปใกล้ ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่างยากลำบากดังออกมาจากหลังพุ่มไม้เถาวัลย์ได้อย่างชัดเจน เมื่อชะเง้อไปมองก็เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังหันหลังพิงใต้ต้นไม้สูงที่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ ภายใต้แสงจันทร์เรือนรางที่สาดส่องมานั้น หยางหนิงก็เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นสวมชุดคลุมตัวยาวสีเทา ผมยาวถูกรวบขึ้นบนกลางศีรษะด้วยผ้าสีเทาเช่นกัน โดยผมยาวสีขาวของเขานั้นดูราวกับหิมะขาวในฤดูเหมันต์ สะดุดตายิ่งนัก ทว่าแววตาคู่นั้นกลับดูเยือกเย็นผิดปกติ
เมื่อหยางหนิงมองเห็นคนผู้นี้ ก็นึกถึงชายชราในชุดเทาที่พวกคนชุดม่วงเอ่ยถามก่อนหน้านี้ได้ทันที หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้ คนที่พวกเขากล่าวถึงก็น่าจะเป็ชายชราผมขาวที่อยู่เบื้องหน้านี้
ชายชรามีลมหายใจติดขัดและรีบร้อน ทว่ากลับดูอ่อนแอมากเช่นกัน ดวงตาที่เดิมดูเยือกเย็นนั้น เมื่อมองเห็นลักษณะการแต่งตัวของหยางหนิงแล้ว แววตาก็เกิดเป็แสงประกายขึ้นชั่วขณะ พร้อมเอ่ยถามว่า “เ้า...เ้าเป็ใคร?”
น้ำเสียงเองก็แ่เบาและอ่อนแรงมาก เหมือนว่าตัวเขาเองก็กำลังได้รับาเ็อยู่
ทว่าหยางหนิงกลับคิดได้แล้วว่าในเมื่อคนชุดม่วงกำลังตามหาชายชราผู้นี้ เช่นนั้นพวกคนชุดม่วงสิบกว่าคนที่ดับชีวิตอย่างอนาถบนเขานี้ เกรงว่าจะต้องเป็ฝีมือของชายชราผู้นี้แน่
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางที่ดูไร้เรี่ยวแรงของชายชราแล้ว ก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อได้ว่าชายหนุ่มร่างกำยำหลายคนก่อนหน้านี้ล้วนจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขา
“ผู้...ผู้าุโ ท่านเป็อะไรไปงั้นหรือ?” หยางหนิงยังคงมีท่าทีหวาดระแวง “ท่านได้รับาเ็ใช่หรือไม่?”
ชายชราเอ่ยตอบเสียงเย็น “ข้าถามเ้าว่าเ้าเป็ใคร? เหตุใดถึงมาปรากฎตัวในที่แห่งนี้ได้?”
หยางหนิงรู้สึกว่าชายชราผู้นี้เหมือนมีไอเย็นกระจายออกมาจากร่างกาย ทำให้เขาไม่อยากจะอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไป จึงก้าวถอยหลังไปสองก้าว ทว่าอยู่ๆ ก็เห็นมือของชายชราผู้นั้นสั่นอย่างรุนแรง ก่อนที่เถาวัลย์เส้นหนึ่งจะพุ่งออกมาโจมตีหยางหนิงราวกับอสรพิษ
หยางหนิงสีหน้าคล้ำขึ้นในทันที เขากำดาบในมือของตนแน่นก่อนจะสะบัดดาบออกไปตัดเถาวัลย์เส้นนั้น ทว่าเถาวัลย์นั้นกลับเหมือนมีชีวิตเป็ของตัวเอง ดาบใหญ่ยังไม่ทันได้แตะถูกตัวมัน เถาวัลย์ก็ขดตัวเอียงไปด้านข้างก่อนที่หยางหนิงจะรู้สึกว่าข้อมือของตนถูกรัดเอาไว้แน่น เมื่อมองดูก็เห็นว่าเถาวัลย์เส้นนั้นได้พันอยู่รอบข้อมือของเขาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงจนหน้าซีด เขาคิดอยากจะดิ้นให้หลุด ทว่าแขนของเขากลับเหมือนแตะต้องถูกไฟฟ้าก็มิปาน ชั่วขณะหนึ่งมีแต่อาการเหน็บชา ก่อนที่ดาบยาวจะค่อยๆ ร่วงหล่นจากมือ โดยที่ทั่วร่ากายของเขาได้ถูกเถาวัลย์เส้นนั้นรัดแน่นจนไม่อาจขยับตัวได้แล้ว
ความสงสัยมักนำภัยมาให้
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าตนพันไม่ควรหมื่นไม่ควรจะขึ้นมาบนเขาที่มีป่าลึกเช่นนี้ ตอนนี้ดีเลย ละครสนุกก็ไม่ได้ดู อีกทั้งยังจะถูกชายชราผู้นี้ฆ่าทิ้งด้วย
“ตึ่ง”
เมื่อหยางหนิงถูกเถาวัลย์พันรัดตัวแล้ว เขาก็ถูกฟาดลงบนพื้นอย่างแรง การตกกระแทกพื้นครั้งนี้รุนแรงมาก ราวกับกระดูกจะแตกก็มิปาน รอจนหยางหนิงตะเกียกตะกายขึ้นนั่งได้แล้ว ถึงจะมองเห็นว่าชายชราได้เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าตนแล้ว แววตาเยือกเย็นคู่นั้นจับจ้องมาที่เขา ยามนี้หยางหนิงถึงจะรู้ว่าตนได้มานั่งเอนพิงหลังอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแล้ว
“เ้าไม่ใช่คนของวังห้าพิษ?” ชายชรามองสำรวจหยางหนิงรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุร้ายแต่กลับเป็เสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “เ้าเป็ใครกันแน่? หากไม่สารภาพออกมาตามจริง ตอนนี้...ตอนนี้ข้าก็จะฆ่าเ้าเสียเลย” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นเข้าหากัน ร่างกายสั่นสะท้านเบาๆ ราวกับว่าจะแสดงท่าทางข่มขู่ออกมา ไม่นานเขาก็หันหน้าไปทางอื่นและเสียง “อั๊ก” ก็ดังขึ้นพร้อมกับเืคำใหญ่ที่ถูกพ่นออกมา
ทันใดนั้นหยางหนิงก็ได้กลิ่นเืที่เหม็นคาวเป็อย่างมาก
ที่แท้ชายแก่ผู้นี้ก็ได้รับาเ็จริง เมื่อหยางหนิงเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาก็รีบเอ่ยตอบ “ผู้...ผู้าุโ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่พวกวัง...วังห้าพิษอะไรนั่น ข้าเพียงแต่บังเอิญเหยียบย่างเข้ามาบนเขานี้เท่านั้น”
พลางลอบยิ้มเย็นในใจและคิดว่าชายแก่ผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจมาก ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ เวลานี้จึงได้แต่ต้องทำตัวนอบน้อมเพื่อหาโอกาสหลบหนีแล้ว
วังห้าพิษที่ชายชราเอ่ยขึ้นนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายถึงสถานที่ใด
“บังเอิญ?” ชายชรายิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เ้าเด็กน้อย เวลาเช่นนี้ ใครเขาจะบังเอิญบุกขึ้นเขามากัน?” มุมปากของเขายังคงมีคราบเือยู่ ขณะที่ร่างกายก็ยังคงสั่นไปมาเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเยือกเย็นชวนให้คนรู้สึกหนาวสั่น
หยางหนิงที่นั่งอยู่บนพื้นก็ถอนหายใจออกมาพร้อมเอ่ยตอบ “ผู้าุโ ข้าก็แค่ยาจกเร่ร่อนคนหนึ่งที่พลัดหลงกับพรรคพวก ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเดินทางผ่านถนนหลวงมาเป็เวลาหลายวันแล้ว เพราะฉะนั้นจึงคิดอยากจะใช้ที่นี่เป็ทางลัดไล่ตามไป”
“เดินฝ่าูเาป่าลึกเช่นนี้?” ชายชราหัวเราะออกมาพร้อมเอ่ยต่อ “เ้าหนูมีความกล้าไม่เบานิ ไม่กลัวว่าจะถูกพวกเสือสิงห์ในที่แห่งนี้จับกินหรืออย่างไร”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าในเขานี้จะอันตรายถึงเพียงนี้” หยางหนิงรู้สึกเ็ปไปทั่วร่างกาย ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและเอ่ยต่อ “ผู้าุโ ท่านพักผ่อนก่อน ข้าไม่ขอรบกวนท่านแล้ว ข้าจะรีบลงเขาไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป ทว่าชายชรากลับเอ่ยเสียงเย็นออกมา “หยุดนะ!”
หยางหนิงรู้ดีว่าชายชราผู้นี้จะต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่ จึงได้แต่หมุนตัวกลับไปพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ผู้าุโ บนตัวข้าไม่มีเงินแม้แต่สลึงเดียว มีแต่ชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่งเท่านั้น ข้าเพียงแต่โชคไม่ดีย่างกายมายังสถานที่แห่งนี้ ท่านวางใจได้ คืนนี้ข้ามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และก็จะไม่มีทางเอ่ยออกไปโดยเด็ดขาด” พลางลอบคิดในใจว่า ‘พวกท่านเป็ใครมาจากไหนนั้นข้าก็ไม่รู้ ต่อให้คิดจะพูดก็ไม่รู้จะเริ่มพูดออกไปอย่างไร’
ชายชราเอ่ยต่อเสียงเย็น “ต่อให้เ้าพูดออกไปก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร” พลางยกมือขึ้นชี้นิ้วไปทางด้านหน้าและเอ่ยถาม “เ้ารู้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้คือใคร?”
หยางหนิงลอบคิดในใจว่าเื่นี้ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี พลางส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “ไม่รู้ ผู้าุโ ข้า...ข้าเองก็ไม่อยากรู้ให้มาก”
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดว่าพวกเขาคือคนของวังห้าพิษ เ้าลืมไปแล้วงั้นหรือ?” ชายชราส่งเสียงหึออกมาเบาๆ ในลำคอ “ต่อหน้าข้า ห้ามคิดจะเล่นตุกติกโดยเด็ดขาด...!” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ส่งเสียงไอออกมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายก็สั่นสะท้านไม่หยุด
‘ชายแก่ผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับาเ็อย่างหนัก’ หยางหนิงครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘หากคิดจะทำร้ายข้าจริง อย่างมากก็สู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง’ ทว่าหยางหนิงก็ยังคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผู้าุโเข้าใจผิดแล้ว คคความจริง...ความจริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือวังห้าพิษวังหกพิษ ข้าเพียงแต่คิดอยากข้ามผ่านูเาลูกนี้ไปให้ได้และหาพรรคพวกของข้าให้พบโดยเร็ว”
“เ้าอยากจะข้ามเขาลูกนี้ไป? หึหึ ดูเหมือนว่าเ้าจะไม่รู้ว่าตนใกล้จะตายแล้วกระมัง” ชายชราเอ่ยต่อเสียงเย็น “พวกคนวังห้าพิษล้วนแต่เป็ลัทธิมารที่มีฝีมือโเี้อำมหิต เพราะข้าเห็นความไม่ชอบธรรมจึงยื่นมือเข้าช่วย ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเกินพวกเขาไปและถูกพวกเขาไล่ฆ่ามาตลอดทาง แม้ว่าข้าจะสังหารคนเหล่านี้ทิ้งแล้ว แต่ว่า...!” ก่อนจะไอออกมาอย่างหนักอีกครั้ง รอจนหยุดอาการไอได้แล้วจึงค่อยเอ่ยต่อ “แต่ว่าบริเวณโดยรอบนี้พวกเขาจะต้องส่งคนอื่นไล่ตามมาอีกแน่ หากพวกเขาเห็นเ้า ก็จะต้องสังหารเ้าทิ้งแน่”
ชายชราผู้นี้ช่างไม่มีคุณธรรมเสียจริงๆ คนก็ถูกท่านสังหาร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เหตุใดข้าจะต้องรับฟังคำขู่ของท่าน?
เมื่อเห็นหยางหนิงเงียบไม่พูดไม่จา ชายชราก็คิดว่าหยางหนิงกำลังหวาดกลัวอยู่จึงเอ่ยต่อเสียงเบา “เ้าคุ้นชินกับเส้นทางบนเขานี้หรือไม่?”
หยางหนิงส่ายศีรษะ ชายชราจึงเอ่ยต่อ “เ้าไม่คุ้น แต่ข้ากลับคุ้นเคยเป็อย่างดี หากเ้าคิดอยากจะมีชีวิตต่อก็จะต้องฟังคำสั่งของข้า ข้าจะพาเ้าออกไปเอง มิเช่นนั้นเ้าก็หนีไม่พ้นการไล่สังหารของพวกเขาหรอก”
ท่านคุ้นเคย? หากไม่ใช่เพราะชายชราผู้นี้มีวรยุทธ์เลิศล้ำ หยางหนิงคงต้องพ่นหัวเราะออกมาแล้ว
เทือกเขาหัววัวนี้เรียงยาวติดกัน ป่าลึกนี้ก็แทบจะไม่มีถนนให้เดินได้ และเห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้เข้ามาในป่าลึกก็เพื่อที่จะหลบการไล่สังหารของคนเ่าั้ เกรงว่าแม้แต่ชื่อของเทือกเขานี้เขาก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ เวลานี้กลับเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่าตนรู้จักเส้นทางบนูเา พูดโม้โอ้อวดอย่างไม่เกรงใจจริงๆ หน้าของเขานี้ไม่ได้หนาธรรมดาๆ เสียแล้ว
ทั้งที่หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าเขาก็ยังคงต้องแสดงท่าทีไร้เดียงสาออกมาและเอ่ยตอบ “ผู้าุโรู้เส้นทางเดินของเทือกเขาลูกนี้จริงหรือ?”
ชายชรากลับเชิดหน้าขึ้นและเอ่ยตอบ “มิผิด อย่าเพิ่งพูดอะไรให้มาก ตอนนี้ข้าได้รับาเ็เล็กน้อย เดินได้ไม่ถนัด คนของพวกเขาไม่นานก็จะไล่ตามมาแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่ต่อนาน เ้าแบกข้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด”
หยางหนิงเข้าใจได้ทันทีว่าสาเหตุที่ชายชรายืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้นั้นก็ต้องเป็เพราะไม่อาจก้าวเดินได้แน่ เมื่อครู่เห็นเขากระอักเืออกมา อีกทั้งยังเป็กลิ่นสาบและเหม็นคาวมาก เขาจะต้องได้รับาเ็สาหัสเป็แน่ แม้ว่าเขาจะสังหารคนของวังห้าพิษไปจำนวนมาก ทว่าตัวเขาเองก็ถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้ายไม่เบาเช่นกัน เวลานี้ยังกล้าบอกว่าตนเองเพียงได้รับาเ็เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็คนพูดจาโกหกปลิ้นปล้อน
ชายชราที่หาว่าตนรู้จักเส้นทางบนเขานี้ดีและบอกว่าจะพาหยางหนิงเดินออกจากเขาไปนั้น ก็แน่นอนว่าเป็คำพูดที่เหลวไหลไร้ความจริง จุดประสงค์ก็เพียงแค่อยากให้หยางหนิงพาเขาออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเวลานี้ในเมื่อชายชราคิดอยากจะหลอกใช้เขา ก็จะไม่มีทางลงมือกับเขา ทว่าหากคิดจะหลบหนี เวลานี้ก็ไม่ใช่โอกาสที่ดีจริงๆ หากทำให้ชายแก่ผู้นี้โมโห ตัวเขาก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับมา พลางครุ่นคิดในใจว่าในเมื่อชายชรานั้นได้รับาเ็ เช่นนั้นรอให้อาการของเขากำเริบแล้วตนก็จะต้องมีโอกาสหลบหนีได้แน่
เมื่อชายชราเห็นว่าชั่วขณะหนึ่งหยางหนิงไม่ได้มีท่าทีจะขยับตัว เขาก็ส่งเสียงหึออกมาจากลำคอ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ทำไม? ไม่อยากออกจากเขาแล้ว?”
หยางหนิงรีบเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผู้าุโเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่กังวล...กังวลว่าจะแบกท่านไม่ไหว”
“เ้าวางใจเถิด ข้าตัวเบามาก” ชายชราเอ่ยต่อ “เร็วเข้า หากไม่ไปอีก เมื่อคนของพวกเขามาถึง ตอนนั้นต่อให้คิดอยากจะไปก็คงไปไม่ได้แล้ว”
หยางหนิงไม่รู้จะทำเช่นไรดีจึงได้แต่ก้าวเดินไปด้านหน้าและแบกชายชราขึ้นหลัง พูดแล้วก็แปลก ชายชราผู้นี้ดูแล้วก็ไม่ได้ผอมมาก ทว่าเมื่อแบกขึ้นหลังกลับรู้สึกเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้เขา ก็ยิ่งได้กลิ่มเหม็นคาวเด่นชัดมากขึ้น เวลานี้เมื่อแบกขึ้นหลัง ขอเพียงชายชราทำการหายใจเพียงแ่เบา กลิ่นเหม็นคาวนั้นก็อบอวลจนหยางหนิงเกือบจะสำรอกออกมา
“เดินไปทางนั้น!” ชายชราที่อยู่บนหลังของหยางหนิงก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านลึกของป่า “ข้าบอกให้เ้าทำอะไรเ้าก็แค่ปฏิบัติตาม แน่นอนว่าจะต้องออกจากเขาได้อย่างปลอดภัยแน่”
‘หากข้าฟังที่ท่านสั่งทั้งหมด เกรงว่าคงได้ถูกท่านฆ่าปิดปากแน่’ หยางหนิงลอบพึมพำเบาๆ ในใจ ทว่าปากกลับเอ่ยออกมาว่า “ผู้าุโ ท่านมีนามว่าอะไรงั้นหรือ? ควรเรียกท่านว่าอย่างไรถึงจะดี?”
“เรียกข้าผู้าุโมู่ก็พอ!” ชายชราเอ่ยต่อ “รีบไปเร็วๆ อย่าชักช้าให้เสียเวลา!”