โม่เสวี่ยฉงเห็นสถานการณ์ไม่อาจปิดบังได้อีก ก็ร้องไห้โฮแล้วเล่าความจริงทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก
ที่แท้ยามที่โม่เสวี่ยฉงมาถึงเรือนของโม่เสวี่ยถง เห็นโม่เสวี่ยิ่กำลังชงชาให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น ทั้งสองส่งสายตาให้กันดูอบอุ่นอย่างยิ่ง โม่เสวี่ยฉงรู้สึกริษยาตาร้อนขึ้นมาทันทีจึงวิ่งเข้าไป
นางเข้าไปถามโม่เสวี่ยิ่อย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ในที่สุดก็ด้วยความโมโหนางจึงผลักโม่เสวี่ยิ่ไปทีหนึ่ง ต่อมาทั้งสองคนก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่พื้นด้วยกัน ทำให้สภาพดูน่าอนาถทั้งคู่
โม่ฮว่าเหวินโกรธจนควันออกหู บุตรสาวคนที่สี่เป็คนไม่ได้เื่แค่ไหนเขาย่อมรู้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตจะทำเื่ผิดประเพณี พาบุรุษเข้ามาในเรือนของน้องสาวตนเองไม่ว่า ยังมาทำใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินงาม ไม่เห็นแก่ชื่อเสียงของตนเองแล้วใช่หรือไม่
“ไป กลับไปเรือนของตนเองกันให้หมด คัดลอกบัญญัติเตือนสตรี[1] มาคนละสามสิบจบ คัดไม่จบไม่อนุญาตให้ออกจากเรือนไปไหนทั้งสิ้น สาวใช้ผู้ติดตามทุกคนให้ลงโทษโบยคนละสิบไม้ แม้แต่เ้านายคนเดียวยังดูแลไม่ได้ แล้วจะมีพวกเ้าไว้เพื่อประโยชน์อันใด” โม่ฮว่าเหวินขบกรามกรอดกล่าวด้วยความโมโห
ทันใดนั้นสาวใช้และมามาที่ติดตามโม่เสวี่ยิ่และโม่เสวี่ยฉงทั้งหมดก็ยืนไม่อยู่ หวาดกลัวจนเข่าอ่อนทรุดกายคุกเข่าลง
“ท่านพ่อ ละเว้นพวกนางได้หรือไม่ เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางเลย” โม่เสวี่ยิ่ขอร้องพลางโขกศีรษะต่อโม่ฮว่าเหวิน อารมณ์ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสาร แม้กระทั่งสาวใช้สองสามคนผู้ติดตามโม่เสวี่ยฉงยังมองโม่เสวี่ยิ่ด้วยสายตาซาบซึ้งใจ
โม่เสวี่ยิ่ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะแสดงน้ำใจกว้างขวางของตนเองแม้แต่น้อยจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านก็ยอมตามที่พี่หญิงใหญ่ขอร้องเถิดเ้าค่ะ ละเว้นพวกนางเถิด แต่ไหนแต่ไรมาพี่หญิงใหญ่ก็มีความเมตตาเอื้ออารีต่อทุกคน ทนเห็นคนได้รับทุกข์ทรมานไม่ได้” โม่เสวี่ยถงยื่นมือมาเกาะชายเสื้อของโม่ฮว่าเหวินแล้วกล่าวเสียงต่ำ
คำพูดของนางแต่ละประโยคดูเหมือนจะเป็การปกป้องโม่เสวี่ยิ่ แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกเอ่ยขึ้น กลับเป็เหมือนน้ำมันที่ราดลงในกองไฟความรู้สึกของโม่ฮว่าเหวิน
นอกจากจะมีเมตตาเอื้ออารีแล้ว แต่ไหนแต่ไรมานางยังรอบรู้จารีตประเพณี แต่ไฉนวันนี้จึงไม่เห็นว่านางจะรู้อะไรควรไม่ควรสักนิด! โม่ฮว่าเหวินถลึงตาดุใส่ทีหนึ่ง กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “โบยเพิ่มอีกคนละสิบไม้”
ทันใดนั้นสายตาที่ทุกคนมองมาที่โม่เสวี่ยิ่กลับกลายเป็ความโกรธแค้นชิงชัง
ทุกอย่างพังหมดเพราะนังแพศยาชั้นต่ำโม่เสวี่ยถงคนเดียว!
โม่เสวี่ยิ่คุกเข่าที่พื้น สิบนิ้วกำแน่นจนเล็บยาวจิกเข้าไปในอุ้งมือ เบื้องลึกของดวงตาฉายแววเกลียดชังออกมาวูบหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับยิ้มอ่อนโยน “เ้าค่ะท่านพ่อ ครั้งนี้ิ่เอ๋อร์คิดผิดไป ขอท่านพ่อโปรดให้อภัยด้วย ิ่เอ๋อร์จะกลับไปชำระล้างกายใจทันที และคัดบัญญัติเตือนสตรีห้าสิบจบเ้าค่ะ ต่อไปไม่กล้าทำความผิดเช่นนี้อีกแล้ว”
เมื่อเห็นนางมีท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว แววตาสำนึกผิด ทั้งยินดีรับโทษด้วยความสัตย์ซื่อ อารมณ์โมโหของโม่ฮว่าเหวินจึงค่อยๆ คลายไป แต่พอนึกถึงเื่ที่นางตกเป็ผู้ต้องสงสัยในการทำลายชื่อเสียงของน้องสาว แววตาของเขาก็พลันขรึมลง โบกมือไล่อย่างรำคาญให้นางถอยออกไป
โม่เสวี่ยฉงยังอยากจะพูดจาต่อความอีกสองสามประโยค แต่ถูกโม่เยี่ยนสาวใช้ข้างกายดึงไว้ แม้ว่าจะไม่สมัครใจแต่ก็จำต้องกลับ นางกระทืบเท้าเดินออกไปด้วยความโมโห
รอจนทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว โม่ฮว่าเหวินก็หันมาปลอบใจโม่เสวี่ยถงเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจากเรือนชิงเวย
หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โม่หลันจึงไปชงน้ำชามาให้โม่เสวี่ยถงใหม่อีกถ้วยหนึ่ง แล้วส่งเข้าไปให้ในห้อง ก่อนจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างโดยละเอียด ที่แท้ตอนที่สวี่มามาวิ่งหน้าตั้งไปห้องหนังสือด้วยท่าทางรีบร้อน ได้ผ่านลานสวนของโม่เสวี่ยฉง สาวใช้โม่เยี่ยนลากนางเข้าไปถามว่าไฉนจึงดูรีบร้อนปานนั้น
สวี่มามาจึงบอกไปว่าคุณหนูใหญ่อยู่กับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อเพียงลำพังในสวนของคุณหนูสาม ทั้งสองรอมาสองชั่วยามแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาโม่เสวี่ยฉงก็มีใจต่อซือหม่าหลิงอวิ๋น โม่เสวี่ยิ่เคยรับรองกับนางเป็การส่วนตัวว่าระหว่างนางกับซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่มีอะไรกัน คิดไม่ถึงว่าชายหญิงที่ยังไม่ออกเรือนทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันที่เรือนชั้นใน มิหนำซ้ำยังนานถึงสองชั่วยาม โม่เสวี่ยฉงจะทนต่อไปได้อย่างไร จึงพาคนไปที่เรือนชิงเวยด้วยความขุ่นเคืองทันที เื่หลังจากนั้นก็เป็ตามธรรมชาติอย่างที่เห็น
มีโม่เสวี่ยฉงที่ทั้งหุนหันพลันแล่น ปากคอเราะราย อีกทั้งเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอยู่ทั้งคน ต่อให้โม่เสวี่ยิ่มีฝีมือขนาดไหน ก็ย่อมเปื้อนกลิ่นคาวไปด้วย
“เมื่อครู่เหตุใดคุณหนูจึงไม่บอกไปล่ะเ้าคะ ว่าคุณหนูใหญ่เป็ผู้นำความเื่ที่คุณหนูมีตำราพิณโบราณไปเล่าให้เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อรับรู้” โม่เหอยื่นแพรอบเครื่องหอมให้โม่เสวี่ยถงเช็ดมือ แล้วถามด้วยความสงสัย
เมื่อครู่นางเฝ้าอยู่หน้าประตู คำพูดจากด้านในล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่หญิงใหญ่ไม่ยอมรับ ซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่พูด แล้วใครจะเป็พยานชี้ตัวนางเล่า พูดไปรังแต่จะให้ท่านพ่อไม่พอใจเปล่าๆ แบบนี้แหละดีแล้ว การไม่มีหลักฐานก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด” โม่เสวี่ยถงยิ้มเรียบๆ จิบชาคำหหนึ่งแล้ววางถ้วยชาไว้บนโต๊ะ มองโม่หลันจัดดอกไม้ไว้ที่มุมวางแจกันตรงหน้าต่าง
นางไม่มีหลักฐาน แต่เื่ที่นางมีตำราพิณโบราณฉบับดั้งเดิม คนที่รู้เื่ในจวนมีไม่เกินสี่คน มีเพียงฟางอี๋เหนียงซึ่งตอนนั้นดูแลปรนนิบัติอยู่ข้างกายมารดาของนางตลอดเวลาที่รู้ถึงการมีอยู่ของตำราพิณเล่มนั้น แล้วคนนอกจะรู้เื่ได้อย่างไร ท่านพ่ออยู่ในแวดวงการเมืองมายาวนาน มีประสบการณ์ผ่านกระแสคลื่นลมมากมาย ต่อมาจึงสามารถสร้างผลงานโดดเด่นเป็ที่ประจักษ์ท่ามกลางขุนนางนับร้อย ดังนั้นย่อมกระจ่างใจเหตุผลข้อนี้ดี
ตอนแรกโม่เหอยังไม่กระจ่างใจนัก นิ่งงันอยู่พักใหญ่ครั้นแล้วดวงตาพลันสว่างวาบด้วยความดีใจ
โม่หลันวางแจกันดอกไม้ในมือลง แล้วเดินมาผลักนางทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปเอาสัมภาระบนรถม้าอีก เหล่าไท่จวินส่งของมาให้คุณหนูตั้งมากมาย”
“โอ๊ะ! จริงด้วย คุณหนูเ้าคะ บ่าวจะรีบไปหยิบมาเดี๋ยวนี้เลยเ้าค่ะ” โม่เหอตบศีรษะตนเองอย่างนึกได้ แล้วหมุนตัววิ่งออกไป โดยไม่พิรี้พิไรให้เสียเวลาอีก
เรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียง
ฟางอี๋เหนียงกำลังโมโหหยิบเครื่องเคลือบดินเผาใกล้มือขว้างลงพื้น แล้วก่นด่าด้วยความโกรธ “นังเด็กชั้นต่ำนั่นกล้ามีเื่กับคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร” เมื่อครู่นางไม่อยู่ในจวนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ได้ยินหลี่มามาแจ้งเื่โม่เสวี่ยิ่ถูกลงโทษ ก็โกรธจนคิดอยากจะไปพบโม่ฮว่าเหวิน แต่ถูกหลี่มามาดึงเอาไว้สุดชีวิต
“คุณหนูสี่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ไปเรือนชิงเวยจึงแล่นตามไปเ้าค่ะ” หลี่มามาไปถามความจนรู้แน่ชัด จึงนำเื่ที่ได้ยินเล่าออกมาทั้งหมดทันที
ฟางอี๋เหนียงค่อยใจเย็นลงอย่างช้าๆ มองไปหน้าประตูที่ว่างเปล่า ประกายเย็นเยียบฉาบวูบในแววตา นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม “หรือว่านังเด็กชั้นต่ำนั่นจะจับสังเกตอะไรได้หรือไม่”
“เป็ไปไม่ได้เ้าค่ะ ตอนนั้นคุณหนูสามไม่อยู่ ไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเรือน” หลี่มามาเป็คนสนิทของฟางอี๋เหนียง รู้ว่าฟางอี๋เหนียงหมายถึงโม่เสวี่ยถง จึงตอบรับได้ทันที
“แล้วทำไมพอนังเด็กโสโครกนั่นกลับมาครั้งนี้ ข้าถึงรู้สึกว่านางไม่เหมือนเดิมล่ะ...” พอมาไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เริ่มจากการที่ิ่เอ๋อร์สูญเสียความเชื่อมั่นที่หน้าประตูเมืองก่อน ต่อมาแผนแสร้งเจ็บของตนเองก็ถูกเปิดโปง หลังสุดแม้แต่ิ่เอ๋อร์ที่เยือกเย็นก็ยังติดกับดักได้ คิดอย่างไรก็รู้สึกน่าเคลือบแคลงใจ
“อี๋เหนียงวิตกมาไปแล้ว นางเป็แค่เด็กกำพร้าสูญเสียมารดา จะเอาความกล้าที่ไหนมาต่อกรกับอี๋เหนียงและคุณหนูใหญ่ อย่างมากก็ไปอาศัยบารมีของจวนฝู่กั๋วกงให้เชิดหน้าชูคอได้ไม่กี่คราเท่านั้นเองแหละเ้าค่ะ ไหนเลยจะมาคิดบัญชีกับอี๋เหนียงและคุณหนูใหญ่ได้ ่นี้นางเพียงโชคดีเท่านั้น” หลี่มามาไม่เห็นโม่เสวี่ยถงอยู่ในสายตาสักนิด ั้แ่โม่เสวี่ยถงเข้าจวนมาก็ไม่เห็นว่าจะร้ายกาจอะไรมากมาย นางลืมเื่น่าอับอายในวันนั้นไปแล้ว และเข้าใจว่าที่โม่เสวี่ยถงดูแข็งแกร่งเยี่ยงนี้เพราะมีคนของจวนฝู่กั๋วกงอยู่ข้างกาย
“ฮึ! ก็จริง นังเด็กชั้นต่ำจะดิ้นรนไปได้สักกี่น้ำ แล้วทางซื่อจื่อล่ะ เ้าได้ส่งคนตามไปหรือไม่” ฟางอี๋เหนียงยิ้มร้าย
“พอซื่อจื่อออกไปได้สักพัก บ่าวให้คนแอบตามออกไปคุยแล้ว ซื่อจื่อรับรองว่าทางฝ่ายเขามั่นใจเต็มที่ว่าไม่มีทางพลาด และจะไม่ให้เกิดช่องโหว่แบบวันนี้ขึ้นอีกเ้าค่ะ” หลี่มามากล่าวอย่างกระหยิ่มใจ ความจริงเื่แผนการของอี๋เหนียงถูกกำหนดไว้นานแล้ว เื่ที่เกิดวันนี้ก็แค่้าให้นายท่านเกิดความแคลงใจล่วงหน้าเท่านั้นเอง รอให้คุณหนูสามเกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ นายท่านจะต้องจัดการตามที่อี๋เหนียงคาดไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น แม้แต่คุณหนูใหญ่ก็ถูกลงโทษไปด้วย ขอเพียงแค่แผนการของอี๋เหนียงประสบความสำเร็จ คุณหนูสามก็จะต้องแบกรับความผิดทั้งหมด คุณหนูใหญ่ย่อมหมดเื่ไปโดยปริยาย”
“นังเด็กชั้นต่ำ ดูซิว่านางจะชูคอไปได้สักกี่วัน” ฟางอี๋เหนียงหัวเราะอย่างร้ายกาจ ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่ด้านซ้ายแล้วกล่าวอย่างอำมหิต “ส่วนนักเด็กโสโครกนั่น ต้องให้นางลำบากเสียให้เข็ด ถึงกับกล้ามาทะเลาะตบตีกับิ่เอ๋อร์ของข้า ทั้งยังทำลายแผนการจนพังหมด พรุ่งนี้ให้คนไปสั่งงานฉิงอี๋เหนียงเพิ่มขึ้นเยอะๆ หน่อย จะได้ไม่มีเวลาไปสั่งสอนนังเด็กโสโครกให้โง่งมมากไปกว่านี้”
“เ้าค่ะ พรุ่งนี้บ่าวจะให้คนไปจัดการ” หลี่มามากระจ่างใจทันที หัวเราะหึๆ พลางกล่าวตอบรับ
เช้าตรู่วันต่อมา โม่เสวี่ยถงลงครัวทำกับข้าวสองสามอย่างด้วยตนเอง ให้โม่เหอนำใส่กล่องอาหาร แล้วนำไปยังห้องหนังสือของโม่ฮว่าเหวิน นางรู้นานแล้วว่าเมื่อคืนบิดามิได้กลับไปเรือนด้านใน ค้างคืนที่ห้องหนังสือที่อยู่ด้านนอก ยามนี้เป็เวลาเลิกประชุมเช้าแล้ว
ชาติภพก่อน นางจิตใจใฝ่พะวงถึงแต่ซือหม่าหลิงอวิ๋น ดังนั้นแม้แต่เวลาที่เขาเลิกประชุมเช้านางล้วนจำได้อย่างแม่นยำ
และแล้ว เมื่อโม่ฮว่าเหวินเลิกประชุมกลับมาก็มิได้ไปเรือนด้านใน เพียงแค่เปลี่ยนอาภรณ์ แล้วมานั่งคร่ำเคร่งกับงานราชการที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่เขาเห็นโม่เสวี่ยถงยืนยิ้มหวานอยู่หน้าประตู สีหน้าก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว
เขานั่งดูโม่เสวี่ยถงยกโจ๊กและกับข้าวออกมาเรียงทีละอย่าง ใบหน้าเล็กจ้อยที่งามเพริศพริ้งดูเหมือนลั่วเสียถึงเจ็ดแปดส่วน ชั่วขณะนั้นราวกับว่าเขาได้เห็นลั่วเสียผู้เป็ภรรยาอีกครั้ง ในอดีตนางก็เคยทำโจ๊กให้เขากินแบบนี้ เคยจัดวางกับข้าวไว้หน้าโต๊ะทำงานให้ตนเองอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ แต่ตอนนี้กลับ...
“ท่านพ่อ รับประทานโจ๊กได้แล้วเ้าค่ะ จนป่านนี้แล้วท่านพ่อยังไม่ได้รับสำรับเช้าเลย ถงเอ๋อร์ไปถามจนรู้ความหมดแล้ว แต่ไม่สนใจหรอก อย่างไรวันนี้ก็ต้องขอเอาหน้ากับท่านพ่อให้ได้ ลองชิมฝีมือของถงเอ๋อร์ดูสิเ้าคะว่าเป็อย่างไรบ้าง” โม่เสวี่ยถงหันไปออดอ้อนแกมบังคับ
“ก็ได้ๆ พ่อต้องชิมโจ๊กและกับข้าวที่ถงเอ๋อร์ทำแน่นอน” โม่ฮว่าเหวินพยักหน้าน้ำตาคลอ
“เช่นนั้นท่านพ่อก็รีบชิมเลยเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงรีบยัดตะเกียบใส่มือของโม่ฮว่าเหวิน พลางกล่าวเสียงหวาน
“คุณหนูสามช่างกตัญญูยิ่งนัก ข้าอนุภรรยายังมาช้าไปหนึ่งก้าว” น้ำเสียงพราวเสน่ห์ดังมาจากประตู ขัดจังหวะความอบอุ่นใกล้ชิดของสองพ่อลูก โม่เสวี่ยถงเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นฟางอี๋เหนียงถือผ้าเช็ดหน้าเดินนวยนาดเข้ามา หลี่มามาซึ่งอยู่ด้านหลังถือตะกร้าใส่อาหารมาด้วย เห็นได้ชัดว่ามาส่งอาหารเช้าให้โม่ฮว่าเหวิน
“เ้ามาทำอะไร” โม่ฮว่าเหวินหน้าตึงขึ้นมาทันที พอเห็นหน้าฟางอี๋เหนียงก็ทำให้นึกถึงเื่โง่งมที่โม่เสวี่ยิ่ก่อขึ้นเมื่อวาน แล้วจะให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างไร
“ข้าภรรยาได้ยินว่านายท่านเลิกประชุมแล้ว ยังไม่กินอะไรเลย จึงลงครัวทำอาหารมาให้เ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามก็มีใจตรงกัน เตรียมอาหารไว้ให้แต่เช้า นายท่านเ้าคะ คุณหนูสามมีใจกตัญญูเช่นนี้ นับเป็วาสนาของนายท่านโดยแท้” ฟางอี๋เหนียงกล่าวชมเชยด้วยสีหน้าจริงใจ
คำพูดของนางทำให้สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินผ่อนคลายลง กล่าวเสียงเรียบ “เมื่อมาแล้ว ก็นั่งกินข้าวด้วยกันเลยสิ”
ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีฐานะเป็าุโอยู่ครึ่งหนึ่ง และเป็ผู้ดูแลจัดการเรือนชั้นในของตนเอง ไม่อาจให้นางเสียหน้าต่อหน้าเด็กๆ ได้ แม้ยามคิดถึงเื่ที่นางโกหกตนเองแล้วในใจจะรู้สึกเ็ปเหมือนถูกทิ่มแทง แต่พอนึกว่านางก็ต้องเหน็ดเหนื่อยจัดการเื่ราวต่างๆ ภายในจวนมาตลอดหลายปี อารมณ์กรุ่นโกรธก็ไม่พุ่งพล่านขึ้นมาอีก
โม่เสวี่ยถงย่อมไม่เชื่อว่าฟางอี๋เหนียงจะชื่นชมนางด้วยใจจริง แต่สีหน้าก็ยังยิ้มเล็กน้อย ยืนขึ้นแล้วเชิญฟางอี๋เหนียงนั่งลง
“ถงเอ๋อร์ย่อมเป็เด็กกตัญญูอยู่แล้ว หากิ่เอ๋อร์มีความกตัญญูเช่นนี้ได้ ข้าคงไม่ต้องกังวลมากมายถึงเพียงนั้น” โม่ฮว่าเหวินกล่าวเสียงเย็น แล้วซดโจ๊กเข้าปากไปคำหนึ่ง
“นายท่าน วันนี้ข้าอนุภรรยามาส่งบัญญัติเตือนสตรีแทนิ่เอ๋อร์ แล้วก็ยังมีอีกเื่หนึ่ง ิ่เอ๋อร์ขอให้นายท่านโปรดอย่าตำหนิที่นางยังไม่อาจคัดลอกให้เสร็จทั้งหมด แต่ไม่ทราบว่าคุณหนูสามจะช่วยให้นางได้แสดงกตัญญุตาจิตสักครั้งหนึ่งได้หรือไม่” ฟางอี๋เหนียงยิ้มพลางหยิบบัญญัติสตรีปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ บนกระดาษมีตัวอักษรเขียนเป็ระเบียบเรียบร้อย มองก็รู้ว่าผู้คัดลอกมีความตั้งใจอย่างยิ่ง
กระดาษปึกนี้มีสิบฉบับ ด้วยความเร็วระดับปรกติแล้ว โม่เสวี่ยิ่ไม่สามารถคัดลอกได้ถึงสิบฉบับ เว้นแต่ว่านางนั่งคัดลอกตลอดทั้งคืนโดยมิได้นอนหลับ
โม่ฮว่าเหวินนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “นางยังมีเื่อะไรที่อยากจะทำ”
“ิ่เอ๋อร์จะไปวัดเป้าเอินที่อยู่นอกเมือง เพื่อไปสวดภาวนาให้ฮูหยินเ้าค่ะ เดิมทีกำหนดไว้เป็วันพรุ่งนี้ แต่ต่อให้ิ่เอ๋อร์ไม่กินไม่นอน บัญญัติเตือนสตรีสามสิบฉบับนี้อย่างไรก็คงคัดลอกไม่เสร็จ... ไม่ทราบว่าคุณหนูสามจะไปแทนิ่เอ๋อร์สักครั้งได้หรือไม่” ฟางอี๋เหนียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
ที่แท้ ที่มาที่นี่ก็เพื่อมารอคำตอบจากนางนี่เอง! โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะในใจ
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] บัญญัติเตือนสตรี เป็วรรณกรรมสอนหญิงที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ผู้ประพันธ์เป็นักวิชาการสตรีนามว่าปันเจา ซึ่งเคร่งครัดในหลักปรัชญาขงจื๊ออย่างยิ่ง วรรณกรรมเล่มนี้มี 7 บท ได้แก่
1. ถ่อมตน
2. ว่าด้วยสามีภรรยา
3. ข้อพึงระวัง
4. คุณลักษณะสตรี
5. การตั้งมั่น
6. การว่าง่าย
7. น้องสามี