ทว่า องค์หญิงฮุ่ยเจินนั้นช่างสังเกต นางได้เห็นว่าฮุ่ยหลิงคอยลอบมองซุ่ยเหลียนอยู่เป็ระยะ ราวกับกำลังพยายามส่งสัญญาณบางอย่าง องค์หญิงฮุ่ยเจินผู้เป็คนขี้ระแวงโดยธรรมชาติจึงรู้สึกใ แต่มิได้กล่าวอะไรมาก
หลังมื้อค่ำจบลง องค์หญิงฮุ่ยเจินจึงกลับเรือนของนาง เมื่อปิดประตูเรือนแล้ว นางพลันตบหน้าซุ่ยเหลียนอย่างรุนแรง
ซุ่ยเหลียนที่งงงวยไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไร
แล้วนางจึงนิ่งไปเมื่อไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงจึงโกรธนาง แต่เมื่อรวมสถานการณ์ตอนนี้เข้ากับความเข้าใจในตัวองค์หญิงของนางแล้ว เหงื่อกาฬเย็นเยียบพลันไหลออกมา
“องค์หญิง...หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดไปหรือเพคะ?”
ซุ่ยเหลียนน้ำตาหลั่งรินมององค์หญิงฮุ่ยเจินผู้กำลังบันดาลโทสะอยู่เบื้องหน้านาง
องค์หญิงฮุ่ยเจินเพิ่งถูกฮองเฮาดุด่ามาจึงอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็นซุ่ยเหลียนและองค์หญิงฮุ่ยหลิงส่งสายตาให้กัน ความไม่พอใจจึงเข้าครอบงำหัวใจนาง
“เ้าทำอะไรผิดไปงั้นหรือ นางแพศยา! เหตุใดเ้าจึงไปมีท่าทีสนิทสนมกับฮุ่ยหลิงได้?”
องค์หญิงฮุ่ยเจินะโอย่างเ็า คลื่นแห่งโทสะทะลักออกจากสายตา “ทรยศข้าไปหามันหรือ? อยากทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับฮองเฮาหรืออย่างไร?”
องค์หญิงฮุ่ยเจินนั้นเป็คนอารมณ์ร้อนมาแต่ไหนแต่ไร และไม่เคยเป็คนใจเย็นมาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับโกรธมากยิ่งขึ้นจนถึงขั้นตบหน้าซุ่ยเหลียน
ใบหน้าของซุ่ยเหลียนบวมเป่งเป็สีแดง มีเืซึมจากริมฝีปาก “ไม่ ไม่ใช่นะเพคะ...องค์หญิงทรงเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันจะไปทรยศท่านได้อย่างไรกัน!”
“แต่...นางชมว่าปิ่นดอกท้อของเ้าสวย!” องค์หญิงฮุ่ยเจินแค่นเสียง เฮ่อเสียงที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวโดยมิกล้าส่งเสียง
คำพูดต่างๆ นั้นไร้ความหมายกับองค์หญิงฮุ่ยเจินในตอนนี้ เพราะนางมิรับฟังสิ่งใดอีกแล้ว
“ไม่นะเพคะ...องค์หญิง ท่านเพียงกำลังถูกองค์หญิงฮุ่ยหลิงหลอกเท่านั้น...นางอยากทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราเพคะ!” ซุ่ยเหลียนหวาดกลัวนักจนนางทิ้งร่างลงคุกเข่าพลางโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างรุนแรงเพื่อขอความเมตตา นางดีใจนักเมื่อองค์หญิงฮุ่ยหลิงกล่าวชมนาง และคาดไม่ถึงว่าคำชมนั้นเองที่จะนำความโชคร้ายมาให้นางเมื่อกลับถึงจวนขององค์หญิง
“ฮึ แล้วเ้ามีประโยชน์อันใดกัน? เหตุใดนางถึงต้องอยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรา?” องค์หญิงฮุ่ยเจินแค่นเสียงแล้วดึงปิ่นดอกท้อออกจากผมของซุ่ยเหลียน แล้วใช้มันกรีดหน้าซุ่ยเหลียน ก่อให้เกิดาแอาบเืลึกลงบนใบหน้าของนางทันที
ซุ่ยเหลียนอดทนต่อความเ็ปโดยมิได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น องค์หญิงฮุ่ยเจินจึงหรี่ตา
“องค์หญิง ได้โปรด...ได้โปรดอย่าถูกองค์หญิงฮุ่ยหลิงหลอกเลยเพคะ! นางเพียงอยากทำลายความสัมพันธ์ของเรา แล้วใช้หม่อมฉัน...” ซุ่ยเหลียนร่ำไห้ นางคอยรับใช้องค์หญิงฮุ่ยเจินด้วยความภักดีมาโดยตลอด นางคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็จุดจบของนาง
“องค์หญิง...องค์หญิงเพคะ! โปรดเห็นแก่หม่อมฉันให้อภัยซุ่ยเหลียนเถอะเ้าค่ะ!” เซามามาผู้กำลังเดินออกมาได้เห็นเหตุการณ์นี้ นางจึงหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว รีบรุดเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าองค์หญิงทันที
เซาซุ่ยเหลียนเป็หลานของเซามามา และเป็เซามามาผู้นี้เองที่เสนอให้นางได้เข้ามาทำงานในวังหลวง
องค์หญิงฮุ่ยเจินแค่นเสียงพลางเล่นกับปิ่นดอกท้ออันงดงามในมือ “ใครอนุญาตให้เ้าติดสิ่งนี้กัน? หืม? ซุ่ยเหลียน เ้าลืมกฎวังแล้วหรือ? บริวารเช่นเ้ามิได้รับอนุญาตให้ประดับเพชรพลอยมีสีใดๆ...อืม มีรอยกรีดอีกสักรอยก็คงพอ! แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
กล่าวจบแล้วนางก็กรีดซุ่ยเหลียนอีกคราว ก่อให้เกิดรอยแผลอาบเืบนใบหน้าอันบวมเป่ง เป็ผลให้นางดูอัปลักษณ์และน่ากลัวขึ้นมา
แต่ซุ่ยเหลียนกลับร่ำไห้แล้วโขกศีรษะลงบนพื้น “ขอบพระทัยองค์หญิงที่มีความเมตตา! โปรดเชื่อว่าหม่อมฉันจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์...”
เมื่อเห็นความจริงใจนั้นแล้ว องค์หญิงฮุ่ยเจินจึงแค่นเสียง นางทิ้งปิ่นผมลงบนพื้น เหยียบมันจนหัก แล้วจึงจากไป
ซุ่ยเหลียนและเซามามาต่างก็แนบศีรษะกับพื้นไปจนเสียงฝีเท้าขององค์หญิงลับหายไป
เซามามากุมมืออันสั่นเท่าของซุ่ยเหลียน สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักและความสงสาร เซามามามิเคยได้แต่งงาน นับแต่หลานสาวคนนี้เข้าวัง นางก็มองอีกฝ่ายราวบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด
แต่วันนี้ รูปโฉมของซุ่ยเหลียนถูกทำลาย จิตใจของนางจึงรู้สึกเ็ปนัก ทว่า นางก็ยังคงส่งเสียงกระซิบ “ซุ่ยเหลียน ลุกขึ้น ให้ข้าได้ทำแผลให้เ้า...”
ซุ่ยเหลียนยังคงหวาดหวั่นจากความโหดร้ายขององค์หญิงฮุ่ยเจิน แม้ตอนนี้นางจะยังมีความชิงชังและความทรมานหลงเหลือ แต่นางก็มิกล้าเอ่ยคำใดออกมา
เหล่าผู้คนที่ล้อมพวกนางอยู่ก็แยกย้ายไปเช่นกัน จากนั้นเซามามาจึงพาซุ่ยเหลียนมายังห้องใต้หลังคาเล็กๆ ของนาง แล้วนำหม้อใส่น้ำออกมาเพื่อทำความสะอาดแผลของซุ่ยเหลียนอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิงช่างโหดร้ายนัก...” เซามามารำพัน แม้รอบกายจะเงียบสงบ แต่เซามามาก็ยังหันซ้ายหันขวาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความระแวง จากนั้นจึงปิดหน้าต่างแล้วกระซิบให้ซุ่ยเหลียนได้ยิน “ซุ่ยเหลียน ป้าของเ้ามีความลับอยู่...”
จากนั้นพักใหญ่ ซุ่ยเหลียนจึงมองเซามามาอย่างเงียบงันหลังได้ฟังเื่ของนาง
“ไม่ต้องห่วงเ้าค่ะท่านป้า...เหลียนเอ๋อร์...จะจำเอาไว้”
เซามามาพยักหน้าแล้วมิได้ตอบรับอะไรอีก หลังจากนั้นพักหนึ่งจึงมีคนมาเคาะประตู มามาเดินไปเปิดประตูแล้วได้พบฝูจิน ผู้เป็นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงฮุ่ยเจิน
ฝูจินเป็นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงฮุ่ยเจิน ทั้งยังมีวรยุทธ์ แม้ความสามารถจะมิได้โดดเด่นอะไร แต่นางก็เป็ที่นิยมในหมู่องค์หญิงและมีสถานะสูงส่งในระดับที่ซุ่ยเหลียนและเฮ่อเสียงมิอาจเทียบได้
ฝูจินยิ้มพลางส่งเสียงกระซิบ “เอ ซุ่ยเหลียน ข้าได้ยินมาว่าเ้าทำให้นายหญิงโกรธ ข้าจึงมาเยี่ยม เ้าทำอะไรไปล่ะ บางทีข้าอาจช่วยเ้าได้!”
เซามามาและซุ่ยเหลียนต่างก็งงงันนัก ฝูจินมักมีท่าทีถือดีและดูแคลนเหล่าสาวใช้อื่น แล้วเหตุใดท่าทีของนางในวันนี้จึงเปลี่ยนไป?
หรือองค์หญิงฮุ่ยเจินจะมิได้บอกความจริงกับนาง นางจึงมาที่นี่เพื่อที่จะได้รู้เช่นนั้นหรือ?
“ทำไมพวกเ้าจึงมองข้าแบบนั้นกัน? ข้าแค่อยากรู้ให้ละเอียดขึ้นเท่านั้นเอง ฮะๆ!” ฝูจินยิ้มแล้วว่าต่อ แล้วยัดกระดาษใส่มือซุ่ยเหลียนพลางมองใบหน้าอันบวมแดงของนาง
ซุ่ยเหลียนอึ้งไป นางก้มมองแล้วจึงได้รู้ว่ามันมีค่ามากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน
เซามามาและซุ่ยเหลียนต่างก็อึ้งไป พวกนางยืนนิ่งค้างไปนานจนลืมตอบสนอง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ฝูจินจึงแสยะยิ้ม บริวารโดยทั่วไปนั้นแทบไม่มีทางหาเงินได้มากถึงหนึ่งพันตำลึงเงินแม้จะใช้เวลาชั่วชีวิต ผู้ใดกันที่จะปฏิเสธรางวัลอันมหาศาลเช่นนั้นได้?
สายตาของเซามามาพร่ามัวลงพลางเชิญให้ฝูจินลงนั่ง แล้วจึงเริ่มเสวนา
วันถัดมา
ฮวาชีเยว่กำลังจะพาเทียนซีไปยังจวนของหนานอ๋อง เนื่องจากเป็วันถอนพิษพวกนางจึงต้องไปถึงจวนของหนานอ๋องก่อนยามซื่อ
เมื่อพวกนางออกจากจวน ก็ได้ยินเสียงนินทาของเหล่าบริวารเข้าว่าอี๋เหนียงสามและฮวาเสี่ยวอีได้ตัดสินใจไปขอรับการรักษาที่จวนหนานอ๋อง
ฮวาเสี่ยวอีได้เสียรูปโฉมไป แต่หากหนานอ๋องตัดสินใจรักษานางแล้ว นางก็คงได้รูปลักษณ์อันงดงามและเยาว์วัยของนางกลับมาเป็แน่
แต่พวกนางก็ต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อยหนึ่งแสนตำลึงเงิน แล้วอี๋เหนียงสามไปเตรียมเงินมากมายเพียงนั้นจากที่ใด
ประกายอันเย็นเยียบทอผ่านสายตาของฮวาชีเยว่ เมื่อนางรู้สึกว่าอี๋เหนียงทั้งสองล้วนแต่มือสกปรกไม่ต่างกัน
แต่ความละโมบเป็ส่วนหนึ่งของมนุษย์ ขอเพียงพวกนางไม่จู่โจมเข้ามา ฮวาชีเยว่ก็ไม่คิดจะทำอะไรอีกฝ่าย
ข่าวเื่หลี่กงกงมาเยือนจวนสกุลฮวาเมื่อวานนี้ ตกรางวัลฮวาชีเยว่เป็เงินตราได้แพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว เหล่าบริวารต่างก็มองฮวาชีเยว่ด้วยความริษยา
พวกเขาต่างก็เสียใจ หากพวกเขาปฏิบัติกับฮวาชีเยว่ดีกว่านี้ั้แ่แรก พวกเขาอาจได้รางวัลไปบ้างแล้ว
คุณหนูใหญ่ดูเป็ผู้เมตตายิ่ง แต่ละครั้งนางมักให้เงินไม่น้อยกว่าร้อยถึงห้าร้อยตำลึง ใครเล่าที่จะไม่สนใจ?
ณ ตอนนี้ เหล่าบริวารต่างก็ปฏิบัติกับฮวาชีเยว่ราวกับฝูงผึ้งตอมดอกไม้ คอยเอาอกเอาใจนางไม่หยุด
ฮวาชีเยว่ยกมือพลางก้าวออกไปอย่างมั่นใจ นางต้องรีบไปจวนของหนานอ๋องแล้วเพราะพวกนางออกตัวสาย นี่เป็ความผิดของนางเองเพราะนางนั่งฝึกฝนอยู่ในห้องแทนที่จะเป็ในโลกอื่น ด้วยความที่นางอยากอยู่กับเทียนซีให้มากขึ้น
เหล่าบริวารจากไปด้วยความเสียดาย แต่ฮวาชีเยว่ก็ได้ทราบจากชิวอวิ๋นแล้วว่าฮวาเมิ่งซือล้มป่วยไปเมื่อวาน นางเข้าใจดีว่าอาการป่วยนั้นเป็อาการป่วยทางใจ อันเกิดจากโทสะ
ฮวาชีเยว่ผู้ฉาวโฉ่มาจนถึงเมื่อไม่นานนี้กลับได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ เื่เช่นนี้มีหรือที่จะไม่ทำให้ฮวาเมิ่งซือผู้ถือดีและหลงตัวเองผู้นั้นล้มป่วย?
หนึ่งเค่อให้หลัง ฮวาชีเยว่และเทียนซีก็มาถึงจวนของหนานอ๋อง ครั้งนี้มีลู่ซินและโหย่วชุ่ยตามมาด้วย ยามเฝ้าประตูมองฮวาชีเยว่ด้วยสายตาแปลกประหลาด แม้เขาจะได้เห็นนางทุกสองวัน แต่นางกลับดูเปลี่ยนไปทุกครั้ง
จวนของหนานอ๋องนั้นหรูหรายิ่งกว่ากว่าจวนสกุลฮวา สาวใช้ทั้งสอง ลู่ซินและโหย่วชุ่ยต่างก็เบิกตากว้างพลางมองสำรวจจวน แล้วจึงส่งเสียงซุบซิบกัน “สุดยอด จวนของหนานอ๋องช่างหรูหรายิ่งนัก หรูหรายิ่งกว่าจวนสกุลฮวาเสียอีก!”
“ข้าได้ยินว่าหนานอ๋องนั้นเป็ผู้เปี่ยมด้วยความลับ แม้เขาจะเป็เพียงสามัญชน แต่เขาก็มีวิชาแพทย์สูงส่งจนแม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังยอมรับ เขาจึงถูกแต่งตั้งเป็หนานอ๋อง!”
“ใช่ การมีผู้ที่ไม่ใช่ราชวงศ์ได้กลายเป็หนานอ๋องนั้นนับว่ายอดเยี่ยมนัก!” สายตาของลู่ซินผู้เป็สาวใช้เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง อดที่จะเห็นหนานอ๋องแทบไม่ไหว
ฮวาชีเยว่เม้มปากแล้วยิ้ม แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในโถงพลางจับมืออันอ่อนนุ่มของเทียนซีไว้
นางคาดไม่ถึงว่าจะได้พบจี้เฟิงและจี้จิงที่นี่ อวิ๋นสือโม่กำลังดื่มชาอยู่กับพวกเขาในโถง เมื่อได้เห็นฮวาชีเยว่และสาวใช้ของนางแล้ว เขาจึงลุกขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
อวิ๋นสือโม่มองสำรวจเทียนซี เด็กน้อยดูมีเนื้อหนังขึ้นในเวลาเพียงสองวัน
แต่รูปลักษณ์ของเขาก็ดูหล่อเหลาขึ้นพร้อมเนื้อหนังนั้นเช่นกัน ใบหน้าเขานุ่มนิ่ม ทั้งยังอ่อนหวานแบบที่คนมากมายชอบ เมื่อได้เห็นเขาแล้ว จี้จิงนึกอยากวางถ้วยชาเข้าไปหยิกและอยากหอมแก้มเขาขึ้นมาทันที แต่อวิ๋นสือโม่ก็ดึงเทียนซีหลบมาก่อน
“หญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน” อวิ๋นสือโม่ดุนางอย่างเ็า แล้วเทียนซีจึงทำสีหน้าแปลกๆ เพื่อแกล้งจี้จิง ก่อนจะเข้าไปยังโถงในด้วยกันกับอวิ๋นสือโม่
“มาสิ มาเลย พี่ชีเยว่ มาดื่มชาด้วยกันเถอะ วันนี้พวกเราไม่ต้องไปสนาม ไม่จนกว่าจะรอบสุดท้าย! นั่นแปลว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น!” จี้จิงยิ้ม ในขณะที่จี้เฟิงมองฮวาชีเยว่ด้วยท่าทีอ่อนโยนโดยไม่คิดปกปิดความพอใจในสายตา
ยิ่งนางมองฮวาชีเยว่มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ช่างสงบและสุขุมนัก ไม่มีท่าทียั่วยวนของนางสำส่อนเลย
“จริงด้วย จิงเอ๋อร์ เ้าสนใจจะมาที่จวนสกุลฮวาบ้างหรือไม่” ฮวาชีเยว่นั่งลงพลางเชิญชวนจี้จิง
เพราะจี้จิงและจี้เฟิงช่างดีกับนางนัก ฮวาชีเยว่จึงรู้สึกว่าพวกเขาจริงใจกับนาง หลังจากเกิดใหม่แล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำดีกับนาง เพราะนางมีชื่อเสียในฐานะของคนขี้แพ้ทั้งยังมากราคะ