จ้าวเถี่ยจู้นั่งอยู่ในรถตำรวจขณะที่สายตาก็มองสำรวจไปรอบๆชีวิตนี้เขายังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถตำรวจเลยสักครั้งเมื่อมีโอกาสเขาจึงอดสำรวจไม่ได้ ตำรวจที่นั่งมาด้วยเห็นท่าทางของเขาจึงใช้เท้าถีบและพูดเตือนขึ้นมา “ทำตัวดีๆ หน่อย”
เขาไม่ได้หลบ ดังนั้นเท้าของตำรวจคนนั้นจึงถีบโดนเข้าที่ท้องเขาอย่างจังแววตาของเขาฉายแววน่ากลัวเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยขณะพูด “ทำได้ดีมาก”
“ฉันทำดีหรือไม่ดีแล้วแกยุ่งอะไรด้วยแกนี่ใจกล้าไม่เบานะที่ไปยุ่งกับหลีจื่อฉี” ตำรวจคนนั้นพูดก่อนทำท่าจะถีบเขาอีกรอบแต่โดนตำรวจที่นั่งข้างๆ ห้ามไว้
เขาไม่ได้สนใจตำรวจที่นั่งอยู่ในรถอีกต่อไปแต่นั่งหลับตาเพื่อสงบจิตสงบใจแทน
ผ่านไปไม่นานรถตำรวจที่จ้าวเถี่ยจู้นั่งก็มาถึงสถานีตำรวจตำรวจสองนายเปิดประตูและดึงเขาลงจากรถซึ่งในตอนนั้นหลีจื่อฉีก็มาถึงก่อนแล้วและกำลังรอเขาอยู่ที่หน้าสถานีหลีจื่อฉีมองเขาแค่แวบหนึ่งก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้คนของตนพาเขาเข้าไปในสถานี
“ไป รีบเดิน” ตำรวจคนที่เคยถีบเขาบนรถผลักเขาให้เดินเข้าไปในสถานีตำรวจซึ่งเขาก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดีโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
จ้าวเถี่ยจู้ไม่รู้ว่าเดินเลี้ยวไปทั้งหมดกี่ครั้งก่อนที่พวกตำรวจจะพาเขาเข้ามาในห้องที่มิดชิดห้องหนึ่งตำรวจนายหนึ่งผลักเขาให้เข้าไปยืนใกล้ๆกับท่อน้ำแล้วนำกุญแจมือที่ข้อมือเขาข้างหนึ่งไปสวมไว้กับท่อน้ำอีกทั้งพวกตำรวจก็ยังไม่ยอมให้เขานั่ง เขาจึงได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น
“ทำตัวอยู่ดีๆ อยู่ในห้องนี้นะ” ตำรวจนายหนึ่งพูดกับเขาก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับตำรวจที่เหลือ
จ้าวเถี่ยจู้ยืนพิงท่อน้ำพลางคิดว่าหลีจื่อฉีดูท่าแล้วคงจะมีเส้นอยู่ในสถานีตำรวจไม่น้อยใช้เวลาไม่นานก็สามารถพาตำรวจไปจับกุมเขาได้แล้วอีกอย่างตำรวจพวกนี้ก็ดูเชื่อฟังคำสั่งของหลีจื่อฉีดี คงเส้นใหญ่ไม่ใช่เล่น เฮ้อนี่ถ้าเขาไม่เปลี่ยนอาชีพเสียก่อนคงอาละวาดไปแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าหลีจื่อฉีก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจที่เคยถีบเขาบนรถแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังโต๊ะตรงกลางห้องตำรวจคนนั้นหยิบปากกาและกระดาษออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเริ่มถามคำถามเขา
“ชื่อ”
“จ้าวเถี่ยจู้”
“อายุ”
“22”
“เพศ”
“ก็ดูเอาเองสิ”
“ตอบดีๆ หน่อย ถามอะไรไปก็ตอบมาตามนั้น เพศ”
“ชาย”
“รู้หรือยังว่าโดนข้ออะไร”
“ไม่รู้ รู้แค่ว่าเมื่อสักครู่เอาขยะออกไปทิ้งนอกบ้าน งั้นก็คงเป็ข้อหาทิ้งของบนที่สาธารณะล่ะมั้ง”
ใบหน้าหลีจื่อฉีเคร่งขรึมขึ้นมาทันตาส่วนตำรวจคนที่ถามเขาสีหน้ายังคงนิ่งเช่นเดิมและเริ่มพูดต่อ“อย่ามาเล่นลิ้นคิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่านายทำอะไรผิด”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรผิด”
“วันนี้พวกเราได้รับแจ้งว่ามีคดีฆาตกรรมแถวบริเวณทะเลสาบซีหูแล้วจากการให้ปากคำของผู้พบเห็นเหตุการณ์คนร้ายคนนั้นมีรูปร่างและหน้าตาเหมือนกับแกไม่มีผิด”
“ถ้าผมบอกว่าผมหน้าตาเหมือนพ่อคุณล่ะ คุณจะเชื่อไหม” จ้าวเถี่ยจู้ถามอย่างดูถูก
“พอแค่นี้ก่อน” หลีจื่อฉีพูดขึ้นในที่สุดราวกับเป็สัญญาณให้คนที่บันทึกการสอบปากคำครั้งนี้ที่กำลังนั่งอยู่ห้องข้างๆหยุดบันทึกและออกไปจากห้อง
หลีจื่อฉีมองไฟที่กล้องบันทึกภาพที่อยู่บนกำแพงว่าดับแล้วหรือยังเมื่อเห็นว่าไฟดับแล้วจึงพูดกับจ้าวเถี่ยจู้ด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เมื่อกี้แกยังทำเก่งอยู่เลย ตอนนี้อยู่ในเงื้อมือฉันแล้วดูสิว่าตอนนี้แกยังจะเก่งได้อีกไหม” พูดจบหลีจื่อฉีก็หยิบกระบองขึ้นมาแล้วเดินตรงมาหาเขาก่อนจะฟาดเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรงเขาได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า ไม่แสดงท่าทางเ็ปออกมาเลยสักนิดราวกับกระบองที่อีกฝ่ายใช้ทำจากปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น
“แกนี่อึดใช้ได้ แล้วจะคอยดูว่าแกจะทนได้สักกี่น้ำ” หลีจื่อฉียังคงพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย
“อึดมากกว่าแกก็แล้วกัน” เขาตอบอย่างหยิ่งผยอง
แววตาของหลีจื่อฉีราวกับอยากจะฆ่าเขาให้ตายก็ไม่ปานจากนั้นจึงเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกระบองไฟฟ้าออกมา พอหลีจื่อฉีกดปุ่มเปิดเสียงช็อตก็ดังขึ้นจากกระบองไฟฟ้าพร้อมทั้งมีแสงสีฟ้าส่องออกมาแล้วสะท้อนใบหน้าของหลีจื่อฉีให้ดูร้ายกาจมากขึ้นกว่าเดิม
“แชะ” หลีจื่อฉีฟาดกระบองไฟฟ้าไปที่ท้องจ้าวเถี่ยจู้เขาขมวดคิ้วและคิดว่า เขาจะต้องฆ่าคนเท่านั้นหรือถึงจะออกไปได้งั้นชีวิตที่มีความสุขในฐานะเ้าบ้านก็จะยิ่งห่างเขาออกไปน่ะสินี่ถ้าหลีจื่อฉีรู้ว่าที่เขาขมวดคิ้วเป็เพราะกำลังคิดว่าจะฆ่าคนดีหรือไม่ฆ่าดีคงจะคิดว่าเขาเป็ปีศาจแน่ๆ
เมื่อเห็นว่าจ้าวเถี่ยจู้ขมวดคิ้วหลีจื่อฉีก็อดดีใจไม่ได้แล้วเตรียมจะฟาดกระบองไฟฟ้าไปที่ชายหนุ่มอีกรอบแต่กลับโดนเสียงเรียกเข้าจากมือถือของชายหนุ่มดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
หลีจื่อฉีมองมือถือของชายหนุ่มที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหลังตนก่อนจะส่งสายตาให้ตำรวจอีกคนที่อยู่ในห้องรับสายหลังจากที่ตำรวจคนนั้นรับสายได้สักพักก็พูดขึ้นมาว่า “คนที่ชื่อเล่ยจื่อโทรมา”
“คนที่ชื่อเล่ยจื่อคือใคร คือคนที่ร่วมมือฆ่าคนกับแกใช่ไหม” หลีจื่อฉีถามจ้าวเถี่ยจู้
“เล่ยจื่อ...” เขาพึมพำชื่อคนที่โทรเข้ามาก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ทำไมไม่ถามเองล่ะ”
“ยังไม่ทำตัวดีๆ อีก” หลีจื่อฉีใช้กระบองไฟฟ้าชี้หน้าเขาแล้วเดินไปหยิบมือถือมาแนบหูตัวเอง เขาจึงได้ยินเสียงๆ หนึ่งพูดอยู่ในสาย “เถี่ยจู้ อยู่ไหนน่ะ ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองฝูเจี้ยนแล้วนะ”
“สวัสดี ที่นี่คือสถานีตำรวจฝเจี้ยน ไม่ทราบว่าคุณเป็อะไรกับจ้าวเถี่ยจู้” หลีจื่อฉีถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“เถี่ยจู้โดนข้อหาอะไรงั้นเหรอ” คนในสายถามกลับมา
“จ้าวเถี่ยจู้ตกเป็ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ตอนนี้กำลังสอบปากคำอยู่ไม่ทราบว่าคุณเป็อะไรกับเขา”
“ผมเป็น้องเขา” คนในสายใช้เวลาสักพักก่อนจะตอบกลับมาแล้ววางสายไปทันที
ภายในสถานีรถไฟ ชายวัยรุ่นคนหนึ่งสูงประมาณสองเมตรสวมชุดหลากสีสันดูแล้วน่าลายตากำลังก้มมองมือถือในมือของตนคนอย่างพวกนั้นเนี่ยนะที่จับพี่เถี่ยจู้ได้ น่าตลกชะมัดสงสัยพี่เถี่ยจู้กำลังเจอปัญหา ชายหนุ่มคิดพร้อมกับใช้มือหนึ่งถือกระเป๋าเป้ใบใหญ่อีกมือหนึ่งกดโทรไปที่เบอร์ๆ หนึ่ง
“บอกมาดีกว่าว่าคนที่ชื่อเล่ยจื่อเป็อะไรกับแก” หลีจื่อฉีถามจ้าวเถี่ยจู้ด้วยสีหน้าอึมครึม
“มันเหรอ เป็น้องผมน่ะ” เขาตอบด้วยท่าทางเหม่อลอยหมือนคนที่กำลังนึกย้อนไปถึงเื่ราวอดีต
“เขาทำอาชีพอะไร”
“มันก็แค่คนที่ไม่ได้เื่คนหนึ่งน่ะ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
หลีจื่อฉีส่งสายตาให้ตำรวจที่อยู่ด้านหลังให้เดินออกไปข้างนอกกับตนหลีจื่อฉีถามตำรวจที่เดินตามหลังมาทันทีที่พวกออกมาจากห้อง “นายบอกฉันว่าจ้าวเถี่ยจู้เป็เด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงมีน้องชายโผล่มาได้”
“มันเป็เด็กกำพร้าจริงๆ ครับ ผมหาข้อมูลแล้วคนที่โทรมาน่าจะเป็เพื่อนของมันมากกว่า”
หลีจื่อฉีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตอนที่เขากลับมาถึงสถานีเขาได้สั่งให้คนตรวจสอบประวัติของจ้าวเถี่ยจู้อย่างละเอียดเพราะเขาเป็คนที่จะทำอะไรก็ต้องวางแผนก่อนเสมอถึงแม้ว่ามันจะมีเงินซื้อบ้านริมทะเลสาบแต่ก็เป็เพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจหรืออิทธิพลอะไรเขาจึงยัดข้อหาให้มันได้อย่างดาย
หลีจื่อฉีเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วพูดกับจ้าวเถี่ยจู้ว่า “ฉันจะดูว่าแกจะทนได้ถึงเมื่อไหร่” ก่อนจะหยิบกระบองไฟฟ้าขึ้นมาและทุบไปที่ตัวชายหนุ่ม
ทั้งหมดประมาณหลายสิบครั้งเห็นจะได้ แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง ไม่ร้องออกมาสักแอะกลับเป็หลีจื่อฉีที่เป็ทนไม่ไหวแทน
“ไปเอาน้ำมา” ตำรวจที่อยู่ในห้องอีกคนรีบเดินออกไปนำถังใส่น้ำเข้ามาทันทีหลีจื่อฉีใส่กุญแจมือจ้าวเถี่ยจู้ทั้งสองข้างไว้เหมือนเดิมก่อนจะผลักเขาให้มายืนตรงหน้าถังใส่น้ำ “ฉันจะทรมานแกให้สะใจเลย” พูดจบหลีจือฉีก็เตรียมจะกดหัวเขาลงไปในน้ำ
ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากหน้าสถานี ในที่สุดก็มาแล้วเขาคิดพร้อมกับยิ้มออกมา