หลินเยว่รีบหลบตัวไปอีกทาง เขาพยายามหนีออกห่างจากมือของชายวัยกลางคน พร้อมทั้งพูดกับอีกฝ่ายด้วยความโกรธจัด “คุณรีบเก็บเงินของคุณไปเลย ผมไม่มีทางรับเงินของคุณแน่ๆ หากคุณยังคิดจะยัดเยียดให้ผมอีก ขอความกรุณาให้คุณออกไปเถอะ”
หลินเยว่รู้สึกโกรธจริงๆ อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็คนแบบไหนกัน เขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวหรอกนะ
ชายวัยกลางคนเห็นว่าหลินเยว่โกรธขึ้นจริงๆ เขาจึงค่อยๆ ลดมือลง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็ธรรมชาตินัก “พ่อหนุ่ม คุณเป็อะไรไปล่ะ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยสักนิด”
“พูดออกมาเถอะ คุณมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่?” หลินเยว่ค่อยๆ ควบคุมความโกรธของตัวเองลงและถามชายวัยกลางคนขึ้นมา
ชายวัยกลางคนจึงวางเครื่องลายครามในมือลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น “ผมมาหาท่านเฮ่อเพื่อขอให้ท่านเฮ่อช่วยพิสูจน์ว่าเครื่องลายครามใบนี้เป็ของแท้หรือไม่”
“คุณพูดตรงๆ ก็พอแล้วไม่ใช่หรอ แล้วจะมายัดเยียดเงินใส่ผมทำไมล่ะ?”
หลินเยว่ถามด้วยความสงสัย ระหว่างที่พูดเขาก็แอบรำพึงในใจว่าแรงข้อมือและแรงแขนของชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อสักครู่มีจังหวะเคลื่อนไหวตัวเยอะขนาดนี้ แต่มือของเขากลับกอดเครื่องลายครามได้แน่นมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเยว่ ชายวัยกลางคนกลับมีสีหน้าทุกข์ใจ เขาจึงพูดขึ้น “ผมไม่รู้จักกับท่านเฮ่อเป็การส่วนตัว หากจู่ๆ ผมขอให้ท่านเฮ่อพิสูจน์ให้ ท่านคงไม่ยอมพิสูจน์ให้ผมหรอก หากใครก็ไม่รู้สักคนสามารถมาขอให้ท่านเฮ่อพิสูจน์ได้ ท่านเฮ่อก็คงต้องยุ่งกับเื่พวกนี้จนแย่แน่ๆ ดังนั้น ผมถึงขอให้คุณช่วยผมหน่อย ช่วยขอร้องท่านเฮ่อให้หน่อยนะ”
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้า ท่านเฮ่อไม่สามารถช่วยทุกคนพิสูจน์ได้หรอก เพราะหากท่านพิสูจน์ให้จริงๆ ท่านคงไม่ต้องค้าขายกันพอดี ซ้ำยังคงต้องยุ่งจนไม่เป็อันทำอะไร
หลินเยว่พลันคิดถึงเื่นี้ขึ้นมาได้ เขาจึงถามขึ้น “มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากถนนเส้นนี้ไม่ไกลนัก คุณก็ไปพิสูจน์ที่นั่นสิ ทำไมถึงต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
“เื่นี้......” ชายวัยกลางคนอึกอักอยู่เป็นานถึงได้พูดขึ้น “ที่นั่นพิสูจน์ไม่ดี ผมรู้สึกเชื่อมั่นในตัวท่านเฮ่อมากกว่า”
หลินเยว่รู้สึกว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีเื่บางอย่างแอบซ่อนอยู่ในใจ เขาจึงไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ แต่กลับพูดขึ้น “เื่นี้ผมคงช่วยคุณไม่ได้หรอก ผมไม่ได้สนิทกับท่านเฮ่อขนาดนั้น คงช่วยคุณไม่ได้จริงๆ”
ตอนนี้เขายังไม่ทันได้ขอคารวะท่านเฮ่อเป็อาจารย์แต่กลับพาเื่ยุ่งยากมาหาท่านเต็มไปหมดมันคงไม่ใช่เื่ที่ดีนัก โชคดีที่เขาไม่ได้รับเงินไว้ หากเขารับเงิน เขาคงรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ หากท่านเฮ่อฉางเหอรู้ว่าเขาขายอาจารย์ด้วยเงิน 2,000 หยวน เกรงว่าเขาคงจะถูกท่านเฮ่อขับไสไล่ส่งออกไปจากที่นี่เป็แน่
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็คิดจะควักเงินขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลินเยว่มือไวตาไวยิ่งกว่า เขาจึงห้ามปรามพร้อมพูดขึ้น “คุณอย่าทำเช่นนี้อีกเลย ผมไม่มีทางรับเงินจากคุณหรอกนะ เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับเื่เงินเลยสักนิด”
“ไม่สามารถยกเว้นเป็กรณีพิเศษจริงๆ หรือ?” ชายวัยกลางคนถามขึ้นด้วยสีหน้าทุกข์ใจ
หลินเยว่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ถึงแม้ว่าเขาคิดอยากจะช่วย แต่ทว่าเขาในฐานะลูกศิษย์ของท่านเฮ่อ เขาไม่มีทางช่วยเื่แบบนี้อย่างแน่นอน เขาจึงพูดขึ้น “หากคุณคิดอยากจะหาท่านเฮ่อให้ท่านเฮ่อช่วยพิสูจน์จริงๆ แล้วล่ะก็ คุณก็รอให้ท่านเฮ่อกลับมาแล้วคุณก็ขอร้องท่านด้วยตัวเองสิ แต่จะให้ผมเป็คนกลาง ผมทำไม่ได้หรอก”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ถูก เขาอุ้มเครื่องลายครามขึ้นมาและเตรียมจะเดินออกไปนอกร้าน แต่แล้วกลับถูกหลินเยว่เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน!”
“ที่คุณถืออยู่ในมือคือเครื่องลายครามใน่รัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิใช่ไหม?”
หลินเยว่พูดออกมาอย่างประหลาดใจ เมื่อวานเขาเพิ่งได้เรียนรู้จากท่านเฮ่อฉางเหอเกี่ยวกับลักษณะเด่นของเครื่องลายครามใน่รัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิพอดี คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนเดินเอาของชิ้นนี้มาให้ดูถึงที่
“พ่อหนุ่ม คุณรู้จักชามใบนี้ด้วยหรือ?” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ และยังแฝงไปด้วยความดีใจอีกด้วย
หลินเยว่พยักหน้ารับ เขาถามขึ้น “ขอผมดูหน่อยได้ไหม?”
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่ก็รู้เื่เกี่ยวกับเครื่องลายครามอยู่เหมือนกัน ชายวัยกลางคนจึงทำตัวเหมือนกับคนที่ร้อนใจจึงขอร้องให้คนช่วยไปทั่ว เขาจึงยื่นมือออกมาเพื่อจะส่งเครื่องลายครามให้กับหลินเยว่
หลินเยว่เห็นการกระทำเช่นนี้จึงรีบพูดขึ้น “การส่งเครื่องเคลือบจะไม่ส่งมือต่อมือ คุณวางมันไว้บนโต๊ะก่อนเถอะนะ”
ชายวัยกลางคนเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงวางชามลายครามลงบนโต๊ะทันที
การส่งเครื่องเคลือบจะไม่ส่งมือต่อมือเป็กฎโดยปริยายในวงการวัตถุโบราณ ที่มีกฎเช่นนี้เพื่อเป็การป้องกันเหตุการณ์การส่งเครื่องเคลือบระหว่างคนสองคนแล้วมีใครคนใดคนหนึ่งจับไม่อยู่จนทำให้เครื่องเคลือบตกแตก เพราะเหตุการณ์เช่นนี้จะถามหาความรับผิดชอบจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงไม่มีทางพูดได้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เวลาจะส่งเครื่องเคลือบนั้นจึงต้องวางเครื่องเคลือบไว้บนโต๊ะก่อน แล้วอีกฝ่ายค่อยหยิบเครื่องเคลือบขึ้นมาจากโต๊ะอีกที ตอนที่หลินเยว่ได้ยินกฎข้อนี้จากปากของท่านเฮ่อฉางเหอ หลินเยว่ก็รู้สึกว่าผู้าุโในวงการสะสมวัตถุโบราณช่างมีสมองล้ำเลิศจริงๆ เพราะสามารถคิดวิธีที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้
หลินเยว่ใช้มือทั้งสองข้างยกชามขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียด
นี่คือชามลายครามเขียนลวดลายดอกปทุมโบตั๋นก้านเกลียว ตัวชามถูกวาดเป็ลวดลายดอกไม้สีคราม ดอกไม้แต่ละดอกถูกเรียงร้อยต่อเนื่องกัน ถึงแม้ว่าอาจจะดูค่อนข้างซับซ้อนและสับสน แต่กลับให้ความรู้สึกว่ามีความสวยงามน่าดึงดูด ตัวชามด้านหนึ่งมีภาพดอกโบตั๋นที่เห็นได้อย่างชัดเจน ใบโบตั๋นมีลักษณะเหมือนรอยหยักของใบเลื่อย บริเวณขอบนอกเป็สีขาว สามารถมองเห็นลายเส้นใยของใบไม้ได้อย่างชัดเจน ตัวใบไม้วาดเป็รูปตีนไก่ ตรงดอกมีเป็ลักษณะเป็เถาเลื้อย ขอบก้นชามไม่มีการตกแต่งอื่นๆ มีเพียงลายโค้งสีครามสองเส้น ดูเหมือนเรียบง่าย แต่เทคนิคในการทำไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว
แต่ทว่าหลินเยว่รู้สึกว่าสีครามที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้านี้มีสีสดจนเกินไป ทำให้ดูไม่ค่อยเข้ากัน อีกทั้งเครื่องลายครามก่อนที่จะเข้าเตาเผาในรัชศกเฉิงฮว่าจะขาวสะอาด มีความละเอียด โครงสร้างสวยงามและมีความบาง สีเคลือบมีความหนาและมีความโดดเด่นแวววาว มีความโปร่งแสง หากนำไปส่องไฟ จะสามารถเห็นเนื้อของเครื่องลายครามออกเป็สีแดง แต่สีเคลือบของชามชิ้นนี้กลับดูหยาบ อีกทั้งมองไม่เห็นเนื้อสีแดงด้านใน
หลินเยว่ดูตรงขอบปากชามอีกครั้ง ปากชามเรียบเป็ระดับเดียวกัน มีความลื่นและละเอียด ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าของชิ้นนี้ทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ หลังจากนั้นเขาจึงดูที่ก้นชามอีกครั้ง เขารู้สึกว่าก้นชามใบนี้มีปัญหาบางอย่าง
ตรงขอบฐานมีความกว้างและหนา ผิวด้านใต้ของมันก็ดูเป็ระเบียบเรียบร้อยมากจนเกินไป โดยปกติเครื่องลายครามใน่รัชศกเฉิงฮว่าจะมีฐานขอบโค้งเป็วงกลม ซึ่งชามใบนี้กลับไม่ได้เป็เช่นนั้น
ตัวอักษรที่เขียนอยู่ตรงก้นชามยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ บนนั้นเขียนไว้ว่า “ทำขึ้นในรัชศกเฉิงฮว่า” ซึ่งเป็ตัวอักษรจีน 4 ตัว อีกทั้งยังถูกเขียนตัวอักษรด้วยสีเขียวบนพื้นสีดำ แต่เครื่องลายครามในรัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิจะไม่มีการเขียนอักษรจีน 4 ตัวเลย แต่จะเขียนว่า “ทำขึ้นในรัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิ” เป็อักษรจีน 6 ตัวแบ่งเป็ 2 บรรทัด และไม่มีการเขียนตัวอักษรด้วยสีเขียวบนพื้นสีดำทั้งสิ้น ดังนั้น หลินเยว่จึงสรุปออกมาว่าชามใบนี้เป็การเลียนแบบชามในสมัยรัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิ อย่างมากก็เป็เพียงชามที่ทำขึ้นใน่จักรพรรดิคังซีหรือเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงเท่านั้น
หลินเยว่วางชามกลับลงบนโต๊ะอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าหลินเยว่สังเกตเสร็จแล้ว เขาจึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ “นี่เป็ของแท้หรือเปล่า?”
หลินเยว่ไม่ได้บอกผลการสรุปของเขา แต่เขากลับถามออกไป “ชามใบนี้คุณซื้อมาด้วยราคาเท่าไหร่?”
“หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน เป็อย่างไรบ้าง? เป็ของปลอมหรือ?” ชายวัยกลางคนหน้าเสียพอสมควร เขาจ้องไปที่ใบหน้าของหลินเยว่โดยไม่ละสายตาเลยสักนิด ราวกับว่าเขากำลังกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดผลลัพธ์ที่ตนเองไม่อยากได้ยิน
“หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน?” หลินเยว่คิดทบทวนความรู้ที่ท่านเฮ่อฉางเหออธิบายให้เขาฟังเมื่อวานนี้ เขาจึงลองประเมินค่าชามใบนี้ดู และก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องขาดทุนอย่างแน่นอน อีกทั้งขาดทุนเป็จำนวนเงินที่ไม่น้อยเสียด้วย มูลค่าของวัตถุโบราณต้องดูว่าใครเป็คนซื้อของชิ้นนั้น หากให้คนที่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้มาซื้อ พวกเขาย่อมยินดีซื้อในราคาที่สูง หากให้คนอื่นๆ มาซื้อของชิ้นนี้ พวกเขาย่อมให้ราคาที่ต่ำ หลินเยว่ไม่กล้าระบุราคาออกมา เขาจึงได้แต่พูดตามความเป็จริงเท่านั้น
“ชามใบนี้ไม่ใช่ชามในสมัยรัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิ แต่เป็ของเลียนแบบที่ทำขึ้นในระหว่างสมัยจักรพรรดิคังซีและจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง”
“ของเลียนแบบ?” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที สีหน้าของเขาดูแย่มาก หลังจากนั้นจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความท้อใจ “เป็ของในสมัยราชวงศ์ชิงก็น่าจะมีมูลค่าอยู่บ้างใช่ไหม น่าจะขายได้ในราคาเท่าไหร่หรือ?”
“เื่นี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก”
หากหลินเยว่เป็เพียงบุคคลตัวคนเดียว เขาถึงจะกล้าประเมินราคาออกมา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะคนของหรงเล่อเซวียน อีกทั้งตอนนี้เขาถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็พนักงานของหรงเล่อเซวียน หากเขาประเมินราคาสูงมากจนเกินไป แล้วอีกฝ่าย้าขายให้กับหรงเล่อเซวียน นั่นก็จะกลายเป็ว่าเขาทำตัวเองแท้ๆ ทีเดียว
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าชามใบนี้เป็ของปลอม?” ชายวัยกลางคนจึงถามต่อด้วยความสงสัย เพราะคนตรงหน้าเป็เพียงพนักงานคนหนึ่งเท่านั้น เพราะเหตุใดคนคนนี้จึงมั่นใจว่าชามลายครามใบนี้เป็ของแท้หรือของปลอม?
เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้หลินเยว่มีสถานะเพียง “พนักงาน” ของหรงเล่อเซวียนเท่านั้น ชายวัยกลางคนจึงเริ่มคิดในใจว่าชามลายครามใบนี้อาจจะไม่ได้เป็ของปลอมตามที่หลินเยว่พูดจริงๆ ก็ได้