ซูเช่อมองมือเล็ก ๆ ของหลิงมู่เอ๋อร์ที่วางไว้ในฝ่ามือใหญ่ของซั่งกวนเซ่าเฉิน ซั่งกวนเซ่าเฉินยกยิ้มอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่าการไว้วางใจอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยของหลิงมู่เอ๋อร์ทำให้ในใจของเขาเป็สุขเป็อย่างมาก เขามองซูเช่อที่อยู่ด้านข้างอย่างยั่วยุ ออกแรงดึงที่มือ ดึงหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าของเขา โอบกอดนางควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูเช่อมองเงาหลังของพวกเขาหายลับไป ในเวลานั้น เขากำฝ่ามือแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเ็า
เดิมเขาไม่ได้คิดจะทำสิ่งใดกับหลิงมู่เอ๋อร์ แม้ว่าเขาจะชื่นชมหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ยังไม่ถึงกับมัวเมา ทว่าการยั่วยุของซั่งกวนเซ่าเฉินทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่ชอบความรู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้เป็อย่างมาก ความวู่วามเช่นนี้ทำให้เขาลืมฐานะของตน และทำให้เขาเข้าใจได้ว่าความพยายามยืนหยัดในหลายวันที่ผ่านมาของตนน่าขบขันพียงใด
สาวน้อยนางนั้น ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวแล้วจริง ๆ เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อนาง แต่ตอนนี้ เขาอยากรับสารท้ารบของบุรุษผู้นั้น
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ััถึงความรู้สึกเืเดือดพล่านของการควบทะยานม้า นางกางแขนทั้งสองออกกว้าง ราวกับกำลังสนุกสนานอย่างมาก เสียงหัวเราะดังออกมาจากอ้อมกอดของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหญิงสาวในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู นางมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่เหมือนหญิงสาวนางอื่นอย่างมากจริง ๆ หากเปลี่ยนเป็สตรีนางอื่น ตอนนี้น่าจะกำลังหวาดกลัว มิใช่สนุกสนาน แต่ก็เป็เพราะความพิเศษของนาง จึงได้กลายเป็หนึ่งเดียวไร้ที่สองในใจเขาเช่นนี้
“มู่เอ๋อร์” ซั่งกวนเซ่าเฉินเรียกชื่อของหลิงมู่เอ๋อร์
“หืม?” หลิงมู่เอ๋อร์งงงวย เงยหน้าขึ้นมองเขา
คนทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก สามารถรับรู้ถึงลมหายใจและการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ทันทีที่นางเงยหน้า ก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่เ็าและแข็งกระด้างของเขา
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าสองแก้มร้อนลวกขึ้นมา นางก้มหน้าลงอีกครั้ง เห็นทิวทัศน์รอบข้างที่ผ่านไป ก็อดหัวเราะไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ ท่านรู้ว่าข้าจะไปที่ใดหรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะลึงไป รีบดึงเชือกบังเหียนม้า
เมื่อครู่เขาคิดเพียงออกไปจากเบื้องหน้าของซูเช่อ ไม่ให้หลิงมู่เอ๋อร์ใกล้ชิดกับเขา กลับไม่ได้ถามหลิงมู่เอ๋อร์ว่าควรไปในทิศทางใด
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางโง่งมของเขา ก็ยิ่งหัวเราะตามอำเภอใจ นางชี้ไปทางทิศตะวันออก “ทางนั้นมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อหมู่บ้านสกุลมั่ว ข้าจะไปตรวจอาการให้ท่านยายท่านหนึ่ง บุตรชายของท่านยายคนนั้นเสียชีวิตในสนามรบ หลายปีมานี้ก็อาศัยผักป่าในูเาดำรงชีวิต วันนั้นข้าเห็นนางกำลังขายผักอยู่ในเมือง จึงซื้อผักป่าทั้งหมดของนาง เพียงแต่ข้าเห็นนางมีความเจ็บป่วยเต็มร่างกาย จึงคิดจะไปตรวจอาการให้นางที่บ้าน เพื่อไม่ให้นางต้องวิ่งไปวิ่งมา”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหญิงสาวในอ้อมกอดของตน ดวงตาของนางสว่างไสวถึงเพียงนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่สตรีนางอื่นไม่มี
เขาประคองใบหน้าของนางในฉับพลัน แล้วจุมพิตลงไป
การกระทำนั้นกะทันหันเกินไป ไม่มีสิ่งบ่งชี้มาก่อน เขาก็ทำเช่นนั้นไปแล้ว แม้จะกล่าวว่าเป็ระยะเวลาแค่ชั่วระยะการัั แต่ทว่าความรู้สึกนั้นกลับคงอยู่อย่างแท้จริง
หลิงมู่เอ๋อร์เลียริมฝีปาก ใบหน้าที่งุนงงยังมีความสับสนอยู่ ริมฝีปากของชายหนุ่มนิ่มมาก มีกลิ่นอายเฉพาะของเขา นางััได้ถึงความอุ่นร้อนเล็กน้อย จากนั้น ก็ไม่มีแล้ว
ในเวลานั้น นางมีทั้งความขัดเขิน และมีความไม่พอใจอยู่บ้าง
ในใจของซั่งกวนเซ่าเฉินตื่นตระหนก เขากำลังกังวล ความบ้าบิ่นเมื่อครู่คงไม่ทำให้นางโกรธแล้วหรอกนะ ยังมี หากนางไม่ชอบเขา แล้วเขายังทำเื่ตามอารมณ์เช่นนี้อีก จะไม่ยิ่งเป็การผลักนางออกไปให้ไกลขึ้นหรือ? วันหลังนางจะไม่พบเขาอีกหรือไม่?
ในตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังคิดฟุ้งซ่านนั่นเอง หลิงมู่เอ๋อร์ถลึงตาใส่ซั่งกวนเซ่าเฉิน “แค่นี้?”
“หืม?” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เข้าใจ อะไรเรียกว่า…แค่นี้? นางยังอยากได้แบบใดอีกเล่า?
มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์ยกขึ้นมา นางประคองใบหน้าของเขา ริมฝีปากของเขาไว้
คนทั้งบ้านต่างก็เห็นดีด้วยกับพวกเขา เมื่อก่อนมิใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ ทว่า เมื่อก่อนเห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินมีความในใจ ส่วนทั้งใจของนางก็สนใจแต่การดูแลคนในครอบครัว ครั้งนี้ ได้พบเขาในเมืองหลวงอีกครั้ง คนในครอบครัวก็เผยความคิดที่จะจับคู่พวกเขา จนกระทั่งเมื่อครู่นางจึงยืน
ยันได้ว่า ชายผู้นี้มีความรู้สึกต่อนาง ส่วนนางก็มิได้ผลักไสการใกล้ชิดของเขา กระทั่งมิได้รังเกียจการแสดงความรักของเขา
จุมพิตนี้ เป็หลักฐานในการยืนยันความในใจของเขา และเป็การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของพวกเขา
ลมหายใจของซั่งกวนเซ่าเฉินกระชั้นชิด ดวงตาทั้งคู่จ้องไปยังสาวน้อยผู้มีดวงหน้าแดงก่ำที่อยู่เบื้องหน้า เขาโอบเอวของนางไว้ เพิ่มความลึกล้ำให้จุมพิตนี้
เขาที่ไม่เคยใกล้ชิดสตรีมาก่อน รู้จักเพียงริมฝีปากของนางไว้แล้วดึงดูด จนกระทั่งหลิงมู่เอ๋อร์ใช้ลิ้นเล็ก ๆ มาสำรวจเขา ร่างกายของเขาก็แข็งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็ความดุเดือดบ้าคลั่งดุจดั่งการย้ายูเาพลิกทะเล
เขาเป็ดั่งขุนศึกผู้ห้าวหาญ บุกเมือง่ชิงดินแดนไม่หยุด ส่วนนางพ่ายแพ้ถอยหลังติด ๆ กัน เกือบจะยอมแพ้เสียแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เกือบจะหายใจไม่ออกแล้ว ดันแผ่นอกของเขาออก จึงทำให้เขาได้สติกลับมา
“นี่ก็เป็…ความรักที่พี่ชายมีต่อน้องสาวหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ฝังใบหน้าเล็กไว้ในแผ่นอกของเขา กล่าวอย่างเขินอายและโมโห
ซั่งกวนเซ่าเฉินยกยิ้มขึ้นมา เขากอดนางไว้แน่น พูดที่ข้างหูของนางว่า “นี่เป็ความรักที่สามีมีต่อภรรยา พรุ่งนี้ข้าก็จะไปขอเ้าแต่งงาน”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะขำ “ข้ายังไม่ได้รับปากเสียหน่อย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโอบนางไว้แน่น ควบม้าไปยังทิศทางที่นางบอกอีกครั้ง ครั้งนี้ พวกเขาเดินทางอย่างรวดเร็ว ราวกับ้าที่จะเดินทางเช่นนี้ตลอดไป
“มู่เอ๋อร์ เมื่อครู่ข้าปล่อยใจเกินไปแล้ว เ้าอย่าได้โมโห ก่อนที่พวกเราจะแต่งงาน ข้าจะไม่…ทำเช่นนี้แล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกลืนน้ำลาย
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเสียงเบา นางไม่มีทางเชื่อการรับประกันของผู้ชายหรอก! บุรุษผู้นี้ก็ราวกับเสือดุดัน เมื่อครู่ก็เกือบจะกินนางลงไปแล้ว เขาจะอดทนไหว?
“นี่เป็สิ่งที่ท่านพูด หากท่านทำเช่นนี้อีก ข้าก็จะไม่สนใจท่านแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ตั้งใจแกล้งเขาเช่นนี้ “เอาเถอะ รีบทำเวลาออกเดินทางเถิด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยึดนางไว้ในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งของเขาโอบอยู่รอบเอวนาง อีกมือหนึ่งจัดผมของนาง เมื่อครู่ทำเช่นนั้น ทำให้ผมของนางไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง
หมู่บ้านสกุลมั่ว ชายหญิงที่ขี่ม้าเข้ามาดึงดูดความสนใจของคนในหมู่บ้าน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ปิดบังฐานะและวัตถุประสงค์ในการมาของตน นางถามถึงที่อยู่ของป้ามั่วกับชาวบ้าน เหล่าคนในหมู่บ้านเมื่อได้ยิน ก็นำพวกนางไปยังบ้านของป้ามั่วอย่างกระตือรือร้น
“ป้ามั่ว แม่นางเซียนแพทย์มาแล้ว” หญิงชรานางหนึ่งร้องะโที่หน้ากระท่อมเก่าที่ผุพังหลังหนึ่ง
เสียงไออย่างรุนแรงดังลอยออกมาจากในกระท่อม เ้าของเสียงได้ยินเสียงของสตรีผู้นั้น คิดอยากจะหยุดยั้งอาการไอ ทว่ายิ่งใจร้อนก็ยิ่งไอหนักมากขึ้น
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ดีถึงสภาพร่างกายของป้ามั่ว เมื่อเห็นเป็เช่นนี้ก็พูดกับหญิงชราว่า “พวกเราเข้าไปเองเถิด” ขอบคุณท่านป้ามากที่ช่วยพวกเรานำทาง
“แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็ดาวนำโชคของพวกเราเหล่าผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะทำเื่ใดให้ท่านก็ล้วนเป็สิ่งที่สมควร” หญิงชราพูดอย่างรู้สึกขอบคุณ
“ท่านป้าเกรงใจไปแล้ว เช่นนั้นข้าไปดูท่านป้ามั่วก่อน หากมีเวลาว่างค่อยมาคุยกับท่านป้า” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าให้หญิงชรานางนั้นอย่างมารยาท จากนั้นก็เข้าไปในกระท่อมกับซั่งกวนเซ่าเฉิน
ในห้องนอน หญิงชรานางหนึ่งนั่งไออยู่บนเตียง บนพื้นต่างก็เป็เสมหะปนเืที่ไอออกมา ในอากาศมีแต่กลิ่นที่ชวนให้อาเจียน แต่ว่า สภาพการณ์เช่นนั้นกลับมิได้ทำให้คนทั้งสองถอยกลับไป หลิงมู่เอ๋อร์นำถุงน้ำที่เอวออกมาส่งให้ป้ามั่ว “ท่านป้า ท่านดื่มน้ำก่อนสักคำ”
ป้ามั่วมีผมขาวโพลนเต็มศีรษะ ดวงตาทั้งคู่ของนางเกือบจะสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว บัดนี้ ยามมองหลิงมู่เอ๋อร์ก็เห็นเพียงเงาเลือนรางสายหนึ่งเท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของนางก็รู้ว่า อาการป่วยของนางหนักขึ้นแล้ว ครั้งก่อนตอนที่เห็นนาง ยังมิได้ชัดเจนเท่านี้ หากนางยังไม่มาอีก กลัวว่านางจะมีชีวิตรอดได้อีกไม่กี่วันแล้ว ตอนนี้ นางมาได้ทันเวลา ชีวิตน้อย ๆ ชีวิตนี้ยังสามารถรักษาไว้ได้
ป้ามั่วรับถุงน้ำมา อดทนต่อความเ็ปดื่มลงไป ในยามที่น้ำพุแสนหวานไหลสู่ลำคอ ความรู้สึกเจ็บระคายเคืองพวกนั้นพลันลดลงไม่น้อย
“แม่นาง น้ำนี้…”ป้ามั่วรู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำในบ่อธรรมดา หากดื่มน้ำเพียงคำเดียวก็สามารถบรรเทาได้ นางก็ไม่ต้องรอความตายอยู่ที่นี่แล้ว
“นี่เป็ยาน้ำที่ข้าแช่ออกมา ใช้รักษาอาการไอด้วยเฉพาะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง ๆ “สมุนไพรที่ข้ามอบให้ท่านครั้งก่อน ท่านไม่ได้ดื่มหรือ? เหตุใดอาการจึงหนักขึ้นได้?”
“แม่นางอย่าได้โกรธ ข้ามิใช่คนที่ไม่รู้ดีชั่ว ข้ามีพี่น้องที่สนิทสนมในหมู่บ้านนางหนึ่ง หลายปีมานี้ล้วนเป็นางคอยช่วยเหลือข้า ในยามที่นางยังเป็สาวคลอดลูกทำให้หลงเหลือโรคไว้ หลายปีมานี้มักจะไอไม่หยุด ข้าจึงนำยาที่ท่านให้ข้ามอบให้นางไปแล้ว” ป้ามั่วพูดอย่างไม่สบายใจนัก
“ท่านมอบให้นาง นางก็รับไว้?” หรือนางไม่รู้ว่าท่าน้ายานี้มากกว่าหรือ? หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว
“แม่นางอย่าได้เข้าใจนางผิด ข้าหลอกนางว่าที่ข้ายังมีอีก นางจึงได้รับไป” ป้ามั่วพูดอย่างไม่สบายใจ ชะตาของข้าไม่ดี ทำร้ายสามีทำร้ายบุตรชาย หลายปีมานี้ คนในหมู่บ้านต่างไม่กล้าเข้าใกล้ข้า มีเพียงพี่น้องที่ดีของข้านางนั้นที่เต็มใจเข้าใกล้ข้า หลายครั้งที่ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็เป็นางที่แอบนำข้าวและเสบียงที่บ้านมาให้ข้ากิน
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อได้ยินป้ามั่วพูดเช่นนี้ จึงได้เชื่อในจิตเมตตาของพี่น้องของนางผู้นั้น
ต้นตอโรคของพี่น้องของท่านนางนั้นกับโรคของท่านไม่เหมือนกัน ยาตัวนั้นข้าปรุงให้ท่านพี่น้องของท่านกินไปก็ไม่มีประโยชน์ ของนางเป็โรคที่เกิดจากการอยู่เดือน ข้าต้องเขียนใบสั่งยาใหม่ให้นางจึงจะใช้ได้” หลิงมู่เอ๋อร์ทางหนึ่งฝังเข็มให้ป้ามั่วต้า อีกด้านก็กล่าวกับนาง “ครั้งหน้าพานางมาหาข้า ข้าจะตรวจอาการให้นาง”
“ขอบคุณแม่นางมาก” ป้ามั่วต้ากล่าวด้วยหยาดน้ำตาคลอ “ข้ามีบุญวาสนาหรือความสามารถใดกัน ถึงได้พบแม่นางที่มีความเมตตาเช่นนี้”
“บางที อาจเป็สามีและบุตรชายบน์ของท่านส่งข้ามากระมัง! หลิงมู่เอ๋อร์พูดเรียบ ๆ “อย่าได้คิดมากจนเกินไป ดูแลรักษาโรคให้ดีจึงจะเป็สิ่งที่ควรทำที่สุด
หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ที่บ้านของป้ามั่วเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม เริ่มจากฝังเข็มให้นางก่อน จากนั้นจึงต้มยาให้นาง ยานั้นนำกลับมาจากพี่น้องผู้นั้นของนาง ่เวลาที่ผ่านมานี้จัดไว้ให้นางห้าชุด พี่น้องของนางกินไปสองชุด ตอนนี้ยังเหลืออีกสามชุด หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายที่มาที่ไปให้หญิงชรานางนั้นฟังแล้ว หญิงชรานางนั้นก็ว่าป้ามั่วไปรอบหนึ่ง จากนั้นสองพี่น้องผู้ชราก็กอดกันร้องไห้ไปรอบหนึ่ง ภาพนั้นทำให้คนรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก ทำเอาหลิงมู่เอ๋อร์ดูจนร้องไห้ออกมา
ซั่งกวนเซ่าเฉินควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอก เช็ดน้ำตาให้นาง นางเบี่ยงหลบอย่างเขินอาย
“ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ดีเหลือเกิน ตั้งใจจะมีลูกเมื่อใดกันเล่า?” ฟางต้าเหนียงมองคนทั้งคู่ที่เหมาะสมกันอย่างมากแล้วกล่าวออกมา
“อะแฮ่ม” ป้ามั่วค้อนป้าฟางครั้งหนึ่ง “พูดเหลวไหลอะไรกัน? แม่นางหลิงยังมิได้ออกเรือน คุณชายท่านนี้…อย่างมากก็เป็คนรักเท่านั้น”
“อ้อ” ป้าฟางจึงตระหนักขึ้นมาในทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างเขินอายว่า “ขออภัยด้วย พวกท่านดูแล้วก็เหมือนกับคู่สามีภรรยาอายุน้อยที่เพิ่งแต่งงาน ข้าดูผิดไปแล้ว”
“ท่านป้า ท่านกินยาตามเดิม ครั้งหน้าที่ข้าตรวจอาการให้ฟางต้าเหนียง จะให้ท่านป้าฟางนำกลับมาให้ท่านอีกสองสามชุด” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจการเย้าแหย่ของคนทั้งสอง กำชับอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ อย่าได้กินยามั่วอีก และไม่อาจไม่กินยา ทุกวันสามครั้ง หลังอาหารครึ่งชั่วยามจึงค่อยรับประทาน หากไม่มีเื่ใดอีกข้าก็จะกลับแล้ว”
“ขอบพระคุณแม่นางเหลือเกิน” หญิงชราทั้งสองนางพูดออกมาพร้อมกัน “ท่านมีคนอยู่เคียงข้าง พวกเราก็ไม่ไปส่งท่านแล้ว แม่นางมีจิตใจเมตตา คนดีย่อมเป็สุขแคล้วคลาดชั่วชีวิต หญิงชราคนนี้ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่ภาวนาต่อหน้าพระพุทธทุกวันคืน ขอให้แม่นางมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุขและสุขภาพแข็งแรง”
“ท่านป้าเกรงใจเกินไปแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ยอบกายให้ท่านป้าทั้งสอง จากนั้นก็จากกระท่อมเล็ก ๆ หลังนั้นมา