คำกล่าวนี้กลับเป็การเตือนสตรีแซ่อวี๋โจวนางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า“นายท่านกล่าวเช่นนี้ก็คล้ายกับจะเป็เช่นนั้นเ้าค่ะ ตอนพวกเราซื้อตัวนางมาไม่เห็นได้ยินคนสกุลเมิ่งบอกว่านางรู้วิชาหมอหากนางมีวิชาหมอที่ล้ำเลิศเช่นนายท่านกล่าวมา สกุลเมิ่งของนางคงไม่มีทางยากจนจนถึงขั้นต้องขายบุตรสาวที่รู้วิชาอีกทั้งยังไม่อาจหักใจขายนางแน่นอนเ้าค่ะ!เื่นี้จะมีเงื่อนงำอะไรหรือไม่หรือเ้าคะ?”
“ประเดี๋ยวให้คนไปสืบข่าวที่สกุลเมิ่ง” อวี๋หรูไห่เอ่ย“เ้าไปกำชับฮั่นซานสองสามีภรรยา บอกพวกเขาว่าอย่าหาเื่อะไรเมิ่งอวี๋เจียวอีกวิชาหมอของนางอาจสร้างชื่อเสียงจนกลายเป็ป่าต้นซิ่ง[1] แห่งฉางขุยให้สกุลอวี๋ของพวกเรา จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด”
สตรีแซ่อวี๋โจวถอนหายใจถึงแม้ภายในใจจะไม่ยินดี ทว่ายังคงพยักหน้ารับ“เกรงก็แต่นายท่านจะประเมินนางสูงไปแล้วเ้าค่ะ”
อวี๋เจียวไปห้องหุงต้มย่อมไม่รับรู้ถึงบทสนทนาระหว่างอวี๋หรูไห่และสตรีแซ่อวี๋โจวที่อยู่ภายในห้องโถงแต่นางก็รู้ว่าอวี๋หรูไห่เป็คนฉลาดหากอยากอาศัยทักษะทางการแพทย์ของนางเพื่อหาเงินจะไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีกับนางอีกแน่นอน
นางเผยทักษะการแพทย์ก็เพื่อให้ตนหยัดยืนในสกุลอวี๋อย่างมั่นคงและรู้ว่าหลังจากเผยทักษะการแพทย์ อวี๋หรูไห่จะต้องไม่มีทางยอมให้นางไปจากสกุลอวี๋การเอ่ยถึงใบสัญญาซื้อขายตัวก่อนหน้านี้เพียงเพื่อทำให้ภายหน้าจะได้อยู่ในสกุลอวี๋อย่างสบายขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนจิ่นซูของครอบครัวสามถูกถอนหมั้นนางก็ดูออกแล้วว่าฮูหยินเฒ่าอวี๋เป็คนเก่งกาจมีเพียงผู้เฒ่าอวี๋เท่านั้นที่ควบคุมนางได้ หากนางไม่พึ่งพาผู้เฒ่าอวี๋นางจะต้องถูกหญิงชรานางนั้นปฏิบัติอย่างทารุณแน่นอน
ภายในห้องหุงต้มสตรีแซ่ซ่งกำลังนั่งก่อไฟอยู่หน้าเตา เมื่อเห็นอวี๋เจียวเดินเข้ามาจึงเอ่ยถามพลางยกยิ้ม“ท่านปู่ของเ้าเรียกเ้าไปเพราะเื่อะไรหรือ?”
อวี๋เจียวเดินไปตรงหน้าเตาย่อตัวลงข้างกายสตรีแซ่ซ่ง ดวงตาดุจผลซิ่งเจือรอยยิ้ม“ท่านผู้เฒ่าบอกว่าภายหน้ายามเขารักษาคนป่วยจะให้ข้าคอยเรียนรู้อยู่ข้างกายเ้าค่ะ”
สตรีแซ่ซ่งได้ฟังแล้วดีใจยิ่งนัก“นี่คือเื่ที่ดี ท่านปู่ของเ้าให้ความสำคัญกับเ้า เ้าจะต้องตั้งใจเรียนให้ดีท่านปู่ของเ้าเป็หมอ ให้ความสำคัญกับวิชาหมอมากที่สุดแต่น่าเสียดายที่คนในสกุลอวี๋ของเราไม่มีผู้ใดสติปัญญาดีพอจะเรียนวิชาหมอหากเ้าเรียนสำเร็จ ภายหน้าจะได้เป็ท่านหมอตรวจไข้ให้ผู้คนจะได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้อื่น”
อวี๋เจียวคิดไม่ถึงว่าสตรีแซ่ซ่งจะมีความคิดก้าวหน้าเช่นนี้ไม่ได้ใส่ใจว่านางเป็สตรี แท้จริงแล้วนางชอบสตรีแซ่ซ่งไม่น้อยเพราะเหมือนกับมารดาของนางมาก ต่างเป็ผู้หญิงที่มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน
นางพยักหน้าพลางแย้มยิ้ม“ได้เ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะตั้งใจเรียน”
สตรีแซ่ซ่งลูบหัวของนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “าแบนขาของเ้าเป็อย่างไรบ้าง? ถูกน้ำได้หรือยัง?”
“ตกสะเก็ดแล้วเ้าค่ะ มีบางจุดที่สะเก็ดหลุดออกมาแล้ว” อวี๋เจียวตอบกลับอย่างว่าง่าย
“ถ้าเช่นนั้นรอหลังจากกินข้าวเสร็จ ข้าจะต้มน้ำร้อนให้เ้าตลอดหลายวันมานี้เ้าไม่ได้อาบน้ำล้างหน้าดีๆ ควรจะอาบน้ำอุ่นสักหน่อย”สตรีแซ่ซ่งหันไปมองบนเตา ดับฟืนในเตาที่ยังเผาไหม้ไม่หมดแล้วหยัดกายลุกขึ้น
อวี๋เจียวลุกขึ้นตาม“ควรจะต้องอาบน้ำดีๆ แล้วเ้าค่ะ ขอบคุณท่านนะเ้าคะ”
นางไม่กล้าเรียกท่านแม่จริงๆถึงแม้ว่าสตรีแซ่ซ่งจะทำให้นางคิดถึงมารดาของตนก็ตาม
สตรีแซ่ซ่งหัวเราะ“เ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงได้เกรงอกเกรงใจนัก?”
นางล้างมือในอ่างน้ำเปิดฝาหม้อออกแล้วเอาหมั่นโถวใส่ไว้ในเข่ง อวี๋เจียวจึงช่วยนางตักข้าวต้ม
สตรีแซ่ซ่งหยิบถ้วยเปล่ามาหนึ่งใบแบ่งน้ำเต้ากับถั่วลิสงที่ผัดเรียบร้อยแล้วใส่ถ้วยเล็กน้อยตามด้วยหยิบหมั่นโถวอีกหนึ่งก้อน เอ่ยกับอวี๋เจียวว่า“เ้ายกเข้าไปในห้องโถงก่อนเถิด เรียกท่านปู่ท่านย่าของเ้า ข้าจะยกไปให้พ่อของเ้าก่อน”
อวี๋เจียวพยักหน้าทำความสะอาดถ้วยแล้วตักข้าวต้มในหม้อจนเรียบร้อย จากนั้นยกกับข้าวเข้าไปในห้องโถง
ภายในลานเรือนสองสามีภรรยาครอบครัวใหญ่พึ่งกลับมาจากไปเก็บสมุนไพรหม้อข้าวหม้อแกงลิงบนเขาั้แ่เช้าอวี๋เจียวชะงักฝีเท้า ร้องเรียกว่า “ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่กินข้าวได้แล้วเ้าค่ะ”
อวี๋เฉียวซานผู้มีนิสัยตรงไปตรงมาพยักหน้าเล็กน้อยสตรีแซ่จางปรายตามองอวี๋เจียวชั่วครู่ ไม่สนใจนางและเดินไปให้อาหารหมูที่หลังเรือน
อวี๋เจียวจัดอาหารบนโต๊ะเอ่ยกับอวี๋หรูไห่ที่กำลังนั่งอยู่ว่า “กินข้าวได้แล้วเ้าค่ะ”
สตรีแซ่อวี๋โจวเดินเข้ามาพร้อมกับอวี๋ฮั่นซานสองสามีภรรยามีใบหน้าบึ้งตึงทว่าเพราะอวี๋หรูไห่ลั่นวาจาสตรีแซ่อวี๋โจวทำได้เพียงไปหาอวี๋ฮั่นซานและสตรีแซ่จ้าว กำชับพวกเขาครู่หนึ่งแต่เมื่อคนทั้งสองเข้ามาพบอวี๋เจียว ใบหน้ายังคงไม่น่ามองยิ่งนัก
อวี๋เจียวไม่ใส่ใจเพราะสำหรับนางแล้ว คนเหล่านี้ล้วนไม่มีความหมายอะไร
ในสกุลอวี๋ครอบครัวใหญ่และครอบครัวรองตื่นขึ้นมาทำงานั้แ่เช้าตรู่มีเพียงสองสามีภรรยาครอบครัวสามของอวี๋ฮั่นซานที่มีสิทธิ์นอนตื่นสาย ความลำเอียงของฮูหยินผู้เฒ่าอวี๋ชัดเจนยิ่งนัก
ผู้เฒ่าฮูหยินเฒ่าและครอบครัวสามนั่งลงเริ่มกินข้าวกันแล้ว อวี๋เจียวนั่งลงเช่นกันครั้นเอื้อมมือไปหยิบหมั่นโถวหนึ่งก้อนกลับถูกสตรีแซ่จางถลึงตาใส่อวี๋เจียวไม่มองนาง คว้าหมั่นโถวใส่ปากอย่างไม่สะทกสะท้านพลางก้มหน้าก้มตากินข้าว
ผ่านไปครู่ใหญ่อวี๋เฉียวซานสองสามีภรรยาที่พึ่งล้างมือเสร็จหลังจากให้อาหารหมูก็รีบเดินเข้ามานั่งลงทานอาหารโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
หมั่นโถวตรงหน้าลดน้อยลงเรื่อยๆกับข้าวบนโต๊ะถูกเขี่ยด้วยตะเกียบจนเหลือแต่เศษทว่าอวี๋ฉี่เจ๋อกับสตรีแซ่ซ่งก็ยังไม่มา
สตรีแซ่ซ่งไม่มีเวลามาสนใจการนั่งกินข้าวเสียแล้วเอ่ยกับผู้เฒ่าอวี๋พลางดวงตาแดงก่ำว่า “ท่านพ่อ ท่านรีบไปดูเมิ่งซานเถิดเขาตัวร้อนแล้วเ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าอวี๋วางถ้วยข้าวต้มหลังได้ยินเช่นนั้น“ได้ๆ เหตุใดถึงตัวร้อน?”
สตรีแซ่ซ่งส่ายหน้าเอ่ยเสียงสะอื้นเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เ้าค่ะเมื่อเช้าตอนข้าเช็ดตัวให้เขาก็ไม่ได้ยินเขาบอกว่าไม่สบายเวลาแค่ชั่วครู่เดียวในตอนกินข้าวก็ตัวร้อนแล้วเ้าค่ะ เมื่อครู่แตะหน้าผากแล้วรู้สึกค่อนข้างร้อนแต่ทั่วทั้งตัวกลับอ่อนเพลียและเย็นเ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าอวี๋ลุกขึ้นเดินออกจากโถงเพื่อมุ่งไปยังห้องของครอบครัวรอง
สตรีแซ่ซ่งกับอวี๋ฉี่เจ๋อตามออกไป
อวี๋เจียวกินข้าวต้มคำสุดท้ายวางถ้วยลง จากนั้นลุกขึ้นเดินกลับไปยังเรือนฝั่งตะวันออกเช่นกัน
ใบหน้าคล้ำซูบตอบของอวี๋เมิ่งซานที่นอนอยู่บนเตียงซีดเผือดดวงตาบวมเป่ง หายใจยากลำบาก ผู้เฒ่าอวี๋ตรวจอุณหภูมิร่างกายของเขาเมื่อพบว่าไม่ร้อนมากนักจึงถอนหายใจโล่งอก จับแขนของอวี๋เมิ่งซานขึ้นมาตรวจชีพจร
อวี๋เมิ่งซานคิดอยากลุกขึ้นนั่งทว่าร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ภาพตรงหน้าหมุนเวียนจนเกือบจะหมดสติไปทำได้เพียงนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
อวี๋เจียวมองอยู่ด้านข้างอวี๋หรูไห่เงยหน้ามองอวี๋เจียวชั่วครู่ ยังคงจับชีพจรต่อไปอย่างเงียบขรึมแต่กลับไม่พบอะไร
อวี๋เจียวชำเลืองมองส่วนขาของเมิ่งอวี๋ซานพบว่าบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด นางเดินผ่านอวี๋ฉี่เจ๋อไปตรงหัวเตียงใช้นิ้วมือเปิดเปลือกตาของอวี๋เมิ่งซานขึ้นดูพบว่าบริเวณลูกตาทั้งสองมีเืคั่งเล็กน้อย อวี๋เจียวเอ่ย“สูดหายใจลำบากหรือไม่เ้าคะ?”
อวี๋เมิ่งซานพยักหน้าอย่างอ่อนแรงก่อนจะส่ายหน้าตามมา
อวี๋เจียวเอ่ยถามต่อไป“รู้สึกว่าร่างทั้งร่างอ่อนแรง เวียนศีรษะตาลายใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ดวงตาของอวี๋เมิ่งซานขยับไปมานับได้ว่าเป็การพยักหน้า
“ไม่ได้ตัวร้อนเพราะถูกอากาศเย็น อีกทั้งยังไม่ได้ตัวร้อนเพราะขาดพลังหยางแม่หนูเมิ่ง เ้าดูออกหรือไม่ว่าเป็อาการอะไร?” ผู้เฒ่าอวี๋ชักมือกลับจากการจับชีพจรพลางขมวดคิ้วเขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็อาการอะไร ถึงได้เอ่ยถามออกไป ‘อย่างไร้ยางอาย’
ภายในใจของอวี๋เจียวยังไม่มีข้อสรุปจึงหันหลังกลับไป
พวกเขาค่อนข้างไม่เข้าใจการกระทำของนาง
อวี๋เจียวเอ่ย“ท่านอาสะใภ้ซ่ง ท่านถอดอาภรณ์ของท่านลุงเมิ่งซานออกดูสิว่าบนตัวของเขามีอาการบวมที่อื่นอีกหรือไม่”
สตรีแซ่ซ่งรีบทำตามทันทีอวี๋ฉี่เจ๋อเข้าไปช่วยถอดอาภรณ์ของอวี๋เมิ่งซานหลังจากตั้งใจมองดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยขึ้นว่า“ทั่วกายไม่มีอาการบวม”
สตรีแซ่ซ่งช่วยอวี๋เมิ่งซานสวมอาภรณ์อวี๋หรูไห่เอ่ยถามว่า “แม่หนูเมิ่ง เ้าดูไม่ออกว่าคืออาการอะไรหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ป่าต้นซิ่ง杏林หรือสิ่งหลินใช้คำพ้องเสียง ซิ่ง杏คล้ายกับคำว่า幸ซิ่งที่แปลว่าความสุขหลิน 林พ้องความหมายกับคำว่าหลิน临ที่แปลว่ามาถึงสิ่งหลินถูกนำมาใช้เรียกแทนแพทย์ผู้มีจรรยาบรรณสูงส่งเพราะเื่ราวของ ต่งฝง 董奉 ในยุคสมันสามก๊ก คือท่านหมอที่ช่วยเหลือชาวบ้านยากไร้โดยไม่รับเงินแต่หากผู้ป่วยหายดีจะต้องมาปลูกต้นซิ่งบนเชิงเขาที่เขาพำนัก คนป่วยหนักปลูกห้าต้นคนป่วยทั่วไปปลูกหนึ่งต้น จนท้ายที่สุดกลายเป็ป่าต้นซิ่งหากผู้ใด้าผลต้นซิ่งให้นำธัญญาหารมาแลกโดยหากนำธัญญาหารมาหนึ่งกระบุงสามารถเก็บต้นซิ่งไปหนึ่งกระบุงจากนั้นท่านหมอตงฝงจะนำธัญญาหารเหล่านี้ไปบริจาคให้ผู้ยากไร้