หลังจากไปปล่อยข่าวที่เรือนของโม่เสวี่ยฉงแล้ว สวี่มามาก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ชัดเจนทันที เื่ที่คุณหนูสี่มีใจต่อเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อมิใช่ความลับอะไรในจวนนี้ ในเมื่อคุณหนูใหญ่้าทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของคุณหนูตน การลากสตรีตื้นเขินปากคอเราะรายอย่างคุณหนูสี่โม่เสวี่ยฉงมารับเคราะห์แทนก็สมควรแล้ว สวี่มามายังไม่ลืมเื่ที่วันนี้คุณหนูสี่กับคุณหนูใหญ่รวมหัวกันมาหาเื่ให้คุณหนูไม่มีความสุขแต่เช้าตรู่
“มามา ท่านรอหลังจากข้าไปแล้วสักครู่หนึ่งค่อยมาตามข้านะ” โม่เสวี่ยถงยิ้มพลางกล่าวกับสวี่มามา
สวี่มามาฟังแล้วก็หัวเราะ แน่นอนว่ามีคุณหนูสี่อยู่ คุณหนูของตนย่อมพ้นมลทินอย่างขาวสะอาด ส่วนผู้ที่จะต้องอาบย้อมกลิ่นคาวฉาวโฉ่ไปทั้งตัว กลับเป็คุณหนูใหญ่ผู้เสแสร้งทำตัวอ่อนโยนใจกว้างมาโดยตลอดนั่นเอง
โม่เสวี่ยถงพาสาวใช้ไปยังห้องหนังสือของบิดา ห้องหนังสือของโม่ฮว่าเหวินอยู่ประตูรอง ไม่นับว่าไกลมาก บ่าวชายเห็นนางมาแต่ไกลก็เข้าไปรายงานให้โม่ฮว่าเหวินรับทราบก่อนแล้ว ดังนั้นจึงออกมาต้อนรับที่หน้าประตูเชิญให้เข้าไป
“ถงเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี มานั่งได้เลย ไปพบท่านยายแล้วเป็อย่างไรบ้าง สุขภาพของท่านยังแข็งแรงดีหรือไม่” โม่ฮว่าเหวินวางงานเอกสารราชการในมือลง แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านยายสบายดีเ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เพียงแค่สุขภาพอ่อนแอไปหน่อย วันนี้ลูกผู้พี่เชิญคุณชายไป๋มาช่วยวินิจฉัยให้แล้วเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงเข้ามาคารวะอย่างเต็มพิธีแล้วลุกขึ้นมานั่งด้านข้าง ก่อนตอบคำถาม
“คุณชายไป๋? คุณชายไป๋อี้เฮ่าน่ะหรือ” โม่ฮว่าเหวินยิ้มพลางหยิบถ้วยน้ำชาข้างมือมาดื่มคำหนึ่ง แล้วถามด้วยความสนใจ
“ใช่เ้าค่ะ ได้ยินมาว่าคุณชายไป๋ผู้นี้เป็ถึงองค์ชายรัชทายาทของแคว้นเยี่ยน แล้วเหตุใดเขาจึงมาแคว้นฉินล่ะเ้าคะท่านพ่อ ได้ยินมาว่าแคว้นเยี่ยนก็เป็แคว้นที่เข้มแข็ง มิได้อ่อนด้อยกว่าแคว้นฉินของเราเลย” โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้น เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโปรดปรานรักใคร่ของโม่ฮว่าเหวินกำลังมองตนเองอยู่ ก็กะพริบตาปริบๆ อย่างน่ารัก
ช่างแตกต่างจากภพที่แล้วนัก ยิ่งนานไปนางยิ่งรู้สึกถึงความรักของบิดาชัดเจนขึ้นทุกขณะ
“แคว้นเยี่ยนกับแคว้นฉินล้วนแข็งแกร่งทั้งคู่ อีกทั้งตอนนี้จักรพรรดิแห่งแคว้นเยี่ยนยังมีฐานะเป็พระกนิษฐภรรดา[1] ของฝ่าา ดังนั้นคุณชายไป๋จึงไม่นับว่าเป็องค์ประกันจริงๆ หรอก จะว่าไปแล้ว ฝ่าายังทรงปรารถนาให้เขาขึ้นเป็จักรพรรดิแคว้นเยี่ยนในภายภาคหน้า ย่อมไม่อาจกักขังเขาอยู่แล้ว องค์ประกันของทั้งสองแคว้นก็เป็เพียงแค่ในนามเท่านั้นแหละ”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของบุตรสาว หัวใจโม่ฮว่าเหวินก็มีความสุขล้นเหลือ แม้แต่เื่การเมืองที่ปรกติแล้วจะไม่พูดกับสตรี ก็ยังยกมาอธิบายให้โม่เสวี่ยถงฟังอย่างละเอียด
“ต่างฝ่ายต่างมีองค์ประกันหรือเ้าคะท่านพ่อ แคว้นฉินก็มีองค์ชายที่ไปแคว้นเยี่ยนเหมือนกันหรือ” โม่เสวี่ยถงยิ่งคลี่ยิ้มงดงามขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ที่ไปจากแคว้นฉินมิใช่องค์ชาย แต่เป็หนิงอ๋อง-เฟิงเจวี๋ยเจิน” โม่ฮว่าเหวินเห็นดวงตาของโม่เสวี่ยถงเผยแววฉงน ย่อมรู้ว่าบุตรสาวของตนเองเป็สตรีที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหอ อีกทั้งยังอยู่ไกลจึงไม่รู้ว่าหนิงอ๋องคือผู้ใด ครั้นแล้วก็อธิบายอีกครั้ง “หนิงอ๋องเป็โอรสของพระเชษฐาองค์โตของฝ่าา ทั้งยังเป็พระนัดดาโดยสายเืของไทเฮา มีสถานะสูงส่งและยังเป็พระภาติยะของฮองเฮาแคว้นเยี่ยน ด้วยคุณสมบัติแล้วจึงเหมาะสมที่สุด”
สถานะของหนิงอ๋องแม้จะสูงศักดิ์ก็จริง แต่พระโอรสของจักรพรรดิจงเหวินตี้ไม่ยิ่งสูงส่งกว่าหรือ แต่แน่นอนว่าคำพูดนี้โม่เสวี่ยถงจะไม่ถามออกไป ชาติภพก่อนหนิงอ๋องเฟิงเจวี๋ยเจินผู้นี้ถึงแก่อสัญกรรมที่แคว้นเยี่ยน ไม่มีโอกาสกลับมาด้วยซ้ำและมิได้เป็อย่างที่บิดากล่าวว่าเป็พระภาติยะของฮองเฮาแคว้นเยี่ยนแล้วจะประกันความปลอดภัยได้
“เื่เหล่านี้ซับซ้อนนัก ถงเอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจหรอกเ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ต้องเล่าสิ่งที่ลูกฟังไม่รู้เื่แล้วก็ได้เ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงบ่นกระปอดกระแปดแสร้งรำคาญ แล้วยื่นมือมารับกล่องของขวัญกล่องหนึ่งจากมือโม่เหอมาเปิดออก ก่อนจะเดินนำเข้าไปวางไว้ข้างหน้าของโม่ฮว่าเหวิน “ท่านพ่อเ้าคะ ลูกผู้พี่ให้ถงเอ๋อร์นำแท่นฝนหมึกมามอบให้ท่านพ่อเ้าค่ะ พอกลับมาถึงบ้าน ถงเอ๋อร์อยากนำของขวัญมาให้ท่านพ่อทันที จึงตรงมาที่นี่เลย ท่านพ่อคงไม่ตำหนิในความหุนหันพลันแล่นของถงเอ๋อร์ใช่ไหมเ้าคะ”
โม่ฮว่าเหวินชอบสะสมแท่นฝนหมึกโบราณ ครานี้จึงนับว่าลั่วเหวินโย่วเลือกของกำนัลมาเอาอกเอาใจได้เหมาะเจาะ ก่อนหน้านี้ตระกูลโม่กับตระกูลลั่วมีความสัมพันธ์ระหองระแหงกันมาโดยตลอด เมื่อโม่เสวี่ยถงกลับมา เหล่าไท่จวินก็ปรารถนาให้ความสัมพันธ์ของสองตระกูลแน่นแฟ้นขึ้น นี่เป็ของที่ลั่วเหวินโย่วมอบให้นางก่อนขึ้นรถกลับ ยืมมือนางเป็ตัวแทนมอบให้กับโม่ฮว่าเหวิน แสดงถึงมิตรภาพที่ดีของสองตระกูล
โม่ฮว่าเหวินอยู่ในแวดวงการเมืองย่อมเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ยิ่งเห็นการแสดงออกที่นุ่มนวลอ่อนโยนทั้งยังเต็มไปด้วยการฉอเลาะเอาใจอีกหลายส่วนของบุตรสาว ก็ยิ่งใจอ่อน หัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “เอาล่ะๆ พ่อจะตำหนิถงเอ๋อร์ได้อย่างไรเล่า ห้องหนังสือของพ่อ ถงเอ๋อร์อยากมาเมื่อไรก็ได้ ไหนเลยจะต้องถามอีก”
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ บ่าวชายคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “นายท่าน แย่แล้วขอรับ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่ทะเลาะกันใหญ่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” โม่ฮว่าเหวินหน้าตึงถามเสียงเข้มทันที
“บ่าวก็ไม่ทราบรายละเอียดขอรับ แต่ได้ยินมามาคนหนึ่งภายในเรือนบอกว่า คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่ดูเหมือนจะมีเื่กันเพราะเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อเป็เหตุ คุณหนูทั้งสองวิวาทกันเพื่อแย่งชิง...” บ่าวชายใจไม่กล้าพอที่จะพูดต่อให้จบ
แต่โม่ฮว่าเหวินกลับฟังเข้าใจ สีหน้าโกรธขึ้งจนเขียวคล้ำแทบะเิ เื่ของโม่เสวี่ยฉงไม่ใช่เื่ที่เกิดขึ้นแค่วันสองวัน ทุกครั้งที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นมา โม่เสวี่ยฉงก็จะวางแผนหาวิธีการไปพบหน้าเขาเสมอ แค่เอะอะก็น่ารำคาญพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเื่แบบนี้ขึ้น แล้วจะไม่ให้โกรธจัดได้อย่างไร เขาผุดลุกขึ้นทันที กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ตอนนี้พวกนางอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่เรือนคุณหนูสามขอรับ” บ่าวชายตอบเสียงอ่อย
“เรือนของข้า?” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นสีหน้าตะลึงพรึงเพริด หันไปหาโม่ฮว่าเหวินแล้วร้องเรียกบิดา “ท่านพ่อ...”
“ถงเอ๋อร์ พวกเราไปดูด้วยกัน” โม่ฮว่าเหวินก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเื่จึงไปเกิดที่เรือนของโม่เสวี่ยถง เขาสูดหายใจลึกข่มโทสะเอาไว้ แล้วเดินนำหน้าออกไป
ขณะที่พวกเขาเดินมาถึงเรือนชิงเวย สภาพภายในสวนเละเทะดูไม่ได้
สาวใช้ของโม่เสวี่ยฉงกับสาวใช้ของโม่เสวี่ยิ่ยืนแยกฝ่ายกันคนละฝั่งชัดเจน สตรีสองคนที่อยู่ในวงล้อม เสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ย ปิ่นปักผมเอียงกระเท่เร่ แค่มองก็รู้ว่าทั้งสองผ่านการลงไม้ลงมือกันมาแล้ว ซือหม่าหลิงอวิ๋นยืนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะอยู่ต่อก็ไม่ดี จะไปก็ไม่ได้ โม่หลันกับสวี่มามายืนก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตูเรือน ท่าทางแม้แต่จะหายใจแรงก็ยังไม่กล้า
“ใครก็ได้บอกข้าทีว่าเกิดเื่อะไรขึ้น” โม่ฮว่าเหวินพาโม่เสวี่ยถงเข้าประตูมา กวาดตามองที่เกิดเหตุรอบหนึ่งแล้วถามเสียงเย็น
“ท่านพ่อ พี่หญิงใหญ่พาซื่อจื่อเข้ามาในเรือนหลังเ้าค่ะ หญิงชายต่างยังมิได้ออกเรือน กลับอยู่ด้วยกันตลอด่บ่าย คุณหนูผู้เก็บตัวอยู่ในห้องหอสมควรทำเื่ผิดธรรมเนียมเช่นนี้หรือเ้าคะ ข้าก็แค่มาเกลี้ยกล่อมพี่หญิงใหญ่เท่านั้น” โม่เสวี่ยฉงฟ้องขึ้นมาก่อน ใบหน้าเล็กผิวขาวอมชมพูเผยแววริษยาชิงชังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ซื่อจื่อเข้ามาเรือนในของจวนข้า ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ” โม่ฮว่าเหวินไม่แยแสบุตรสาวคนเล็ก สายตาเลื่อนมาหาซือหม่าหลิงอวิ๋นที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยถามอย่างมีมารยาท ทว่าแววตากลับเย็นเยียบ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมองออกถึงความไม่พอใจของเขา
แม้ว่าปรกติซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไปมาหาสู่กับจวนโม่อยู่เสมอ แต่ไม่เคยเข้ามาถึงเรือนชั้นในอย่างเปิดเผยแบบนี้
“ใต้เท้าโม่ แท้จริงแล้วเป็เื่เข้าใจผิด ได้ยินคุณหนูใหญ่บอกว่า คุณหนูสามมีตำราพิณโบราณซึ่งเป็ฉบับดั้งเดิมที่หายาก หลิงอวิ๋นอยากเปิดหูเปิดตาจึงเชิญคุณหนูใหญ่เข้ามาด้วยกัน เพื่อมาช่วยขอร้องคุณหนูสาม แต่ไม่คาดว่าคุณหนูสามจะไม่อยู่ จึงต้องมารออยู่ในสวน หาได้ทำเื่ผิดธรรมเนียมขอรับ”
เกิดเื่แบบนี้ขึ้น ยามนี้ซือหม่าหลิงอวิ๋นแทบอยากจะมุดถ้ำหนีให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องจำยอมลดอัตตาตัวตน กล่าวชี้แจงเหตุผลอย่างอ่อนน้อม
“ถงเอ๋อร์ เ้ามีตำราพิณฉบับดั้งเดิมหรือไม่ หากว่ามีก็ไปหยิบมาให้ซื่อจื่อได้ชื่นชมหน่อยเถิด” โม่ฮว่าเหวินขมวดคิ้วกล่าวเสียงเย็น แต่กลับมองไปที่โม่เสวี่ยิ่ด้วยแววตานิ่งลึก
โม่เสวี่ยถงเคลื่อนกายออกมาจากด้านหลังของบิดา ยอบกายคารวะต่อซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างมีมารยาท ก่อนจะถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ที่นี่ไหนเลยจะมีตำราพิณโบราณแบบนั้นได้ ซื่อจื่อไปได้ยินมาจากที่ไหน เื่ราวของเรือนชั้นในแพร่ออกไปข้างนอกเร็วถึงเพียงนี้ั้แ่เมื่อไรกัน”
โม่ฮว่าเหวินฟังอยู่ด้านข้าง สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่
“อาจเป็หลิงอวิ๋นที่ได้เข้าใจผิดไป ต้องขอโทษคุณหนูทุกท่านด้วยใจจริง” ซือหม่าหลิงอวิ๋นเหงื่อเริ่มผุดออกจากศีรษะ คำพูดเริ่มกล่าวไม่เต็มปาก เขาจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าโม่เสวี่ยิ่เป็คนบอกเขา
“หากซื่อจื่อไม่มีธุระแล้วก็เชิญกลับไปเถิด ข้าจะไม่ส่ง” โม่ฮว่าเหวินกล่าวอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงเ็าห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ
“เช่นนั้นข้าขออำลา” ซือหม่าหลิงอวิ๋นจนตรอกถึงที่สุดแล้ว ไหนเลยจะกล้ากล่าวสิ่งใดอีก บ่าวาุโคนหนึ่งก้าวเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ซื่อจื่อ เชิญเ้าค่ะ” แล้วหมุนตัวนำออกไปจากสวน ซือหม่าหลิงอวิ๋นรีบตามออกไปทันที
โม่ฮว่าเหวินเริ่มระบายโทสะ เขามองไปยังบุตรสาวทั้งสองในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ตะคอกเสียงดุดัน “มาอธิบายให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้” แล้วก็พาโม่เสวี่ยถงเข้าไปในห้อง
โม่เสวี่ยฉงรีบเดินตามเข้าไป ส่วนโม่เสวี่ยิ่ค่อยๆ จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยก่อน จึงค่อยเดินเข้าไปในห้อง
“พูด! เกิดเื่ขึ้นได้อย่างไร” หลังจากนั่งลงบนตั่ง โม่ฮว่าเหวินก็ตบโต๊ะทีหนึ่ง ก่อนถามเสียงเข้ม
“ท่านพ่อ ไม่มีเื่อะไรจริงๆ ล้วนเป็ิ่เอ๋อร์ที่ไม่ดีเอง คิดว่าซื่อจื่อกับบ้านเราสนิทกัน และก็อยากเห็นตำราพิณเก่าแก่เล่มนั้นด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าน้องสี่จะเข้าใจผิด” ครั้งนี้โม่เสวี่ยิ่ชิงตัดหน้าพูดก่อนบ้าง นางคุกเข่าลงตอบคำถาม ไม่มีท่าทางก้าวร้าวแบบโม่เสวี่ยฉง แต่กลับยอมรับความผิดทั้งหมดมาไว้ที่ตนเอง
นี่ทำให้สีหน้าโม่ฮว่าเหวินค่อยๆ อ่อนลง
“ท่านพ่อ อย่าโมโหไปเลยเ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่วางตัวดีมาโดยตลอด รู้หลักจารีตประเพณีเป็อย่างดีจะประพฤติผิดธรรมเนียมได้อย่างไร” โม่เสวี่ยถงที่อยู่ด้านข้างช่วยเกลี้ยกล่อม แล้วหันไปพูดกับโม่เสวี่ยฉง “น้องสี่ ไม่ใช่ว่าเ้าเข้าใจพี่หญิงใหญ่ผิดไปหรอกหรือ”
เข้าใจผิด? หากเป็การเข้าใจโม่เสวี่ยิ่ผิด ความผิดวันนี้ก็ต้องตกมาอยู่ที่ตนเองน่ะสิ
แค่ได้ยินโม่เสวี่ยฉงก็ร้อนรนกระวนกระวายใจแล้ว เดินเข้ามาสองก้าวแล้วคุกเข่าหน้าโม่ฮว่าเหวินทันที พลางยกแขนเสื้อมาปิดหน้าร้องไห้ “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เข้าใจผิด ตอนที่มาถึง ข้าเห็นพี่หญิงใหญ่กับซื่อจื่อคุยกันอย่างสนิทสนมจริงๆ พี่หญิงใหญ่ยังชงชาให้ซื่อจื่อด้วยตนเอง ทั้งสองคนนั่งชิดกันขนาดนั้น นอกจากนี้ภายในเรือนด้านใน เดิมทีก็ไม่ใช่สถานที่ต้อนรับแขกที่เป็บุรุษ แม้ว่าซื่อจื่อจะเป็คนคุ้นเคยกับท่านพ่อ พี่หญิงใหญ่ก็ไม่อาจทำเื่ผิดธรรมเนียมแบบนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเข้าไปถามดีๆ ไม่คิดว่าพี่หญิงใหญ่จะผลักข้าก่อน...”
“น้องสี่ เ้าอย่าพูดเหลวไหล ข้ารอน้องสามอยู่นานก็ไม่มาเสียที กลัวว่าซื่อจื่อจะเบื่อ เห็นว่าเป็แขกจึงเข้ามาต้อนรับขับสู้ มิได้ทำเื่ผิดธรรมเนียมแต่อย่างใด” โม่เสวี่ยิ่ขบกรามแน่นด้วยความโกรธ เมื่อครู่นางอุตส่าห์หาทางลงให้โม่เสวี่ยฉงแล้วแท้ๆ แค่บอกว่าเข้าใจผิด จากเื่ใหญ่ก็จะกลายเป็เื่เล็ก จากเื่เล็กก็จะกลายเป็ไม่มีเื่ แต่นางก็เพียรแต่ทำเื่โง่งม ถึงตอนนี้ก็ยังกัดตนเองไม่ปล่อย
“แล้วไฉนต้องร้อนตัวมาผลักข้าด้วยเล่า” โม่เสวี่ยฉงถามซ้ำ
“ข้าไม่ได้...” โม่เสวี่ยิ่พยายามจะพูดแก้ต่าง แต่เห็นสีหน้าของโม่ฮว่าเหวินดำทะมึนขึ้นทุกขณะ แม้ว่านางจะเฉลียวฉลาดปานใดแต่พอถูกโม่เสวี่ยฉงกัดไม่ปล่อยแบบนี้ ก็พูดไม่ออกเช่นกัน
“คุณหนูสี่ บ่าวเป็คนผลักเองเ้าค่ะ ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ บ่าวเห็นคุณหนูสี่ปราดเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดก็นึกว่าคุณหนูสี่จะตบคุณหนูใหญ่ ดังนั้นบ่าวก็เลยผลักคุณหนูสี่ไปทีหนึ่ง...” โม่จิ่นซึ่งเป็สาวใช้ข้างกายโม่เสวี่ยิ่คุกเข่าลงโดยพลัน กล่าวทั้งน้ำตา
“นังคนชั้นต่ำ เ้าอย่ามาพูดเหลวไหล ตอนนั้นเ้ายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง จะมาผลักข้าได้อย่างไร” โม่เสวี่ยฉงโกรธจัดจนหยุดร้องไห้ทันที ทำท่าจะปราดเข้าไปตบตีโม่จิ่นด้วยความโมโห แต่ถูกโม่เยี่ยนสาวใช้ข้างกายกอดรัดไว้แน่นจึงลุกขึ้นมาไม่ได้
ภายในห้องเกิดเหตุชุลมุนขึ้นมาอีก
“ใครเป็ฝ่ายเริ่มลงมือก่อน” โม่ฮว่าเหวินลุกขึ้นทันที คว้าแจกันใบหนึ่งแล้วปาลงไปที่พื้นอย่างแรง แจกันดอกไม้ลายครามแตกกระจายเกิดเสียงดังกังวาน ทำให้เสียงอื่นๆ ภายในห้องเงียบกริบทันที
โม่เสวี่ยฉงเห็นดวงตาดุดันของโม่ฮว่าเหวินก็หน้าตาลนลาน นางกลัวบิดามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อครู่นางเพียงแค่โมโห อยากผลักความผิดให้โม่เสวี่ยิ่เป็ผู้รับผิดชอบ ดังนั้นจึงทั้งร้องไห้ทั้งอาละวาด ตอนนี้พอสงบลงถึงคิดได้ว่าตอนนั้นคนเยอะ เื่ราวไม่อาจปิดบัง สีหน้าพลันซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อเป็เช่นนี้ ความจริงจึงกระจ่างออกมาทันที โม่ฮว่าเหวินแผดเสียงลั่น “โม่เสวี่ยฉง!”
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] พระกนิษฐภรรดา หมายถึง น้องเขย