เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์และเสียงเบรกรถที่ดังขึ้นทำให้หลีจื่อฉีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปพูดกับตำรวจที่อยู่ข้างๆ ตน “ไปดูสิ”
ตำรวจคนนั้นรีบวิ่งออกจากห้อง ใช้เวลาไม่นานก็วิ่งกลับมาบอกข่าว “จื่อฉี ข้างนอกมีทหารมากันเต็มไปหมดเลย!!”
“อะไรนะ” หลีจื่อฉีร้องออกมาด้วยความใจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
ที่หน้าสถานีตำรวจขณะนี้มีรถบรรทุกทหารจอดอยู่สองคันทหารที่กำลังถือปืนอยู่ในมือพากันะโลงมาจากรถทีละคู่ก่อนจะมายืนเรียงแถวที่หน้าสถานีอย่างพร้อมเพรียงชายวัยกลางคนที่บนบ่าประดับแถบคู่และดาวสามดวงก้าวลงมาจากรถจี๊ปทหารแล้วเดินเข้าไปในสถานีตำรวจด้วยใบหน้าเคร่งเครียดโดยที่ข้างหลังมีทหารถือปืนเดินตามเข้าไปด้วยไม่กี่นายหนึ่งในทหารที่เดินตามชายวันกลางคนมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งสูงประมาณสองเมตรทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามเดินไปข้างๆแล้วพูดอะไรสักอย่างกับชายวัยกลางคน
“สวัสดี ไม่ทราบว่าจ้าวเถี่ยจู้อยู่ที่ไหน” ชายวัยกลางคนเดินมาหยุดที่ด้านหน้าหลีจื่อฉีแล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เอ่อคือ....จ้าวเถี่ยจู้คือใครครับ” หลีจื่อฉีตอบอย่างแกล้งโง่
“ผมจำเสียงนี้ได้ คุณคือคนที่รับสายมือถือของพี่เถี่ยจู้” ชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคนพูดขึ้น
“คุณคือ....”
“เหลยจื่อ”
เมื่อได้ฟังชื่อของอีกฝ่ายหลีจื่อฉีก็รู้สึกเหมือนร่างกายของตนเย็นวาบั้แ่ปลายเท้า แล้วค่อยๆลามไปทั่วตัว
“เหลยจื่อ ในนี้” เสียงของจ้าวเถี่ยจู้ดังขึ้นมาจากในห้องๆหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงของคนที่ตนตามหา สีหน้าของเหลยจื่อก็เปลี่ยนไปทันทีเขาใช้มือเพียงข้างเดียวจับคอของหลีจื่อฉีเอาไว้แล้วพาเดินไปข้างหน้าด้านชายวัยกลางคนก็ทำมือเป็สัญญาณให้ทหารที่อยู่ข้างหลังตนเดินตามไป
ปึง! เหลยจื่อถีบประตูที่หลีจื่อฉีล็อกไว้อย่างแรงเขาเดินเข้าไปในห้องก็เห็นจ้าวเถี่ยจู้ถูกใส่กุญแจมือยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อมองไปที่ด้านหน้าก็เห็นถังน้ำตั้งอยู่หนึ่งใบเขาจึงโมโหโยนหลีจื่อฉีจนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพง หลีจื่อฉีที่น่าสงสารภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องมาโดนบีบคอและโดนเหวี่ยงถึงสองครั้งสองครา
เหลยจื่อเดินมาหยุดที่ด้านหน้าของจ้าวเถี่ยจู้ จากนั้นจึงหันไปมองใบหน้าซีดขาวของตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วะโใส่หน้าตำรวจคนนั้น “ยังไม่รีบเอากุญแจมือออกอีก”
ตำรวจคนนั้นรีบไขกุญแจมือให้จ้าวเถี่ยจู้ทันทีพร้อมทั้งคิดว่า คนๆนี้เป็ใครกันแน่ ทำไมถึงเรียกพวกทหารมาช่วยได้นี่เขาเข้าไปยุ่งกับคนที่ไม่สมควรจะยุ่งเข้าแล้วใช่ไหม
จ้าวเถี่ยจู้นวดข้อมือของตนอยู่สักพักก่อนจะหันไปพูดกับตำรวจคนนั้น “ผมจำได้ว่าคุณถีบผม” ตำรวจคนนั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนเขาถีบกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงแล้วล้มลงมาอยู่ข้างๆ หลีจื่อฉี
“พี่จู้เถี่ย ผมมาช้าไป” เหลยจื่อแสดงสีหน้ารู้สึกผิดขณะพูด
“ไม่ช้าหรอก เครื่องกำลังร้อนพอดีเลย นานแล้วที่ไม่เคยโดนจับแบบนี้ ฮ่าๆๆ” เขาตบไหล่เหลยจื่ออย่างไม่แรงนักก่อนจะดึงให้มายืนข้างๆ ตนขณะที่พูด “ให้คนของนายออกไปก่อนสิ พี่จะออกกำลังสักหน่อย”
เมื่อเหลยจื่อพยักหน้าเป็สัญญาณนายทหารที่ตามมาด้วยก็เดินออกจากห้องไปทันที แถมยังล็อคประตูให้อีกด้วย
จ้าวเถี่ยจู้ค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปหยุดที่ด้านหน้าของหลีจื่อฉีเขาคุกเข่าลงกับพื้น มองสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายแล้วใช้มือดึงคอเสื้อเพื่อให้หลีจื่อฉีลุกขึ้นยืนเขายิ้มขณะที่ตาเหมือนจะสื่อสารแทนคำพูดว่า เมื่อกี้คุณดูแลผมไปแล้ว งั้นตอนนี้เปลี่ยนให้ผมดูแลคุณบ้างเถอะ
ทหารที่อยู่หน้าห้องล้วนได้ยินเสียงร้องอย่างเ็ปดังมาจากในห้อง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะมองเพดานทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นแทน
ผ่านไปไม่กี่นาทีใบหน้าของจ้าวเถี่ยจู้ก็สดใสราวกับได้ปลดปล่อยความอึดอัดที่เกิดจากความ้าของผู้ชายที่มีมาอย่างยาวนานหลายปีเขาเดินออกจากห้องพร้อมกับเหลยจื่อ จากนั้นก็เดินไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ที่หน้าทางเข้าของสถานีตำรวจ เหลยจื่อเดินไปหยุดที่ด้านข้างชายวัยกลางคนก่อนจะพูดแนะนำเขา “ลุงหลิว นี่พี่ผมครับชื่อจ้าวเถี่ยจู้ พี่เถี่ยจู้ นี่คือที่ปรึกษาของคุณตาผมพันเอกหลิวเทียนซื่อ”
“ผมต้องขอขอบคุณที่ปรึกษาหลิวอย่างมากเลยนะครับ” เขายกมือขึ้นทำท่าคารวะอีกฝ่าย
“ยังไงเธอก็เป็พี่เหลยจื่อ งั้นเรียกฉันว่าลุงหลิวตามเหลยจื่อก็แล้วกัน” ชายวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ลุงหลิว” เขาเรียกชื่อพร้อมกับยิ้มตอบ
ขนะนั้นเอง รถเก๋งคันหนึ่งที่เปิดไฟกะพริบสัญญาณของรถตำรวจก็ขับเข้ามาจอดที่หน้าสถานีอย่างรีบเร่งชายใบหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถก่อนจะเดินมาหยุดตรงจุดที่จ้าวเถี่ยจู้ยืนอยู่เขามองไปที่หลิวเทียนซื่อชั่วครู่ก่อนจะพูด “เมื่อไหร่กันที่กองทัพสามารถเข้ามายุ่งเื่ของรัฐบาลท้องถิ่นได้”
“คุณคือ?” หลิวเทียนซื่อเอ่ยปากถาม
“ผมคืออธิบดีของกรมตำรวจเมืองฝูเจี้ยน หลีกางคุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม คุณที่ปรึกษา”
“สถานีของพวกคุณกักตัวทหารของผมโดยไม่มีเหตุอันควร เหตุผลแค่นี้ฟังขึ้นไหม” หลิวเทียนซื่อพูดอย่างไม่เห็นอธิบดีคนนี้อยู่ในสายตาต่อให้กรมของคุณจะเส้นใหญ่แค่ไหน ก็ทำอะไรกองทัพไม่ได้อยู่ดี กลับกันกองทัพจะใหญ่ยังไงก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเื่ของรัฐบาลท้องถิ่นได้ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องหาเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอเพื่อทำเื่นี้ เผื่อว่าข่าวแพร่ออกไปจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อกองทัพมากนัก
“ดูแลกองทัพคุณให้ดีๆ เถอะ” หลีกางพูดแล้วมองนายทหารหลายสิบนายที่ยืนอยู่กลางห้องโถงของสถานีก่อนจะพูดขึ้นมาอีกว่า “ผมจะพูดเื่นี้กับเฉินซือหลิง”
“ตามสบาย” หลิวเทียนซื่อตอบพร้อมกับรอยยิ้มชายที่คนตรงหน้าพูดถึงก็คือผู้บัญชาการของค่ายทหารเมืองฝูเจี้ยนหรือก็คือตาของเหลยจื่อ พอถึงเวลาเขาเพียงแค่อ้างชื่อเหลยจื่อ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เขาส่งสัญญาณมือไปที่ทหารของเขาว่าให้ขึ้นรถหลังจากนั้นจึงหันมาพูดกับเหลยจื่อ “กลับบ้านด้วยกันเถอะซือหลิงไม่ได้เห็นหน้าเรานานแล้ว”
“พี่เถี่ยจู้ ไปด้วยกันเถอะ ตาผมเขาก็อยากเจอพี่เหมือนกัน” เหลยจื่อหันมาพูดกับจ้าวเถี่ยจู้
เขาลังเลอยู่สักพักก่อนจะตอบ “ขอกลับบ้านแปปหนึ่งได้ไหมแล้วค่อยไป”
“งั้นผมไปด้วย ลุงหลิว ผมจะกลับไปช้าหน่อยนะ”
หลิวเทียนซื่อพยักหน้าก่อนจะโยนกุญแจรถให้เหลยจื่อ “เอารถลุงไปใช้เถอะ”
เหลยจื่อเรียกให้เขาขึ้นรถจี๊ปของทหารแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วด้านหลิวเทียนซื่อก็ขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นรถทหารทั้งสองคันก็ขับออกจากสถานีตำรวจ
เมื่อพวกทหารกลับไปหมดแล้ว หลีกางจึงหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน “จื่อฉีล่ะ”
ชายคนนั้นมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “อยู่ในห้องสอบสวนครับ”
หลีกางหลังจากได้ยินก็รีบเดินไปยังห้องที่ว่านั้นทันทีเมื่อเข้าไปในห้องและเห็นสภาพของลูกชายตนก็อดะโออกมาด้วยความโมโหไม่ได้ “พวกแกรอก่อนเถอะ!!”
“พี่เถี่ยจู้ ทำไมถึงโดนจับไปที่สถานีตำรวจได้ล่ะ” เหลยจื่อขับรถจี๊ปทหารไปตามถนนสายหนึ่งขณะถามจ้าวเถี่ยจู้
“เื่ไม่เป็เื่น่ะ ดีที่นายมาทัน ไม่งั้นพี่คงต้องลงมือเอง” เขาจุดบุหรี่ตัวหนึ่งแล้วยื่นไปตรงปากของเหลยจื่อ จากนั้นก็จุดบุหรี่อีกตัวสำหรับตัวเอง เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาพลางถอนหายใจ
“ได้ยินอันฉีเอ่อร์บอกว่าพี่ไม่รับงานแล้ว”
“ใช่ ไม่กี่ปีมานี้ ธุรกิจมันไม่ค่อยดีน่ะ พวกคนเลวก็ตายไปเกือบจะหมดแล้วถ้าขืนยังทำต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงโดนพวกความมั่นคงของชาติเพ่งเล็งเอาถึงตอนนั้นคงไม่สนุกแน่”
“งั้นเข้ากองทัพไหม ดูจากความสามารถของพี่ พี่ต้องได้เป็สุดยอดทหารแน่ๆ” เหลยจื่อพูดเสนอ
“ไม่ล่ะ นายไม่รู้หรอกว่าชีวิตพี่ตอนนี้มันดีขนาดไหน” เขาปฏิเสธพร้อมกับมองวิวที่ด้านนอกหน้าต่างในใจก็อดคิดไปสองสาวที่อยู่ที่บ้านไม่ได้
“พี่เถี่ยจู้ ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่งั้นเหรอ” เหลยจื่อถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้พี่เป็เ้าบ้านที่ปล่อยห้องให้เช่า อยู่ที่หมู่บ้านริมทะเลสาบซีหูให้เช่าเฉพาะสาวสวย ตอนนี้มีสองคนแล้ว ได้อยู่กับสาวสวยทุกวันนายคิดดูสิว่ามันจะมีความสุขขนาดไหน”
“พี่ว่าไงล่ะ เฮ้อ คิดถึงสมัยที่พวกเราเป็ทหารรับจ้างอยู่ต่างประเทศ” เหลยจื่อพูดด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
“ไม่เหมือนกันโว๊ย นายไปเพื่อฝึกหาประสบการณ์ แต่ของพี่คือเจ็บจริงตายจริงแล้วกลับมาครั้งนี้ ครอบครัวคงวางแผนให้นายเรียบร้อยแล้วสินะ”
“ก็เข้ากองทัพนั่นแหละ ครอบครัวผมทำงานในกองทัพมาั้แ่บรรพบุรุษแล้วอีกอย่างตอนนี้คุณปู่ก็ให้ผมมาฝึกกับคุณตาเพื่อหาประสบการณ์ พร้อมเมื่อไหร่ถึงจะให้กลับไปแต่ผมชอบอยู่กับพี่เถี่ยจู้มากกว่า สุขบ้างทุกข์บ้าง ยังไงก็ยังปลอดภัย”
“ดูนายตอนนี้สิ ยังจะห่วงความปลอดภัยอะไรอีกถ้าเข้าไปอยู่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อความมั่นคงแห่งชาตินะนายต้องเป็ที่หนึ่งแน่”
“เก่งไงก็ไม่เท่าพี่เถี่ยจู้หรอกปีนั้นผมเห็นกับตาเลยว่าพี่ใช้เพียงหมัดเดียวก็จัดการกับเ้าคนที่มีฉายาว่าหมีขั้วโลกของรัสเซียได้แล้วพี่ก็รู้นี่ว่าเ้านั่นน่ะเป็แชมป์มวยรัสเซียใต้ดินเชียวนะฆ่าเสือดาวด้วยมือเปล่าก็ได้ด้วย แต่กับผม ต่อให้เป็มวยยังไงพอเข้าอยู่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ก็กลายเป็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งอยู่ดี ผมพูดจริงๆ นะ” พูดจบสีหน้าของเหลยจื่อก็เปลี่ยนเป็จริงจังขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ “ปู่เล่าให้ผมฟังว่าคนที่จะเข้าไปในหน่วยนี้ได้ต้องเป็สุดยอดทหารที่ทางแต่ละเขตเลือกมากับมือแล้วผมยังได้ยินมาอีกว่าคนที่อยู่ในหน่วยหลายคนมีนิสัยแปลกๆ อีกด้วยส่วนรายละเอียดนอกเหนือนี้ปู่ไม่ได้บอกผม แต่เอาเป็ว่า ประเด็นที่ผมจะบอกก็คือสำหรับหน่วยนี้ผมเป็คนธรรมดาๆ เท่านั้น พี่เถี่ยจู้ พี่ก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยนะ”
“ตอนนี้พี่เป็แค่เ้าบ้านที่ปล่อยห้องให้เช่าเท่านั้นเอง เก็บค่าเช่าบ้านหาเมียที่รักจริงสักคนแล้วมีลูก นี่แหละชีวิตแบบที่อยากได้แต่ต้องเป็หลังจากที่พี่แก้แค้นแล้วนะ”
“เจอแล้วเหรอ” เหลยจื่อถามเขารู้ดีว่าคนที่นั่งข้างๆ มีความแค้นต่อคนๆ หนึ่งมาตลอด แต่ไม่เคยบอกว่าเป็ใครและเขาก็ไม่คิดที่จะถาม
“เจอแล้ว อีกไม่นานหรอก พี่จะฆ่ามันด้วยมือพี่เอง เลิกพูดดีเื่นี้กว่าเลี้ยวซ้ายข้างหน้า บ้านหลังที่สามนั่นแหละบ้านพี่”