วันต่อมาจ้าวเถี่ยจู้ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงอาบน้ำเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรทานแต่กลับพบว่าเฉาจื่ออี๋เตรียมไว้ให้ตนเรียบร้อยแล้วในใจจึงอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ นอกจากยายแล้ว ในที่สุดก็มีเธอที่เป็ผู้หญิงคนที่สองที่ทำกับข้าวให้เขา
“ไปล้างมือเถอะ จะได้มากินข้าว” เฉาจื่ออี๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้” เขาเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้
“เมื่อไหร่เหยียนหนีจะกลับมาคะ” หญิงสาวถามขณะส่งถ้วยใส่ข้าวให้เขา
“ไม่รู้เหมือนกัน เธอเป็คนของประชาชนก็ต้องอยู่รับใช้ประชาชนนานๆ หน่อย” เขาตอบขณะตักอาหาร
“คริๆๆ ทำไมพูดถึงเธอแบบนั้นล่ะคะ” เฉาจื่ออี๋พูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆเขา
ขณะนั้นเองซูเยี่ยนนีก็เปิดประตูเสียงดังแล้วเดินเข้ามาในบ้านพร้อมทั้งมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย
“หลีจื่อฉี นายส่งฉันจนถึงบ้านแล้ว ทำไมยังไม่กลับไปอีก” ซูเยี่ยนนีพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“เหยียนหนี คุณก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณ แล้วทำไมคุณยังเ็ากับผมอยู่อีกล่ะ” ชายหนุ่มตัดพ้อด้วยความเสียใจ
“ห้ามเรียกชื่อแบบสนิทสนมนะ พวกเราเป็แค่เพื่อนร่วมงานกันเฉยๆตอนนี้ฉันถึงบ้านแล้ว แล้วก็กำลังจะกินข้าว ฉันจะต้องเชิญนายด้วยอย่างนั้นเหรอ” เมื่อพูดจบซูเยี่ยนนีก็ไม่สนใจหลีจื่อฉีอีกต่อไปเธอวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาในห้องครัวที่เขากับเฉาจื่ออี๋กำลังนั่งทานข้าวกันอยู่โดยมีชายหนุ่มที่ชื่อหลีจื่อฉีเดินตามหลังมา
“นายนี่ยุ่งจริงๆ คนเขาถึงบ้านแล้วยังจะตามมาอีก ถ้าว่างนักทำไมไม่ไปตามดูพวกนักโทษนั่นเล่า” ซูเยี่ยนนีพูดบ่นแต่ชายหนุ่มที่เดินตามเธอมาก็ยังทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อนเมื่อพูดยังไงเขาก็ยังไม่ยอมกลับ เธอจึงหันหลังกลับไปผลักอกเขาด้วยความโมโหแทนหลีจื่อฉีที่มองไม่เห็นจ้าวเถี่ยจู้และเฉาจื่ออี๋จับมือซูเยี่ยนนีไว้แล้วพูดว่า “เหยียนหนี พวกเรามีอะไรค่อยๆ พูดกันดีกว่า”
ซูเยี่ยนนีพยายามดึงมือของเธอออกจากการเกาะกุมของหลีจื่อฉีแต่ทำยังไงก็ไม่หลุด เธอจึงได้แต่จ้องอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
“นี่ คุณน่ะ บุกเข้ามาในบ้านคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงแล้วอีกอย่างคุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับผู้เช่าของผมด้วย” จ้าวเถี่ยจู้ยืนขึ้น ในมือถือถ้วยใส่ข้าว อีกมือจับแขนของหลีจื่อฉีเอาไว้ขณะพูด
หลีจื่อฉีไม่คิดว่าในห้องนี้ยังมีคนอื่นอยู่ จึงนิ่งไม่พูดไม่จา ด้วยความใจนเผลอปล่อยมือที่จับซูเยี่ยนนีเอาไว้ก่อนจะได้สติแล้วะโว่า “แกเป็ใครกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้!”
“แม่คุณมั้ง” จ้าวเถี่ยจู้พูดจบมือที่จับแขนของอีกฝ่ายไว้ก็เปลี่ยนมาจับที่คออย่างรวดเร็วพร้อมทั้งออกแรงยกตัวอีกฝ่ายขึ้น หลีจื่อฉีพยายามจะแกะมือเขาออกแต่มือเขาก็จับคอของอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปานเขาเดินไปที่ประตูบ้านช้าๆ แล้วพูดว่า “ในฐานะที่ผมเป็เ้าบ้านผมมีหน้าที่ปกป้องไม่ให้คนอื่นมายุ่งวุ่นวายกับผู้เช่าของผม ถ้าคุณขืนมาที่นี่อีกล่ะก็ผมก็ยินดีจะหักขาทั้งสองข้างของคุณเอง” พูดจบเขาก็โยนอีกฝ่ายไปนอกประตูจนกระเด็นไปไม่กี่เมตรก่อนจะตกลงบนพื้นแล้วจึงดึงประตูบ้านปิด
“ขอบคุณนะ” ซูเยี่ยนนีพูดขอบคุณเบาๆซึ่งทุกคนในที่นี่ล้วนดูออกว่าสภาพจิตใจของเธอนั้นยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่
“ไม่เป็ไรหรอก คุณเป็ผู้เช่าของผมก็ถือว่าเป็คนของผมปกป้องคุณก็เป็สิ่งที่ผมควรจะทำอยู่แล้ว” จ้าวเถี่ยจู้พูดปลอบ
“ใครเป็คนของนายกัน แล้วฉันไปเป็คนของนายั้แ่เมื่อไหร่” ซูเยี่ยนนีกำมือเป็หมัดขณะพูด
“ผมพูดเมื่อไหร่ว่าคุณเป็คนของผม ผมพูดว่าคุณคือผู้เช่าของผมต่างหากหรือว่าอยากเป็แฟนผมมากจนเก็บเอาไปฝัน แต่บอกไว้ก่อนนะ สเปกของผมน่ะสูงมากนะต้องอ่อนโยนคล้ายๆ จื่ออี๋นี่แหละ”
“นาย!!!”
“พอเถอะๆ พวกคุณสองคนทะเลาะกันเป็เด็กๆ ไปได้ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วรีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวเย็นหมด” เฉาจื่ออี๋เมื่อเห็นทั้งสองเริ่มต่อปากต่อคำจึงรีบห้าม
ซูเยี่ยนนีจ้องมาที่เขาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาไม่นานก็ยอมนั่งลงกินข้าวแต่โดยดี
ผ่านไปสักพักเขาและผู้เช่าบ้านทั้งสองคนยังไม่ทันจะกินข้าวเสร็จก็ต้องถูกเสียงเคาะประตูขัดจังหวะอีกรอบ
“เปิดประตูๆ” เสียงคนข้างนอกะโบอก
“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย จะไม่ให้กินข้าวเลยใช่ไหม” จ้าวเถี่ยจู้วางถ้วยข้าวลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตู ตำรวจสองสามคนก็เดินเข้ามาในบ้านทันทีด้านหลังยังมีหลีจื่อฉีที่ใบหน้าเ็าตามมาด้วย
“มาจริงๆ ด้วย” ซูเยี่ยนนีพูดอย่างคาดไว้แล้วั้แ่แรกหลีจื่อฉีมีพ่อชื่อว่าหลีกาง เป็อธิบดีกรมตำรวจที่หลีจื่อฉีได้เข้ามาทำงานเป็ตำรวจก็เพราะอาศัยบารมีของพ่อล้วนๆตัวหลีจื่อฉีนั้นเป็คนไม่เอาไหน ทั้งยังชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ พูดได้ว่าในเมืองฝูเจี้ยนเขาเป็คนที่ไม่เอาถ่านที่สุด แต่มีดีตรงที่พ่อเป็ใหญ่เป็โตนี่แหละตอนที่เข้ามาทำงานในกรมใหม่ๆหลีจื่อฉีก็เที่ยวพูดกับคนไปทั่วว่าภายในหนึ่งเดือนจะจีบเธอให้ติดทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับเขาั้แ่นั้นเป็ต้นมา เพื่อเห็นแก่หน้าพ่อของเขาเธอก็จำเป็ต้องอดทนเรื่อยมา แต่ครั้งนี้เขาตามมาถึงที่บ้าน เธอจึงอดโมโหไม่ได้ถึงแม้จ้าวเถี่ยจู้จะไล่เขาออกจากบ้านเป็การระบายโทสะให้เธอแล้วแต่ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมคน เธอจึงคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องกลับมาแน่ๆแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้แล้วแถมยังพาตำรวจมาอีกด้วย
“จับตัวคนๆ นี้ไป” หลีจื่อฉีชี้มาที่จ้าวเถี่ยจู้
ตำรวจที่มาด้วยเมื่อได้ฟังคำสั่งก็เดินตรงมาหาเขาพร้อมด้วยกุญแจมือแล้วพูดว่า“คุณจ้าวเถี่ยจู้ คุณเป็ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้ตรงบริเวณทะเลสาบ เชิญคุณไปให้ปากคำกับเราหน่อยครับ”
“นี่ ทำไมถึงจับคนมั่วซั่วแบบนี้” ซูเยี่ยนนีพูดกับตำรวจรูปร่างผอมคนหนึ่ง
“นี่เป็คำสั่งเสี่ยวซู เธออย่ายุ่งดีกว่า” นายตำรวจรูปร่างผอมตอบกลับ
“พวกคุณคิดจะปรักปรำกันเหรอ ได้ อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” จ้าวเถี่ยจู้มองบรรดาตำรวจที่มาบ้านของเขาแล้วจึงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจขณะที่พูด
ตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆจับเขาใส่กุญแจมือแล้วพาออกจากบ้านไปขึ้นรถตำรวจที่จอดรออยู่หน้าบ้านจากนั้นก็ขับรถออกไปทันที
ซูเยี่ยนนีมองหลีจื่อฉีอย่างโกรธแค้นเธอทำอะไรเขาไม่ได้เพราะยังเป็ลูกน้องพ่อของคนตรงหน้าอยู่ ถ้าเธอทำอะไรเขาล่ะก็พ่อเขาคงเล่นงานเธอตายแน่ นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกโกรธราวกับจะเป็บ้า
“เหยียนหนี เื่ของพวกเรา เธอก็ค่อยๆ คิดนะ” หลีจื่อฉีพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถบีเอ็มของตำรวจแล้วจากไป
“เลวจริงๆ” ซูเยี่ยนนีพูดขณะดึงตราตำรวจโยนลงพื้น
“อย่าโมโหเลย ฉันเชื่อว่าเถี่ยจู้ไม่เป็อะไรหรอก” เฉาจื่ออี๋เดินมาอยู่ข้างหลังซูเยี่ยนนีแล้วตบไหล่เพื่อปลอบใจเบาๆสายตามองไปทิศทางที่รถตำรวจเพิ่งขับออกไปไม่รู้ทำไมเธอถึงเชื่อว่าเขาจะไม่เป็อะไรแล้วจะต้องได้กลับมาเร็วๆ นี้แน่