บางทีในสายตาของอาจารย์อวี้ ความทะเยอทะยานของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้คงไม่ต่างกับการประกาศเป้าหมายในชีวิตอย่างอาจหาญของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว นี่กลับเป็ปณิธานชั่วชีวิตของนาง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นใช้ชีวิตในสนามรบมาั้แ่อายุได้แปดปี ระหว่างเดินทางไปมาในเขาลำเนาไพรด้วยกันกับพ่อและพี่ชาย เห็นขวานทองม้าเหล็กจนชินตา ก็เกิดความรู้สึกอยากปกปักรักษาบ้านเกิดเมืองนอน หุบเขาและสายน้ำ ในสายตาของนาง ตนไม่แตกต่างจากบุรุษผู้หนึ่ง ความปรารถนาในใจนั้น ย่อมเป็การสวมเกราะออกรบเช่นเดียวกับพ่อและพี่ชาย
สำหรับคำพูดอันฮึกเหิมของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว อาจารย์อวี้เพียงแค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางเท่านั้น “ด้วยเหตุนี้เ้าจึงตัดสินว่าผู้ที่ทำอะไรไม่เป็นอกจากอ่านหนังสือคือบัณฑิตไร้ค่าสินะ?”
คำพูดนั้นได้เอ่ยความในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออกมาแล้ว พลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย ถึงอย่างไรตรงหน้าของตนก็มีผู้ค้ำจุน ‘บัณฑิต’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่คนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นยังเป็คนที่แค่อ้าปากก็ข่มขวัญตนได้อีกด้วย...
แต่หากคิดจะทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วละทิ้งปณิธาน แล้วยอมรับทฤษฎี ‘บัณฑิตมีประโยชน์’ ก็คงไม่ง่ายดายขนาดนั้น คิดดูแล้ว นางก็ยังคงยึดมั่นในปณิธานของตน แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้หมายความว่า… ไร้ค่าเสียทีเดียว เพียงแค่พอเปรียบเทียบกัน...” น้ำเสียงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกดจนยิ่งเบาลงเรื่อยๆ แต่ห้องหนังสือก็ใหญ่เสียขนาดนั้น ทั้งสองคนก็อยู่ใกล้กันเสียขนาดนี้ เหตุใดจะไม่ได้ยิน?
ดังนั้น นางจึงแข็งใจเอ่ยออกไปตามตรงเสียเลย “เพียงแค่พอเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมายอะไรก็เท่านั้น ท่านว่า บุรุษผู้หนึ่ง หากไม่ออกไปสู้รบฆ่าฟันศัตรู เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านวางแผนยุทธการบนกระดาษ เช่นนั้นจะไปต่างอะไรกับสตรีเล่า?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้มีโอกาสจะพูดคุยกับอาจารย์อวี้อย่างสงบใจเช่นนี้มากนัก ยิ่งกว่านั้นยามปกติอาจารย์อวี้ก็ไม่ได้ชอบฟังคำพูดไร้สาระของนางอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่อาจหยุดได้ นางพูดฉอดๆ ต่อไปไม่หยุด “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็มีสตรีที่สามารถออกรบฆ่าฟันศัตรูแล้วด้วย! บุรุษกลับเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านอ่านสี่หนังสือห้าคัมภีร์อะไรนั่น ท่านยอมรับได้อย่างนั้นหรือ?!”
ในสมัยโบราณมู่หลานออกรบแทนบิดา ยังเป็เื่เล่าและตำนานที่สืบต่อกันมา ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ยอมรับคำที่บอกว่าบุรุษต้องแข็งแกร่งกว่าสตรีมาั้แ่เด็ก และใฝ่ฝันว่าสักวัน จะสามารถทำให้เื่ที่สตรีไม่เป็รองบุรุษกลายเป็เื่สามัญทั่วไปให้ได้
อาจารย์อวี้ยังคงก้มหน้าแย้มยิ้ม ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด อาจเพราะเขาเองก็สามารถเข้าใจความเชื่อและอุดมคติของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ ในฐานะที่เป็นักปราชญ์คนหนึ่ง พวกเขามักจะเข้าใจความรู้สึกในจิตใจได้มากที่สุดเสมอ
ดังนั้น แม้ไม่ถึงกับเห็นพ้องต้องกัน แต่อาจารย์อวี้เองก็ให้เกียรติความคิดเห็นนั้น
กระทั่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดคำที่อยากพูดออกไปหมดแล้ว อาจารย์อวี้ถึงพยักหน้าตาม แล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าเข้าใจ”
ความสงบนิ่งเช่นนั้น ค่อนข้างทำร้ายความภาคภูมิของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเสียจริง นางเบะปาก เอ่ยในใจอย่างเงียบๆ นักปราชญ์คร่ำครึที่เหม็นกลิ่นปรัชญาอย่างเ้า จะมาเข้าใจปณิธานและความเชื่อของข้าได้หรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก
แต่อย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อดกลั้นคำพูดนั้นไว้ไม่ได้เอ่ยออกมา ทว่าอาจารย์อวี้นั้นเป็คนเฉลียวฉลาดยิ่งคนหนึ่ง เขาเพียงปราดมองก็รู้ความคิดที่แท้จริงของนางได้ในทันที ครั้นแล้วก็เอ่ยย้ำอีกครั้ง “ข้าสามารถเข้าใจความคิดของเ้าได้จริงๆ เ้าเกิดมาในตระกูลขุนพล ได้รับการสั่งสอนั้แ่เด็กว่าไหล่บุรุษทั้งสองข้างต้องแบกรับหน้าที่ ควรออกรบเข่นฆ่าศัตรู ความคิดที่หยั่งรากลึกเช่นนั้น ย่อมยากที่จะเปลี่ยนแปลง”
“ความหมายของท่านคือ ความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องหรือ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว นางถามอย่างร้อนรน ขณะกำลังจะเอ่ยยืดยาวอีกครั้ง เพื่อโน้มน้าวบุรุษผู้สงบนิ่งตรงหน้าผู้นี้
แต่การยกมือของอาจารย์อวี้ก็หยุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ นางจึงปิดปากเงียบ แต่หัวคิ้วกลับขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังเก็บซ่อนคำพูดที่ไม่อาจเอ่ยออกไปเอาไว้เต็มอก อึดอัดใจอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่ว่าพูดไม่ถูก แต่วิชายุทธ์และวิชาความรู้นั้น เดิมทีก็เป็สิ่งตรงข้ามกัน ปัญญาชนก็มีประโยชน์ของปัญญาชน ขุนศึกก็มีประโยชน์ของขุนศึก เ้าเองมีความสามารถอันยอดเยี่ยมทางร่างกายแล้ว หากหมั่นศึกษาเพิ่มเติมความรู้ในยามที่มีกำลังวังชาเหลือเฟือ มันก็จะเป็ผลดีต่อตัวเ้ายามได้ออกศึกเป็แม่ทัพในภายภาคหน้าไม่ใช่หรือ?”
น้ำเสียงของอาจารย์อวี้อบอุ่นอ่อนโยน แตกต่างจากยามที่ดุด่าเย้ยหยันเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตามปกติ แต่ข้อโต้แย้งเช่นนั้น ก็ยังยากที่จะโน้มน้าวเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลนักรบได้ในทันที เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสีหน้าเผยความดูิ่ออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่ได้ รีบเอ่ยโต้ตอบขึ้นมา “ปัญญาชนแค่เอ่ยคำพูด ขุนศึกวิ่งจนขาแทบหัก บางคนก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ปัญญาชนไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์!”
อาจารย์อวี้ถอนหายใจยาว รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ลึกๆ ลูกศิษย์ผู้นี้ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ทะเยอทะยานไม่สิ้นสุดเสียจริง แต่ตนนั้นในฐานะอาจารย์ จะละทิ้งลูกศิษย์ได้อย่างไร? อาจารย์อวี้ที่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้รีบร้อนหักล้างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แต่กลับเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเ้าคงจะกล้าตอบข้าสักสองสามคำถามใช่หรือไม่?”
“มีที่ไหนไม่กล้า ว่ามาเลย!”
อาจารย์อวี้ยิ้มแล้วพยักหน้า “การทหาร วิถีทางสลับลับลวง คำพูดนี้ เ้าคงเคยได้ยินใช่หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดิมคิดว่าอาจารย์อวี้จะถามปัญหายากๆ แต่เมื่อฟังดูกลับเป็คำพูดในตำราพิชัยศึก ย่อมรู้สึกโล่งอกขึ้นมา นางตบมือยิ้มกว้างแล้วเอ่ย "ต้องเคยได้ยินแน่นอน นี่คือประโยคหนึ่งที่พูดถึงใน ‘ตำราพิชัยาซุนจื่อ’ เป็ตำราสรุปกลศึกการทหาร นั่นจะไปยากอะไร?”
“ใช่แล้ว ในฐานะขุนพลน้อย ย่อมต้องรู้จักคำว่าการทหาร วิถีทางสลับลับลวง แต่เ้าเคยรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือ ‘ศึกพึงระวัง’ สิ่งใดคือ ‘ห้าเหตุเจ็ดกลยุทธ์’ แล้วสิ่งใดคือ ‘วิถีลับลวงสิบสองกลศึก’ ?”
อาจารย์อวี้ราวกับเดาไว้แล้วว่าคำถามของตนจะทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตอบไม่ได้ จึงมีท่าทางเหมือนวางแผนไว้อย่างดีแล้ว ส่วนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางไม่เข้าใจตามคาด
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกาหัวอย่างเก้อเขิน เอ่ย “ข้าไม่รู้”
“ใช่แล้ว แม้แต่กลยุทธ์ทางทหารขั้นพื้นฐานที่สุดพวกนี้ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วจะรบชนะได้อย่างไร? สิ่งที่เรียกว่าการทหาร วิถีทางสลับลับลวงนั้น หมายถึงการเดินทัพจับศึก ไม่เพียงต้องมีความกล้าหาญ แต่ต้องมีกุศโลบายและแผนการด้วย เ้าเข้าใจหรือไม่?” สีหน้าของอาจารย์อวี้ มีความภาคภูมิใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกถามก็พูดไม่ออก พลันนิ่งเงียบอย่างเชื่อฟัง ทว่าคำถามของอาจารย์อวี้กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาเองก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อปัญญาชนผู้รู้หนังสือให้ได้อย่างสิ้นเชิง เพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้งานสอนสั่งความรู้ของตนในวันหน้า
“เช่นนั้นข้าจะถามเ้าอีกครั้ง การเดินทัพจับศึกหาก้าให้ได้รับชัยชนะ ต้องขึ้นอยู่กับอะไร?”
“เดินทัพจับศึกหาก้าให้ได้รับชัยชนะ ย่อมต้องขึ้นอยู่กับกำลังและเสบียงอาหาร เพราะนั่นคือกำลังของกองทัพ!” ข้อนี้ไม่ยาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยตอบอย่างมาดมั่น
“ผิด” ทว่าคำพูดต่อจากนั้นของอาจารย์อวี้กลับทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดไม่ถึง “กองทัพเดินหน้าทำศึก หาก้าให้ได้รับชัยชนะ ไม่ใช่เพียงอาศัยกำลังของกองทัพและเสบียงอาหารเท่านั้น ดั่งคำโบราณว่าไว้ สองทัพสู้รบ ห้ามสังหารทูต จะเห็นได้ว่าการเจรจาสัมพันธมิตรนั้นมีความสำคัญเพียงใดในการทำศึก”
อาจารย์อวี้หยุดไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “สาเหตุที่ฉิน [1] สามารถปกครองใต้หล้า ส่วนใหญ่มาจากความสามารถทางการทูตที่ยอดเยี่ยมและความถูกต้องแม่นยำในกลยุทธ์หว่านทั่วสารทิศของรัฐฉิน ไม่เพียงต้องกำจัดศัตรูที่แฝงอยู่มากมาย ยังต้องเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็มิตร จึงสามารถได้ชัยชนะโดยไม่ต้องรบ เลี่ยงความทุกข์ยากของใต้หล้าจากภัยา”
“นั่น...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกิดสามทัศนะ [2] ใหม่ขึ้นอีกครั้ง ตกตะลึงกับคำพูดของอาจารย์อวี้จนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติกลับมา
เชิงอรรถ
[1] ฉิน (秦) ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน
[2] สามทัศนะ (三观) หมายถึงทัศนคติสามอย่าง ทัศนคติต่อโลก (世界观) ทัศนคติต่อชีวิต (人生观) ทัศนคติต่อคุณค่า (价值观)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้