ฮวาชีเยว่รู้ว่าอี๋เหนียงสองกำลังคิดอะไร คนกำลังคิดว่าฮวาชีเยว่พยายามหาคู่ครองเพื่อกอบกู้ชื่อเสียอันฉาวโฉ่ เพราะตอนนี้นางอยู่กับจี้เฟิง และจากสายตาของคนภายนอกแล้ว จี้จิงเองก็ชอบนาง
“อี๋เหนียงสอง ท่านคงล้อเล่นแล้ว ข้าเป็เพียงบุตรภรรยาเอกชื่อเสียงไม่ดีคนหนึ่ง เช่นนั้นจะไปเทียบเคียงหลานของท่านผู้มีชื่อเสียงดีเยี่ยมได้อย่างไร? ท่านย่า นี่เป็การแต่งงานของหลาน เช่นนั้นแล้วโปรดให้หลานได้ตัดสินใจเถอะเ้าค่ะ!”
ฮวาชีเยว่ยิ้มบาง แม้จะกล่าวอย่างไว้ตัว แต่รอยยิ้มนั้นเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนโง่ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจนั้นแล้ว นางจึงรู้ได้ทันทีว่าหลานผู้นี้มีแผนการของตนอยู่ อีกทั้งพักพลังนี้ จู่ๆ หลานของนางก็กลับกลายเป็ชาญฉลาดจนกลายเป็จุดสนใจของทั้งจวนได้
คนย่อมต้องมียอดฝีมือคอยสนับสนุนอยู่เป็แน่...ดังนั้นจะทำให้การสมรสครั้งนี้เป็ไปอย่างขอไปทีได้อย่างไร? ทั้งที่หลานสาวคนนี้อาจมีวิธีที่ดีกว่าอยู่ก็เป็ได้เช่นนี้? นางกังวลเป็กังวลว่าฮวาชีเยว่อาจแพ้ในการแข่งขันแต่คนกลับมิได้แพ้พ่าย ทั้งยังได้เงินคืนมาอีกกว่าสองหมื่นตำลึงเงิน
สำหรับคนทั่วไปแล้ว สองหมื่นตำลึงเงินนี้เป็จำนวนเงินที่สามารถใช้ไปได้ชั่วชีวิต
“ขึ้นอยู่กับแผนของชีเยว่แล้ว หากเ้ามีความคิดดีๆ ก็บอกข้ามา” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างพอใจ ฮวาชีเยว่สร้างความใให้นางไว้มากมายนัก
หากฮวาชีเยว่ยังสร้างความใให้นางได้มากกว่านี้ นางย่อมรับไว้อย่างยินดี
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าออกจากเรือนไปแล้ว ฮวาชีเยว่ก็อยู่เล่นกับเทียนซีต่อพักหนึ่ง สายตาอันกระจ่างของเทียนซีนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขอันไร้ขีดจำกัด ใบหน้าเป็สีชมพู ฮวาชีเยว่พอใจนัก นางขอสัญญาว่านางจะเป็มารดาผู้สมบูรณ์แบบให้กับเขา
ในคืนเดียวกันนี้
ณ เรือนกุ้ยฮวา ฮวาชีเยว่และเทียนซีกำลังทานอาหารเย็นกันอยู่โดยมีลู่ซิน โหย่วชุ่ยและชิวอวิ๋นคอยรับใช้
ชิวอวิ๋นได้หยุดพักไปแล้วหนึ่งวัน ตอนนี้นางจึงดูปลอดโปร่ง นางลดสายตาต่ำ แลดูว่าง่ายและสุภาพ
ในระหว่างที่เทียนซีกำลังจิบน้ำแกงหลงแดงอยู่ ดวงตากลมโตของเขาก็เบิกขึ้นด้วยความสุข เขายื่นถ้วยน้ำแกงให้ฮวาชีเยว่ ริมฝีปากและสายตาโค้งขึ้นราวจันทร์เสี้ยว
ฮวาชีเยว่นิ่งไป เทียนซีสนิทสนมกับนางมากขึ้นทุกวัน ในขณะที่ไฟแค้นในใจของนางเองก็โหมแรงขึ้นทุกวันเช่นกัน
ฮวาชีเยว่เผยอริมฝีปากดุจผลอิงเถาขึ้นจิบน้ำแกงแล้วลูบหัวเทียนซีอย่างแ่เบา “เทียนซี เ้าช่างน่ารักยิ่งนัก ข้าถูกใจน้ำแกงนี่มาก แต่เ้าเองก็ต้องดื่มให้มากแล้วจงแข็งแกร่งขึ้นเสีย เพื่อที่สักวันเ้าจะปกป้องมารดาได้!”
เทียนซีเผยรอยยิ้ม แล้วจึงก้มหน้าลงทานน้ำแกงจนเสร็จทันที
ฮวาชีเยว่ทานอาหารจนเสร็จ นางรู้สึกเติมเต็มอยู่ทุกวันหลังกลับมาเกิดใหม่ ทั้งการฝึกฝนหรือการอยู่กับเทียนซี เมื่อเทียบกับชาติก่อนที่นางถูกสามีหมางเมินและถูกทรมานจนตายแล้ว นางยังรู้สึกว่าชาตินี้นางมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมากนัก แม้จะต้องเสียอะไรไปมากก็ตาม
เหล่าสาวใช้เก็บกวาดอาหารที่เหลือ ฮวาชีเยว่จึงพาเทียนซีออกไปจากโถง ชิวอวิ๋นตามพวกนางไปด้วยเพราะมีเื่อยากรายงาน แต่สุดท้ายแล้วกลับมิได้เอ่ยปากออกมา
“โหย่วชุ่ยกับลู่ซิน เ้าทั้งสองไปเคลื่อนภาพแปดอาชาเข้าไปยังโถงเสีย”
ฮวาชีเยว่สั่งการเสียงแ่ สาวใช้ทั้งสองจึงถอยไป เมื่อเสียงฝีเท้าของพวกนางหายไปแล้ว ชิวอวิ๋นจึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮวาชีเยว่
“คุณหนูใหญ่...บ่าว...มีเื่จะรายงานเ้าค่ะ!”
สีหน้าชิวอวิ๋นดูมีความอับอายแฝงอยู่ นางมิกล้าสบตาฮวาชีเยว่
“ว่ามา”
ชิวอวิ๋นกล่าวว่านางวางยาในน้ำแกง เมื่อเทียนซีได้ยินเช่นนี้แล้วเขาจึงมองนางอย่างเ็า ท่านแม่ของเขาเป็คนดีนัก เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้อื่นจึงพยายามวางยานางอยู่เสมอ
“คุณหนูใหญ่...ตัวบ่าวในตอนนั้นเพียงหลงไปตามคำล่อลวงของคุณหนูรองเท่านั้น! บ่าวเป็เด็กกำพร้า บ่าวย่อมไม่มีวันถูกท่านผู้นั้นข่มขู่หรือหลอกใช้...บ่าวเพียงหวังรับใช้ท่านเท่านั้นเ้าค่ะ คุณหนูโปรดให้อภัยการตัดสินใจอันโง่เขลาของบ่าวด้วย!”
ดวงตาของชิวอวิ๋นแดงขึ้นและเปี่ยมด้วยน้ำตา กระแทกศีรษะใส่พื้นรุนแรง
ฮวาชีเยว่ยกถ้วยชาใกล้มือขึ้นมาแล้วมองดอกท้อที่อยู่ภายในด้วยสายตาดูสงบนิ่ง “ชิวอวิ๋น เ้าตัดสินใจจะติดตามข้าแล้วหรือ? ถ้าเ้าตัดสินใจไปเช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปไม่ยอมให้เ้าทรยศข้าอีก...มิเช่นนั้น...”
ฮวาชีเยว่หรี่ตาที่ดูราวจันทร์เสี้ยวบนผืนน้ำของนางลงพลางมองชิวอวิ๋นผู้คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“คุณหนูใหญ่ บ่าวตัดสินใจแล้วเ้าค่ะ บ่าวจะไม่ทรยศท่านอีกจนชีวิตนี้ด่าวดิ้นเ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นความตั้งมั่นของชิวอวิ๋นแล้ว ฮวาชีเยว่จึงบอกให้นางลุกขึ้น “หากคุณหนูรองมีท่าทีแปลกๆ หรือสั่งให้เ้าทำอะไรแล้ว จงมารายงานข้าเสีย”
ชิวอวิ๋นตอบรับด้วยท่าทีปลื้มปีติอย่างรวดเร็ว คำพูดของฮวาชีเยว่สื่อให้เห็นว่านางได้รับการยกโทษแล้ว
เป็ตอนนี้เองที่ลู่ซินกับโหย่วชุ่ยนำกล่องแดงและภาพแปดอาชาเข้ามา กล่องนี้ไม่หนักมากแต่ดูหรูหราทรงคุณค่า
ฮวาชีเยว่สั่งให้ลู่ซินเปิดกล่องดูภายใน เมื่อได้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิม นางจึงสั่งให้ทั้งสองนำทั้งสองสิ่งเข้าไปในห้อง
“คุณหนู เหตุใดจึงสั่งให้ทั้งสองนำสิ่งเหล่านี้เข้าไปในห้องหรือเ้าคะ”
ลู่ซินและโหย่วชุ่ยเองก็ไม่รู้ถึงเื่นั้น
ฮวาชีเยว่มีสีหน้าสบายๆ “มันเป็สมบัติล้ำค่า ข้าจะทิ้งมันไว้ในห้องสมุดได้อย่างไร? ”
สิ่งนี้อาจกลายเป็ศรที่อี๋เหนียงสองใช้ต่อต้านนางได้ นางจึงต้องเตรียมการให้พร้อมสำหรับทุกสิ่ง อีกทั้งนางเองก็ได้ไปถึงจุดสูงสุดของระดับเมฆาทะยานแล้ว เป็ผลให้นางสามารถจับััมือของสังหารแม้ในยามหลับ
ดังนั้นนางจึงต้องพยายามรักษาภาพเขียนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นี้เอาไว้ คิดถึงความรักที่ฮ่องเต้มีให้ภาพเขียนแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับภาพนี้หัวนางคงได้หลุดจากบ่าเป็แน่
ฮวาชีเยว่รู้ดีว่ายังมีผู้มีวรยุทธ์เพียงไม่กี่คนที่เหนือกว่านาง นางคิดว่าฮ่องเต้เองคงมิได้สนใจจะเอาชีวิตนางมากนัก แต่ก็ไม่คิดเสี่ยงเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ก็มีการเลี้ยงภายในเล็กๆ ที่ตำหนักชิ่งชุนในวังหลวง
ฮองเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวหรูหรา รายล้อมด้วยองค์หญิงแสนรักทั้งสอง องค์หญิงฮุ่ยหลิงและองค์หญิงฮุ่ยเจิน องค์ชายมิได้ถูกเชิญ แต่นั่นเป็ประสงค์ของฮองเฮาซึ่งองค์หญิงทั้งสองก็ทราบดี
ในโถงหลักของตำหนัก มีวงดนตรีกำลังเล่นเพลงเบาๆ และอบอุ่นที่เรียกว่าหยางชุนแห่งเดือนสาม บรรเลงด้วยกู่เจิ้งและเสริมด้วยเสียงเครื่องเป่าเริงร่า ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายดีนัก
ฮองเฮาและองค์หญิงทั้งสองสนทนากันด้วยเสียงหัวเราะ องค์หญิงฮุ่ยหลิงกะพริบตา มองซุ่ยเหลียนข้างกายองค์หญิงฮุ่ยเจิน
ซุ่ยเหลียนเข้าวังมาั้แ่อายุสิบเอ็ด ตอนนี้นางย่างเข้าวัยสิบห้า กลายเป็ผู้ดูน่าทะนุถนอม
แต่นางกำนัลในวังหลวงอย่างมากก็เป็ได้เพียงอนุภรรยาเท่านั้น ไม่มีวันเป็ภรรยาเอกได้ หนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือเพราะนางเป็นางกำนัล และอีกหนึ่งคือเพราะนางชราแล้ว
แน่นอนว่านางกำนัลทั่วไปนั้นมิอาจมีความสุขในครอบครัวปกติได้
“ซุ่ยเหลียน ปิ่นดอกท้อของเ้าช่างงามนัก ช่วยขับดันความงดงามของเ้าให้โดดเด่นได้ดียิ่ง” องค์หญิงฮุ่ยหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุ่ยเหลียนจึงทำตัวไม่ถูกกับคำชมที่คาดไม่ถึงนี้ นางลดคิ้วต่ำพลางโค้งคำนับ “ขอบพระคุณสำหรับคำชมเ้าค่ะ องค์หญิง” ใบหน้านางกลายเป็สีชมพู องค์หญิงฮุ่ยเจินลอบมององค์หญิงฮุ่ยหลิง แต่องค์หญิงฮุ่ยหลิงไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับไป
สีหน้าของฮองเฮาพลันเย็นเยียบลง นางมององค์หญิงฮุ่ยหลิงด้วยสายตาเ็าพร้อมดุนางอย่างจริงจัง “หลิงเอ๋อร์ ทั้งเ้าและพี่ของเ้าต่างก็เป็บุตรีของข้า ข้าไม่อยากเห็นพวกเ้าบาดหมางกันเอง”
องค์หญิงฮุ่ยหลิงสวมรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างเป็ธรรมชาติ เมื่อเทียบกับองค์หญิงฮุ่ยเจินแล้ว นางมีความสามารถในการเอาใจผู้คนและการโปรยคำหวานมากกว่า
ส่วนองค์หญิงฮุ่ยเจินนั้นเปรียบได้กับราชินีเ้าอารมณ์ นางไม่รู้จักวิธีโปรยคำหวาน พูดจาด้วยท่าทีถือดีอยู่เสมอ และไม่เคยแสดงเสน่หาให้ใคร
“เพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉันจะพยายามสนิทกับท่านพี่เพคะ”
เมื่อััได้ถึงสายตาของฮองเฮา ฮุ่ยเจินจึงยิ้มแล้วมองฮองเฮาอย่างอ่อนโยน “เสด็จแม่ เมื่อคราก่อนพวกเราเพียงใจร้อนกันเกินไป! อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ในวังกันมาหลายปีแล้ว ทั้งพวกเรายังศึกษาปรัชญาขงจื๊อและกฎสตรีจนช่ำชอง การศึกษาของพวกเราเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมากมายนัก ดังนั้นแล้วเราจะไม่ปล่อยให้เื่เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกเพคะ”
ได้ยินเช่นนั้น ฮองเฮาจึงะโด้วยเสียงต่ำ “เหนือกว่าหลายเท่าหรือ? หากการศึกษาของพวกเ้าเหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เหตุใดเ้าจึงกล้ามีปากเสียงกันต่อหน้าฝูงชนมากมายเช่นนั้นได้? ข้าไม่เห็นผลของความเหนือกว่าคนทั่วไปในด้านการศึกษาของพวกเ้าเลยแม้แต่น้อย! รู้หรือยังว่าเื่ของพวกเ้าโจษจันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว? หากมันยังเป็เช่นนี้ต่อไป แล้วพวกเ้าจะยังมีอะไรเหลือในโลกใบนี้อีกหรือ?”
ฮุ่ยหลิงและฮุ่ยเจินในิ่งไป พวกนางคิดว่าการออกไปเล่นงิ้วในระหว่างที่าเ็อยู่จะช่วยดึงความเชื่อใจคืนมาจากเหล่าไพร่ฟ้า และช่วยรักษาชื่อเสียงของพวกนางได้ พวกนางคิดว่านั่นคงช่วยให้ฮองเฮาทรงสงบใจลงบ้าง มิคาดฮองเฮาจะไม่เย็นใจลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังใช้งานเลี้ยงนี้สั่งสอนพวกนางซ้ำอีกต่างหาก
ทั้งสองคุกเข่าอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่ พวกลูกผิดไปแล้ว โปรดสงบใจเถอะเพคะ หาไม่จะกระทบร่างกายของท่านเอาได้!”
เมื่อได้เห็นท่าทีใของทั้งสองแล้ว ฮองเฮาจึงคลายความโกรธลง คนทั่วเมืองหลวงต่างก็รู้เื่นี้กันหมดแล้ว เป็ผลให้ชื่อเสียงของพวกนางถึงคราวย่อยยับ ไม่ว่าพวกนางจะพยายามทำดีเพื่อสร้างชื่อเสียงดีๆ ขึ้นมาใหม่มากเพียงไหน ความจริงที่ว่าพวกนางเข่นฆ่ากันเองในภัตตาคารวั่งเยว่ก็จะไม่มีวันถูกลืม
ฮองเฮาทรงเสียพระทัยนัก หากรู้ว่ามันจะเป็เช่นนี้ นางคงไม่ตามใจพวกนางมากนัก ปัญหานี้เกิดขึ้นมาจากอารมณ์อันรุนแรงของพวกนางเอง อันเป็เื่ที่ฮองเฮาไม่อยากยอมรับนัก
“ลุกขึ้น หากยังมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ครั้งหน้าข้าจะลดขั้นพวกเ้าให้กลายเป็สามัญชนด้วยมือข้าเองเสีย”
เสียงของฮองเฮานั้นเ็า สร้างความใให้องค์หญิงทั้งสองมากนัก พวกนางมิอาจทำตามใจชอบได้อีก จากมุมมองของพวกนางแล้ว ฮองเฮาไม่เคยโกรธมากขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าที่ผ่านมาพวกนางจะทำผิดพลาดมากเพียงใด ฮองเฮาก็จะพยายามปกป้องพวกนางอย่างเต็มที่เสมอมา
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป อย่างไรเสียพวกนางก็เสียหน้าต่อสามัญชนมากมาย เป็ตอนนั้นเองที่องค์หญิงฮุ่ยหลิงรู้สึกอธิบายไม่ถูก แม้นางจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนักกับผู้เป็พี่ แต่เหตุใดเมื่อวานจึงเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นได้กันเล่า?
นางไม่คิดปรารถนาทำร้ายผู้เป็พี่ แต่ในชั่วขณะนั้น จู่ๆ ความชิงชังทั้งหลายก็ปะทุขึ้นในใจราวกับน้ำพุ นางควบคุมตัวเองไม่ได้ คงเป็โทสะนั้นเองที่ทำให้นางขาดสติไป
องค์หญิงทั้งสองนั่งลงด้วยร่างสั่นระริก แล้วฮองเฮาจึงมององค์หญิงอย่างรักใคร่ บุตรีผู้นี้คล้ายคลึงกับนางอย่างที่สุด นางจึงภูมิใจในตัวนาง แต่นางต้องอยู่ใต้กฎของวัง
“เจินเอ๋อร์ แผลของเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
“ขอบพระคุณในความห่วงใยเพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉันสบายดี เหล่าสาวใช้เพียงตีโพยตีพายกับแผลของหม่อมฉันมากเกินไปเท่านั้น” องค์หญิงฮุ่ยเจินยิ้มบาง มือทั้งสองของนางถูกผ้าพันไว้ทำให้ดูราวกับได้รับาเ็รุนแรง
ดวงตาของฮองเฮาฉายแววเ็ป แต่นางเพียงก้มหัวลงเล็กน้อย “ข้าพยายามมอบสิ่งที่ดีให้กับพวกเ้า ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้น การวิวาทกันในที่สาธารณะนับเป็เื่น่าอับอายนัก ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้พวกเ้าทั้งสอง หากพวกเ้ายังทำอีก พวกเ้าจะได้ซาบซึ้งถึงกระดูกถึงผลลัพธ์ของการกระทำนั้นแน่”
องค์หญิงฮุ่ยเจินและองค์หญิงฮุ่ยหลิงตอบรับอย่างระแวดระวัง ทั้งสองต่างก็ผ่อนลมหายใจแห่งความสบายใจ เสียงดนตรียังคงติดอยู่ในหูพวกนางต่อไปอีกสักพัก แล้วบรรยากาศจึงเริ่มสนุกสนานขึ้นมาอีกคราว