กลางดึกอันเงียบสงัด แสงจันทร์นวลกระจ่างดั่งวารี ตะเกียงเรือนชิงเวยยังคงสว่างไสว
โม่เสวี่ยถงเอนกายอยู่บนตั่ง มองดูโม่หลันจัดเก็บเสื้อผ้าเตรียมเดินทางในวันพรุ่ง
ภายในห้องเงียบสนิท เสียงไส้ตะเกียงถูกแผดเผา เปลวเทียนเต้นระริกแ่เบายิ่ง แต่กลับทำลายความเงียบงันลงได้
“คุณหนูเ้าคะ พรุ่งนี้พวกเราต้องไปวัดเป้าเอินจริงๆ หรือ ฟางอี๋เหนียงไปขอร้องนายท่านเป็พิเศษเยี่ยงนั้น จะต้องไม่มีเจตนาดีแน่นอน” โม่หลันอดใจไม่ไหว เงยหน้าขึ้นถามโม่เสวี่ยถง
“พี่หญิงใหญ่เลือกข้ออ้างมาบังหน้าได้ดีถึงเพียงนั้น หากข้าไม่ไปก็กลายเป็อกตัญญู แม้แต่ท่านพ่อก็ยังตอบตกลง แล้วพวกเราจะไม่ไปได้อย่างไรเล่า” นิ้วเรียวของโม่เสวี่ยถงขีดเขียนลงบนตั่งไปตามจิตใต้สำนึก อดหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน่เวลานั้นมิได้
นับั้แ่เข้าเมืองมา โม่เสวี่ยิ่ก็พ่ายแพ้ต่อตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก นางกับฟางอี๋เหนียงจะพอใจได้อย่างไร ในชาติภพก่อนนางไม่รู้ว่าโม่เสวี่ยิ่สมคบกับซือหม่าหลิงอวิ๋นั้แ่เมื่อไร แต่ตอนนี้นางกลับมองเห็นชัดเจน ซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่วางแผนร่วมกันมานานแล้ว
สาเหตุที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนโม่ เพราะมีครั้งหนึ่งขณะที่โม่เสวี่ยิ่ไปท่องเที่ยวกับเหล่าคุณหนูคุณชาย เกิดตกลงมาจากหลังม้า ซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็คนช่วยนางไว้ ชาติภพที่แล้วโม่เสวี่ยิ่พึงใจต่อโหยวเยวี่ยเฉิงผู้เป็รัฐทายาทิกั๋วกง แม้ว่าต่อมาฟางอี๋เหนียงจะได้ยกฐานะขึ้นเป็ภรรยาเอก แต่สถานะบุตรสาวภรรยาเอกกลวงๆ ของนางมิได้เข้าตาจวนิกั๋วกง ในที่สุดโหยวเยวี่ยเฉิงก็เลือกแต่งงานกับสตรีอื่น ส่วนโม่เสวี่ยิ่ต้องรอเก้อจนกลายเป็สาวเทื้อ
ดังนั้นจึงหันมาคว้าซือหม่าหลิงอวิ๋นแทน?
เื่นี้นางเองก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่เป็พวกเดียวกันแน่นอน
วันนี้การที่โม่เสวี่ยิ่พาซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาในเรือนของนาง เป็แผนการขั้นที่หนึ่ง ดูท่าการไปวัดเป้าเอินในวันพรุ่งนี้ต้องเป็แผนการขั้นที่สองแน่ พวกนางจะใช้อุบายแบบไหน สังหารนางโดยตรง หรือทำลายชื่อเสียงให้นางต้องแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นเหมือนชาติภพก่อน
ในตอนนั้น เนื่องจากรูปโฉมถูกทำลายจนอัปลักษณ์ นางจึงขังตนเองอยู่แต่ภายในเรือนหลัง ไม่รู้เื่ราวภายนอกแม้แต่น้อย ครั้งนั้นนางตกลงไปในสระบัว ซือหม่าหลิงอวิ๋นผ่านมาเจอจึงช่วยชีวิตนางไว้ ทำให้นางไม่อาจไม่แต่งงานให้เขาได้ในเวลาต่อมา แต่ด้วยความอ่อนโยนกอปรกับเขาไม่นึกรังเกียจที่นางเสียโฉม สุดท้ายจึงยอมเชื่อฟังทำตามเขาทุกอย่าง
แล้วชาติภพนี้ ฟางอี๋เหนียงจะมาแผนไหนอีก
นางตัวคนเดียวเรี่ยวแรงก็มีน้อยนิด สาวใช้ข้างกายสองสามคนแม้จะมีปฏิภาณไหวพริบ แต่หากมีอันตรายเกิดขึ้นจริง สตรีอ่อนแอเพียงไม่กี่คนจะรับมืออยู่ได้อย่างไร ตอนที่โม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นกรอกสุราพิษนาง สวี่มามากับโม่อวี้เข้ามาขัดขวางอย่างไม่คิดชีวิต แล้วเป็อย่างไรเล่า สุดท้ายก็แค่สังเวยชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกสองชีวิต
นางจำเป็ต้องหาผู้ช่วย จึงจะรับมือกับโม่เสวี่ยิ่ที่ทั้งมีฝีมือร้ายกาจ และใจดำอำมหิตได้
แต่ปัญหาก็คือนางเป็สตรีในเรือนชั้นใน แม้ว่าจะคำนวณเวลาและโอกาสล่วงหน้าได้ แต่จะหาผู้ช่วยที่ไว้ใจได้จากที่ไหน แม้คราที่แล้วจะขอให้ไป๋อี้เฮ่าช่วยออกหน้า แต่ก็ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากเขาได้ทุกครั้ง อีกอย่างคนผู้นั้น... อันตรายเกินไป นางทอดสายตาอยู่ในราตรีอันมืดมิดนอกหน้าต่าง สมองคิดใคร่ครวญไม่หยุดนิ่ง เรียวคิ้วดั่งกิ่งหลิวมุ่นเล็กน้อย หากแต่หัวใจขมวดเกลียวเป็ร้อยปม
โม่หลันเห็นนางเป็เช่นนี้ก็รู้ว่านางกำลังใช้ความคิด จึงไม่มีคำถามอีก หันไปเอาใจใส่กับการจัดเก็บเสื้อผ้าอย่างเบามือที่สุด
ผู้ช่วย... นาง้าผู้ช่วย นิ้วมือวาดลงไปบนตั่งอีกครั้งตามจิตใต้สำนึก ทันใดนั้นสายตาก็ไปจับอยู่บนหนังสือที่อยู่ด้านข้าง
หัวใจของนางะเืลั่น เกิดกระแสคลื่นม้วนเกลียวในดวงตากระจ่างใส พลิกกายลุกขึ้นมานั่งโดยพลัน
“คุณหนูอยากดื่มชาหรือเ้าคะ” โม่หลันวางเสื้อผ้าในมือลง เดินไปรินน้ำชาให้นาง โม่เสวี่ยถงมิได้รับถ้วยชา แต่กลับดึงโม่หลันเข้ามาถาม “หนังสืออ่านเล่นทั้งหมดที่นำกลับมาคราก่อนอยู่ที่ไหน”
หนังสือเ่าั้ส่วนใหญ่ใช้สำหรับอ่านเล่นฆ่าเวลา ไม่ใช่ตำราโบราณล้ำค่าแต่อย่างใด จึงมิได้อยู่ในห้องของโม่เสวี่ยถง แต่ให้พวกโม่หลันเอาไปวางกองไว้ที่อื่น
“หนังสือสองสามหีบนั้นบ่าวจำได้ว่าโม่เหอให้คนเอาไปเก็บไว้ในห้องปีกตะวันออกเ้าค่ะ คุณหนูอยากอ่านหรือเ้าคะ” โม่หลันขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนตอบ
“เ้าไปช่วยข้าหาหนังสือ 'บันทึกลับต้าฉิน' แล้วรีบนำมาให้ข้า”
“เ้าค่ะ” แม้ว่าโม่หลันจะไม่รู้เป้าหมายของโม่เสวี่ยถง แต่เห็นนาง้าอย่างเร่งด่วน จึงรีบรับคำแล้วหมุนตัวออกไป
โม่เสวี่ยถงคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อชาติภพก่อนหนังสืออ่านเล่นเ่าั้ล้วนเป็สินเดิมที่ติดตัวนางไปจวนเจิ้นกั๋วโหวด้วย เนื่องจากไม่มีใครสนใจ จึงถูกนำไปกองรวมกันไว้ในห้องข้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งซือหม่าหลิงอวิ๋นมานั่งเล่นในห้องของนาง ว่างๆ จึงหยิบหนังสือเล่มนั้นมาพลิกดู มีจดหมายร่วงลงมาจากหนังสือฉบับหนึ่ง ซือหม่าหลิงอวิ๋นจึงเก็บขึ้นมาดู จากนั้นก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมายืน ชนถ้วยชาบนโต๊ะพลิกคว่ำ
โม่เสวี่ยถงกำลังร้อยเข็มปักผ้า เงยหน้าขึ้นถามด้วยความใ เห็นเพียงเงาร่างที่แสดงถึงความปีติยินดีของเขา กับเสียงหัวเราะดังลั่น
โม่เสวี่ยถงเก็บหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาจากพื้น ดูที่หน้าปกก็จำได้ว่านี่เป็หนังสืออ่านเล่นเล่มหนึ่งของมารดามีชื่อว่า 'บันทึกลับต้าฉิน'
จากนั้นซือหม่าหลิงอวิ๋นก็หายหน้าไปสองสามวัน ตอนที่กลับมา ข้างกายเขามีองครักษ์เงาฝีมือสูงส่งเพิ่มขึ้นมาสองคน จนกระทั่งนางตาย องครักษ์สองคนนั้นก็ยังคงติดตามเขาอยู่ตลอดเวลา ่เวลาที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นวางแผนทำลายจวนฝู่กั๋วกง องครักษ์สองคนนี้ก็เป็กำลังสำคัญของเขา
จวนเจิ้นกั๋วโหวไม่มีทางเลี้ยงองครักษ์เงาเช่นนี้ได้!
นอกจากนี้ความผิดปรกติของซือหม่าหลิงอวิ๋น อธิบายได้เพียงว่ากระดาษที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นมีปัญหา ยิ่งเข้าใกล้ความจริงเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น มือเรียวค่อยๆ พับลงมากำแน่น
“คุณหนู ใช่เล่มนี้หรือไม่เ้าคะ” ม่านประตูถูกเลิกขึ้น โม่หลันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งเดินเข้ามา สาวใช้สองสามคนนี้ติดตามข้างกายโม่เสวี่ยถงมาช้านาน ตัวอักษรขั้นพื้นฐานย่อมรู้จัก
“เอามา” โม่เสวี่ยถงสูดหายใจลึกยาว ข่มความหวิวไหวไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
นางรับหนังสือมาจากโม่หลัน นิ้วมือแข็งเกร็งพลิกเปิดออกดูด้วยใจระทึก พบกระดาษที่เต็มไปด้วยคราบเหลืองสอดอยู่ด้านใน ภายใต้แสงเทียนสลัวแลเห็นตัวอักษรไม่กี่ตัวปรากฏอยู่บนกระดาษ
'องครักษ์เงา สองนาย'
ด้านล่างไม่มีการลงนาม มีเพียงสัญลักษณ์ประหลาดประทับตราอยู่ ด้านข้างของสัญลักษณ์นั้นมีชื่อสถานที่ 'วัดเป้าเอิน'
วัดเป้าเอิน?
“คุณหนู...” ใบหน้าของทั้งสองคนพลันเปลี่ยนเป็ซีดขาวภายใต้แสงตะเกียง นิ้วมือเรียวสั่นระริก
ผ่านไปครู่ใหญ่โม่เสวี่ยถงจึงสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ พับกระดาษในมือเก็บลงซอง สีหน้าคืนกลับมาเป็ปรกติแล้วค่อยเอ่ยวาจา “โม่หลัน เื่วันนี้ห้ามพูดกับผู้ใดเด็ดขาด แม้แต่สวี่มามาก็ไม่อนุญาต”
ผู้ที่ทราบเื่นี้มีน้อยเท่าไรยิ่งดี นางรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ความกดดันแผ่คลุมไปทั่วทำให้นางแทบหายใจไม่ออก เหตุไฉนหนังสือของมารดาจึงมีกระดาษแผ่นนี้อยู่ได้ แม้ว่ามารดาจะเป็บุตรภรรยาเอกจวนฝู่กั๋วกง สถานะสูงส่ง แต่การมีอยู่ของกระดาษบันทึกประเภทนี้ กลับดูเหมือนเป็ผลึกน้ำแข็งใตู้เาอันลึกลับ
และนางกำลังค่อยๆ กระเทาะเปิดผนึกของมันออกมา...
“คุณหนู บ่าวไม่พูดแน่นอนเ้าค่ะ” โม่หลันเป็คนรู้หนักเบา พยักหน้าอย่างมั่นคง “แต่ว่า คุณหนู... ที่แท้ก็เป็วัดเป้าเอินเองหรอกหรือ”
วัดเป้าเอินเป็วัดพุทธที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง เล่ากันว่าจิ้นอ๋องผู้ก่อการฏเมื่อสามสิบปีก่อนเคยมาบำเพ็ญปฏิบัติโดยมิได้ปลงผมที่นั่นอยู่่เวลาหนึ่ง จิ้นอ๋องผู้นั้นเกือบจะไต่ไปถึงบัลลังก์ัอยู่แล้ว ขาดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว ยังมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าจิ้นอ๋องทิ้งสมบัติไว้มหาศาล ตอนนั้นมีคนมากมายออกตามหาล่าสมบัติตามกระแส แต่ในที่สุดก็เป็เพียงเื่ที่จบลงแบบไม่มีบทสรุป
สาเหตุที่คนในตระกูลสูงศักดิ์จำนวนมากในเมืองหลวงชื่นชอบวัดเป้าเอิน หนึ่งเป็เพราะเหตุผลนี้ อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะที่นั่นมีทิวทัศน์ที่เป็เอกลักษณ์ สถานที่งดงามโอ่โถง
หลังจากโม่ฮว่าเหวินย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองหลวง ก็มาจุดตะเกียงฉางิให้ภรรยาผู้ล่วงลับที่วัดเป้าเอิน ดังนั้นจึงมีสถานที่สวดภาวนาอย่างที่โม่เสวี่ยิ่กล่าวไว้
“เป็วัดเป้าเอินได้ก็ยิ่งดี โม่หลัน มือของเ้าเป็อย่างไรบ้าง” โม่เสวี่ยถงตั้งสติแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล
“บ่าวไม่เป็อะไรแล้วเ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็ไปวัดเป้าเอินกับคุณหนูได้” โม่หลันเข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถง จึงตอบด้วยแววตาหนักแน่น
โม่เสวี่ยถงถอนใจเสียงเบา หัวใจรู้สึกซาบซึ้ง ยื่นมือมาตบหลังมือของโม่หลัน นางไม่อาจแยกจากโม่หลันได้จริงๆ โม่เหอกับโม่อวี้แม้ว่าจะคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่ก็มิได้เข้าใจคนอย่างลึกซึ้งและใจเย็นมองเห็นภาพรวมเป็สำคัญเหมือนโม่หลัน แม่นมสวี่ก็อายุมากแล้ว บางครั้งจะพาไปด้วยก็ไม่ค่อยเหมาะสม ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เดินทางไปวัดเป้าเอินครานี้นางต้องได้องครักษ์เงาทั้งสองคนกลับมาด้วย
ขอเพียงมียอดฝีมือสองคนคอยเฝ้าดูแลอยู่ในที่ลับ อุบายอ่อนด้อยที่โม่เสวี่ยิ่กับฟางอี๋เหนียงคิดจะใช้เล่นงานตนย่อมนำออกมาใช้ไม่ได้อีก
“บ่าวต้องทำอย่างไรบ้างเ้าคะคุณหนู” โม่หลันรู้ว่าเื่นี้สำคัญอย่างยิ่ง ดวงตาที่มองโม่เสวี่ยถงสว่างสดใส
ครานี้นางต้องให้ความร่วมมือกับคุณหนูอย่างเต็มที่ และจะไม่ตัดสินใจอะไรเองก่อนจะได้รับคำสั่ง
“เ้าหยุดเก็บของก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้พวกโม่อวี้มาจัดการแต่เช้า ส่วนเ้ามาช่วยข้าปักตราสัญลักษณ์นี้ลงบนถุงหอมใบหนึ่ง พรุ่งนี้จะได้พกติดตัวไปได้” โม่เสวี่ยถงกางกระดาษแผ่นนั้นออกมาอีกครั้ง ภายใต้แสงตะเกียงตราสัญลักษณ์นี้ดูไม่ซับซ้อนมาก คล้ายตัวอักษรแต่มิใช่ แลดูละม้ายดอกอวี้หลัน[1]บานสะพรั่ง
หากร่างโครงลายเส้นออกมาแล้วก็ไม่ยาก
เห็นคุณหนูหยัดกายตรงประดุจลำไผ่ แววตาเรียบเฉย มุ่นคิ้วเล็กน้อยริมฝีปากยิ้มอ่อนบาง ดูเหมือนมีความมั่นใจในตนเองอย่างสุดพรรณนา แม้แต่โม่หลันเมื่อรู้ความหมายในจดหมายยังตระหนกจนจิตใจสับสนวุ่นวาย ต้องตั้งสติถึงสงบลงได้ คุณหนูดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างแท้จริง หากฮูหยินที่อยู่บน์ได้รับรู้คงจะสบายใจ
กระดาษแผ่นนั้นก็เป็สิ่งที่ฮูหยินทิ้งไว้ให้คุณหนู นายหญิงรักคุณหนูมากถึงเพียงนั้น จะต้องไม่ทำร้ายคุณหนูแน่นอน
“เ้าค่ะ บ่าวจะไปเตรียมของเดี๋ยวนี้”
ยามนี้สองนายบ่าวต่างไม่รอช้า โม่หลันไปเตรียมเส้นไหม โม่เสวี่ยถงเขียนร่างภาพวาดเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันเย็บปักถักร้อย การเย็บถุงหอมไม่ใช่เื่ยากเย็น ชาติภพก่อนโม่เสวี่ยถงอยู่แต่ในหอห้อง จึงถนัดงานเย็บปักถักร้อยอย่างยิ่ง ทั้งยังเคยปักรูปภาพเป็ของขวัญวันเกิดให้เหล่าไท่จวินอีกด้วย
ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบงัน โม่เสวี่ยถงตื่นแต่เช้า แท้จริงแล้วเวลาในการนอนหลับของนางไม่ยาวนานมากนัก หลังจากผลัดเปลี่ยนเป็อาภรณ์สีขาวสะอาด อำลาโม่ฮว่าเหวินเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรอขึ้นรถม้าที่หน้าประตู ฟางอี๋เหนียงหัวเราะคิกคักเดินออกมาส่งและมองดูนางขึ้นรถไป
“ซื่อจื่อออกเดินทางแล้วหรือยัง” หลังจากรถม้าออกเดินทางไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ให้เห็นเพียงเงาหลังไกลๆ ฟางอี๋เหนียงจึงเก็บสีหน้ายิ้มอ่อนโยนมีเมตตาลง ดวงตาเผยแววยิ้มเยาะอย่างเปิดเผย นังไพร่สถุล! วางมาดราวกับนางพญาออกเดินทางจากท้องพระโรงอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นความเคารพต่อตนเองเลยสักนิด หากไม่เพราะคิดว่าครานี้นังแพศยาน้อยจะต้องถูกทำลายชื่อเสียงจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ต่อไปไม่อาจมาเผยอหน้าประชันกับิ่เอ๋อร์ได้อีก นางไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายเดินทางอย่างราบรื่นเช่นนี้แน่
“ซื่อจื่อให้คนมาแจ้งแต่เช้าว่าออกเดินทางไปวัดเป้าเอินแล้วเ้าค่ะ ตอนนั้นอี๋เหนียงยังอยู่ในห้องหนังสือ บ่าวจึงมิได้เข้าไปรายงานให้รับทราบ” หลี่มามากดเสียงต่ำกล่าวรายงานอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ดี ให้นังแพศยาน้อยนั่นเดินไปติดกับด้วยตนเอง...” ฟางอี๋เหนียงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน “อยากแส่หาเื่เอง โทษผู้อื่นไม่ได้”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ต่อให้คุณหนูสามเกิดอะไรขึ้นที่วัด... ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอี๋เหนียงทั้งสิ้น เพราะถึงอย่างไรอี๋เหนียงไม่ได้ตามไปด้วย คุณหนูสามทำอะไรไม่ระมัดระวังเอง จะโทษใครได้”
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1]ดอกอวี้หลัน หรือ ดอกแมกโนเลีย มีถิ่นกำเนิดในภาคกลางและภาคตะวันออกของจีนนิยมปลูกในพุทธวิหารจีน เป็สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์สง่างาม แข็งแกร่งและอดทน