“เอ่อ เื่นี้...... เป็เพราะผมเคยศึกษาเกี่ยวกับเื่นี้มาก่อน” หลินเยว่ได้แต่ตอบออกมาเช่นนี้
“คุณเคยศึกษาเกี่ยวกับเื่นี้?” ชายวัยกลางคนมองหลินเยว่ด้วยสายตาข้องใจ “คุณเป็เพียงพนักงานคนหนึ่งของที่นี่ใช่ไหมล่ะ? แล้วทำไมถึงได้มั่นใจถึงขนาดนี้? หากไม่รู้แต่แกล้งทำเป็รู้ คุณต้องรับผิดตามกฎหมายด้วยนะ”
หลินเยว่ฟังออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกรับไม่ได้ว่าชามลายครามที่ตนเองมีไว้ในกลับเป็เพียงของปลอมใบหนึ่งเท่านั้น เขาจึงพูดอย่างจนปัญญาพร้อมถอนหายใจ “นี่เป็เพียงการสันนิษฐานของผม คุณจะไม่เชื่อก็ไม่เป็ไร”
การพูด “ประนีประนอม” ของหลินเยว่ทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกมีความหวังมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจึงถามขึ้น “เคยได้ยินมาว่าร้านวัตถุโบราณมักจะพูดถึงของแท้ให้กลายเป็ของปลอม หลังจากนั้นจึงรับซื้อในราคาที่ถูกลง เื่แบบนี้เกิดขึ้นจริงใช่ไหม?” ระหว่างที่พูด ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็กวาดตาสำรวจหลินเยว่ด้วยความข้องใจ
ถึงหลินเยว่จะเป็คนใจเย็นแค่ไหน แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายพูดจาแบบนี้ใส่หน้า เขาจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้นเขาจึงพูดลงเสียงหนัก “ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินข่าวลือแบบนี้มาจากที่ไหน และผมก็ไม่รู้ว่าร้านอื่นๆ เป็อย่างไร แต่ว่าหรงเล่อเซวียนของพวกเราไม่มีทางทำเื่แบบนี้อย่างเด็ดขาด และผมเองก็ไม่มีทางทำเื่แบบนี้อย่างเด็ดขาดเช่นกัน หวังว่าคุณควรจะเข้าใจถึงจุดนี้ให้ชัดเจน และอย่าไปสงสัยคนอื่นอย่างไร้เหตุผล”
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ” ชายวัยกลางคนรำพึงรำพัน “มีใครไม่รู้บ้างว่าร้านวัตถุโบราณอย่างพวกคุณเ้าเล่ห์ขนาดไหน!”
หลินเยว่พยายามระงับความโกรธภายในใจของตัวเอง น้ำเสียงของเขาจึงมีความเ็ามากขึ้น “หากไม่มีธุระอะไรแล้ว คุณก็สามารถกลับไปได้ หากคุณ้ารอท่านเฮ่อ รบกวนคุณช่วยนั่งอยู่ทางด้านข้าง”
“หึ! นี่คิดจะไล่คนอื่นหรืออย่างไร? หรือว่าถูกผมพูดแทงใจดำ? ที่แท้ร้านวัตถุโบราณก็ไม่ได้เป็ร้านที่ดีสักเท่าไรหรอกนะ? หรงเล่อเซวียนก็ไม่ได้ดีสมกับคำเล่าลือเลยสักนิด!” ชายวัยกลางคนหุ่นลงพุงผู้นี้รู้สึกไม่ยอมแพ้ เขาจึงเริ่มแสดงความโกรธออกมาและพูดจาเอะอะโวยวายขึ้น
“กรุณาอย่าพูดจาสบประมาทหรงเล่อเซวียนครับ!” ดวงตาทั้งสองข้างของหลินเยว่เริ่มเกิดประกายไฟแห่งความโกรธ มือของเขากำหมัดไว้ทั้งสองข้าง เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่้าจะต่อยคนอยู่ในใจทันที
“สบประมาท? ผมพูดจาดูถูกอย่างไรหรอ? ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง! แค่พนักงานกระจอกๆ คนหนึ่งทำไมถึงกล้าบอกว่าชามลายครามที่ผมซื้อมาเป็ของปลอมล่ะ ผมว่านะคุณไม่มีความรู้อะไรเลยแต่กลับพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าออกมามากกว่า ทั้งๆ ที่ชามใบนี้เป็ของแท้แต่กลับพูดให้กลายเป็ของปลอม” ชายวัยกลางคนพูดจาแฝงไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“พูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า? คุณบอกว่าผมพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า? หากชามใบนี้ของคุณเป็ของแท้ ผมยอมเอาหัวของผมนำลงมาให้คุณเตะแทนลูกฟุตบอลเลยก็ได้! แล้วคุณกล้าไหมล่ะ?” หลินเยว่โกรธจนถึงที่สุด จนสุดท้ายกลับหัวเราะออกมาเพราะรู้สึกว่าเื่นี้ช่างน่าตลกสิ้นดี เขาจึงถามอีกฝ่ายขึ้น
ท่าทีดุดันของหลินเยว่ทำให้ชายวัยกลางคนเกิดความลังเล ทำให้ท่าทีของทั้งสองฝ่ายเริ่มกลับกัน ทางหลินเยว่แข็งกร้าวขึ้น แต่ทางชายวัยกลางคนกลับอ่อนลง อันที่จริงชายวัยกลางคนดูเป็รองกว่าหลินเยว่เล็กน้อย เขาจึงพูดกระอึกกระอักอยู่ในลำคอ “คุณพูดจาไม่มีเหตุผล ผมไม่คุยกับคุณแล้ว”
“ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล? คุณถือเครื่องลายครามมาที่นี่แต่ไม่ยอมหาท่านเฮ่อกลับมาหาผม ผมมีเจตนาดีช่วยคุณพิสูจน์ให้ แต่คุณไม่รู้สึกขอบคุณผม เื่นี้ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่คุณกลับพูดจาดูิ่หรงเล่อเซวียนและผม การกระทำแบบนี้มันมีเหตุผลตรงไหน? ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อหรอกนะ” หลินเยว่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วจ้องตากับอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธจัด
ชายวัยกลางคนใสะดุ้งเฮือก เขารีบร่นถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที เมื่อเห็นว่าหลินเยว่ไม่ได้ก้าวเท้าตามมา ใจที่กำลังแกว่งอยู่ก็ค่อยๆ รู้สึกสงบลง แต่ถึงชายผู้นี้จะรู้สึกใกลัวขนาดไหน แต่การแสดงออกทางภายนอกของเขายังคงแข็งกร้าวอยู่ เขาพูดเหน็บแนมขึ้น “คิดอยากจะลงไม้ลงมืออย่างงั้นหรอ? อย่าคิดว่าหรงเล่อเซวียนของพวกคุณที่เป็ร้านเก่าแก่แล้วจะสามารถรังแกลูกค้าได้นะ ผมไม่หลงกลพวกคุณหรอก คุณพูดว่าเป็ของปลอมแล้วมันจะเป็ของปลอมจริงๆ หรือไง ถ้าแน่จริงก็เอาหลักฐานมายืนยันสิ”
“แล้วทำไมผมต้องเอาหลักฐานมาให้คุณด้วยล่ะ?” ณ เวลานี้ หลินเยว่ก็หัวเราะออกมาจริงๆ
“ก็เพราะ......” ชายวัยกลางคนกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เพราะอีกฝ่ายจะเอาหลักฐานออกมายืนยันหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็สิทธิ์ของฝ่ายนั้น ตัวชายวัยกลางคนเองจะไปเรียกร้องอะไรได้ล่ะ เขาจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างหน้าด้านๆ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงบอกว่าเป็ของปลอมล่ะ?”
“ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณ คุณรีบออกไปเถอะนะ จะของจริงหรือของปลอมผมก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว หากคุณมีเจตนาก่อกวนอีก ผมจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!” หลินเยว่ไม่อยากทะเลาะกับคนเช่นนี้จริงๆ มันน่าอายน่ะ!
“ผมว่าคุณคงไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า” ชายวัยกลางคนพูดจาดูถูกพร้อมหัวเราะเยาะ
คาดไม่ถึงว่าเขาพูดดีๆ ด้วยแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเลิกราอีก ้าให้เขาเอาจริงหรืออย่างไร!
ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้ว หลินเยว่จึงไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป เขามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก “ใช้เงินไปหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนเพื่อซื้อของปลอมชิ้นหนึ่ง หากเป็ผม ผมคงไม่กล้าออกมาเดินข้างนอกให้ขายขี้หน้าคนอื่นเขาหรอกนะ คุณเข้าใจไปเองว่าคุณรู้จักดีใช่ไหมล่ะ? ผมว่านะคุณนั่นแหละที่ไม่รู้แต่แกล้งทำเป็รู้! คุณเคยเห็นอักษรที่เขียนลงนามบนเครื่องลายครามในสมัยรัชศกเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิมี 4 ตัวอักษรด้วยหรือ? คุณไม่รู้แม้กระทั่งความรู้พื้นฐานเช่นนี้ยังคิดจะใช้เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนไปซื้อของปลอมมาอีก ช่างน่าตลกสิ้นดี! หากเป็ผม ผมคงล้างมืออำลาวงการแล้วล่ะ หรือไม่ก็ไปหาที่ซ่อนตัวในที่ที่ไร้ผู้คน จะได้ไม่ต้องอายคนอื่นเขา!”
หลินเยว่พูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าโดยไม่มีคำหยาบเลยสักคำ แต่ทว่ากลับเป็การว่าอีกฝ่ายได้เจ็บแสบทีเดียว
หลังจากว่าเสร็จ หลินเยว่ก็รู้สึกสบายตัวสบายใจขึ้นมาชั่วขณะ
คนแบบนี้สมควรโดนว่าจริงๆ!
“คุณ......ดี! ดี! ดี!” ชายวัยกลางคนหน้าเสียอย่างยิ่ง เขาชี้หน้าหลินเยว่พร้อมพูดขึ้น “ในที่สุดผมก็ได้เห็นความอวดดีของหรงเล่อเซวียนแล้วจริงๆ คุณคอยดูนะ หากผมไม่ได้เอาเื่นี้ไปป่าวประกาศข้างนอกผมคงไม่ใช่คนสกุลจาง!”
“เอาไปป่าวประกาศข้างนอก? หากคุณไม่ได้พูดบิดเบือนความจริงแล้วละก็ เดี๋ยวก็รอดูละกันว่าคนที่ขายหน้าจะเป็ใครกันแน่! หากผมได้ยินว่ามีข่าวลือที่จงใจทำลายภาพลักษณ์ของหรงเล่อเซวียนเผยแพร่อยู่ข้างนอก เพื่อปกป้องชื่อเสียงของหรงเล่อเซวียนไม่ให้เกิดความเสียหาย ผมก็ยินดีที่จะไปแจ้งตำรวจว่าใครบางคนเป็ผู้ต้องสงสัย!”
หลินเยว่มองชายวัยกลางคนผู้นี้ด้วยสายตาเ็า
“คุณ......”
“หึ!”
ชายวัยกลางคนขึงตาใส่หลินเยว่แรงๆ พร้อมทั้งส่งเสียงสบถด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาจึงหมุนตัวออกไปจากหรงเล่อเซวียน
หลังจากที่ชายวัยกลางคนจากไป หลินเยว่ถึงกับส่ายศีรษะอย่างอดใจไม่ไหว คนประเภทนี้ก็มีด้วยหรือ เขามีเจตนาดีแท้ๆ แต่กลับถูกมองว่าเป็ตัวร้าย คนแบบนี้สักวันคงจะเจอกับปัญหาใหญ่
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ท่านเฮ่อฉางเหอก็มาถึงหรงเล่อเซวียน หลินเยว่จึงเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ทั้งหมดตามความเป็จริงให้ท่านเฮ่อฟัง และปิดท้ายด้วยคำพูด “คนผู้นั้นบอกว่าเขาจะไปพูดทำลายชื่อเสียงของหรงเล่อเซวียน หรือว่าการที่ผมทำไปแบบนี้มันเป็การจัดการที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมหรือเปล่าครับ?”
ท่านเฮ่อฉางเหอส่งเสียงหึในลำคอ แล้วก็โบกมือไปมา “คุณจัดการเื่นี้ได้ดีแล้ว คนแบบนี้ควรจะว่าเขาแรงๆ เพื่อระบายความโกรธ คนที่คิดโลภในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับไม่ยอมเชื่อคนอื่นแบบนี้ หากเป็ผม ผมจะต้องลงไม้ลงมือไล่เขาออกไปอย่างแน่นอน ครั้งถัดไปหากเจอคนแบบนี้อีกคุณก็ลงมือไล่เขาออกไปเลย ไม่ต้องสนใจความคิดเห็นของผม เพราะนี่คือสิ่งที่ผม้า ส่วนเื่ชื่อเสียงของหรงเล่อเซวียน แค่ข่าวลือประโยคสองประโยคพวกนี้ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก”
หลินเยว่พยักหน้ารับคำ ในใจของเขากำลังคิดว่าหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ในครั้งถัดไปเขาจะทำตามคำพูดของท่านเฮ่อโดยการลงมือไล่คนประเภทจริงหรือเปล่า
“คุณพูดลักษณะเด่นของชามใบนั้นอีกครั้งซิ” ท่านเฮ่อฉางเหอก็ถามต่อขึ้นมาทันที
ดังนั้น หลินเยว่จึงพูดลักษณะเด่นของชามใบนั้นอย่างละเอียดโดยที่เขาไม่ได้ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไปเลยสักนิด ในขณะเดียวกันเขาก็พูดสิ่งที่เขาสรุปไว้ออกมา
“การลงนามใช้ตัวอักษรจีน 4 ตัว อีกทั้งลักษณะรูปแบบตัวอักษรก็ไม่สอดคล้องกับสูตร 6 ตัวอักษรในสมัยราชวงศ์ิ ดังนั้น ผมจึงสรุปว่าชามใบนั้นเป็ของปลอม การลงนาม 4 ตัวอักษรโดยปกติจะปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ผมจึงคิดว่ามันเป็ของปลอมที่ทำขึ้นใน่สมัยจักรพรรดิคังซีจนถึงจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงครับ”
เมื่อพูดจบ หลินเยว่จึงมองท่านเฮ่อตาไม่กะพริบ เขา้าฟังความคิดเห็นของท่านเฮ่อ
“ฮ่าๆ......”
ท่านเฮ่อฉางเหอตบบ่าของหลินเยว่พร้อมหัวเราะเสียงดัง เขาพูดชมเชยหลินเยว่ด้วยคำพูดและการกระทำ “ทำได้ดีทีเดียว ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะเข้าใจความรู้ที่คุณเรียนมาใน่หลายวันมานี้ได้ประมาณ 30 - 40% เท่านั้น ซึ่งก็ถือทำได้ดีแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าคุณจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ถึง 80 - 90% ช่างเกิดความคาดหมายของผมจริงๆ”
เมื่อเห็นว่าการสรุปของตัวเองไม่ผิดพลาด หลินเยว่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อได้ยินท่านเฮ่อฉางเหอเอ่ยชมตนเอง เขาจึงรีบพูดถ่อมตน “เป็เพราะท่านสอนได้ดีครับ”
เมื่อได้ยินหลินเยว่พูดเช่นนี้ ท่านเฮ่อฉางเหอก็หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม ทำให้คนที่เดินผ่านหน้าร้านหรงเล่อเซวียนถึงกับต้องหันมามองอย่างสนใจ