ยากนักที่หลิงจือเซวียนจะได้เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เผยท่าทางของสาวน้อยออกมา ในยามปกติ หลิงมู่เอ๋อร์เก่งกล้าเกินไป ราวกับผู้ชายก็ไม่ปาน เขาผู้เป็พี่ชายในหลายด้านล้วนไม่อาจสู้นางได้ บัดนี้ มีคนผู้หนึ่งสามารถให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้พึ่งพาและเชื่อถือเช่นนี้ ในใจของหลิงจือเซวียนก็รู้สึกขอบคุณ เขากลัวว่าน้องสาวของเขาจะมีกายเป็หญิงแต่ใจเป็ชาย บัดนี้ ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
หญิงสาวที่รู้จักเขินอาย ช้าเร็วย่อมเริ่มรู้จักกับความรักเป็แน่ หากเดาไม่ผิด ผู้ที่จะทำให้นางได้ัักับความรักครั้งแรกก็คือเ้าหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้
สำหรับสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว หลิงจือเซวียนยังคงมีความเชื่อมั่น เ้าเด็กนี่อาจไม่หล่อเหลาเท่าซูเช่อ และไม่งดงามดั่งมารร้ายเท่าหนานกงอี้จือ ทว่า หลิงจือเซวียนกลับมั่นใจในตัวเขาอย่างมาก สายตาที่เขามองหลิงมู่เอ๋อร์มีความอบอุ่น ไม่เหมือนสายตาที่มองผู้อื่นในยามปกติ เขาเต็มใจที่จะมอบความพิเศษนี้ให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ ก็เป็เพราะมีความรู้สึกต่อนาง เพียงแต่บุรุษเช่นนี้ก็เหมือนกับเสือดาวที่พร้อมจะจู่โจมตลอดเวลา ในยามปกติสงบไม่เคลื่อนไหว แต่เมื่อลงมือขึ้นมาก็จะต้องได้มาไว้ในกำมือ
“ท่านแม่ ชามของพี่ใหญ่ใส่ไม่ลงแล้ว พวกท่านให้เขากินเองเถอะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางลำบากใจของซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็อดเอ่ยปากไม่ได้
หยางซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างหยอกล้อ “ยังคงเป็มู่เอ๋อร์ของพวกเรารู้จักเป็ห่วงคน คนแก่อย่างพวกเราช่างไม่รู้จักดูสถานการณ์เกินไปแล้ว”
ป้าเฉินที่อยู่ด้านข้างกล่าวเหน็บแนมว่า “เด็กสาวสมัยนี้ ช่างไม่สงวนกิริยาเอาเสียเลย บุตรสาวย่อมใช้สกุลอื่น[1]!จริง ๆ ”
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว จ้องป้าเฉินอย่างไม่พอใจ แต่ป้าเฉินมิได้ใส่ใจ ยิ้มยิงฟันให้หลิงมู่เอ๋อร์ สีหน้าเต็มไปด้วยความยิ้มเยาะ
ในยามที่สายตาแหลมคมสายหนึ่งหยุดลงบนร่างของป้าเฉิน ป้าเฉินก็เกิดความรู้สึกราวกับเหยื่อที่ถูกจับจ้อง นางอดทนต่อความรู้สึกที่อยากตัวสั่น มองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นเย็นะเื เผยประกายความดุร้ายออกมา ราวสัตว์ร้ายที่เตรียมโจมตี
นางหดคอก้มหน้ากินข้าว นางกล่าวอยู่ในใจว่า “ดูจากท่าทางหวงลูกน้อยของเ้าเด็กนั่น ฐานะของเด็กสาวนางนี้ในใจเขาไม่ต่ำเลย”
“ถูกแล้วเฉินเอ๋อร์ ตอนนี้เ้าพักอยู่ที่ใด?” หากไม่มีที่พักแล้วล่ะก็ ไม่สู้กลับมาพักที่นี่? หยางซื่อดูแลซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างกระตือรือร้น
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะพูดว่าเขามีที่พัก เขาไม่เพียงมีที่พัก อีกทั้งสถานที่ที่คนเขาพักอยู่ยังเป็จวนโหว ที่นั่นมีข้าทาสบริวาร ดีกว่าบ้านของพวกเรามากนัก
ก่อนที่นางจะเอ่ยปาก ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กล่าวว่า “ขอบคุณท่านป้ามาก ทว่าตอนนี้ข้าทำงานให้ฝ่าา ต้องเข้าออกวังหลวงเป็ประจำ ่เวลาที่อาศัยอยู่ด้านนอกมีไม่มากนัก หากข้ามีความจำเป็จะต้องมาหาท่านป้าแน่ ถึงเวลานั้น ขอท่านป้าอย่ารังเกียจว่าข้ามารบกวนก็พอแล้วขอรับ”
หยางซื่อตะลึงไป “ทำงานให้ฝ่าา? เข้าออกวังหลวงเป็ประจำ? เฉินน้อย ตอนนี้เ้าทำสิ่งใดอยู่หรือ?”
“ตอนนี้ข้าเข้าไปอยู่ในหน่วยองครักษ์หลวงขอรับ” สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินราบเรียบ “ทำให้ท่านป้าต้องเห็นเื่น่าขันแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์เบะปาก กล่าวในใจว่า “พูดซะยากไร้เสียเหลือเกิน องครักษ์หลวงกับผู้บัญชาการองครักษ์หลวงเป็คนละเื่กันดีหรือไม่? กององครักษ์หลวงเป็สถานที่ทั่วไปหรือ? หากไม่ใช่ทายาทรุ่นที่สองของขุนนาง ก็ต้องมีความสามารถที่แท้จริง เขาสามารถกลายเป็ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงได้ นั่นยิ่งไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกระทำได้”
“เ้าหนุ่มเฉินช่างมีความสามารถจริง ๆ ” หลิงต้าจื้อถอนใจอย่างชื่นชม “กององครักษ์หลวงนั้นร้ายกาจอย่างมาก ทุกวันนี้ ทุกคนต่างพูดว่า กององครักษ์หลวงมีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถบัญชาการได้ เ้าสามารถเข้าหน่วยองครักษ์หลวงได้ แสดงว่าเ้าจะต้องมีความสามารถ พวกเรารู้สึกนับถือเ้าจริง ๆ มามามา ทุกคนมาคารวะสุราเ้าหนุ่มเฉินจอกหนึ่ง แสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็ขุนนาง
งานเลี้ยงสุราผ่านไปรอบหนึ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เริ่มมึนเมาอีกแล้ว หลิงจือเซวียนประคองซั่งกวนเซ่าเฉินไปยังเรือนด้านหลัง ที่นั่นมีห้องที่แยกไว้อยู่ การตกแต่งด้านในเหมือนกับที่บ้านในสมัยก่อน นั่นเป็การตกแต่งตามความชอบของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก้าวเข้าไปในนั้น ในชั่วขณะหนึ่งหัวใจก็สั่นไหว
หลิงจือเซวียนสังเกตเห็นสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉิน จึงหัวเราะเบา ๆ ว่า “นี่เป็ความคิดของมู่เอ๋อร์ นางบอกว่าเวลาที่เ้ามาแล้วก็จะได้มีที่พัก”
ในใจของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความว้าวุ่น สาวน้อยนางนั้นไม่เคยลืมเขา! เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ชายที่ไม่รู้จักแสดงความรู้สึกของตนมาก่อนเผยสีหน้ายินดีออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดถึงอารมณ์ที่เบิกบาน
“เ้าพักอยู่ที่นี่สักครู่” หลิงจือเซวียนจัดการที่พักให้ซั่งกวนเซ่าเฉินเรียบร้อย เมื่อคิดถึงความเข้มงวดที่อาจารย์จูมีต่อเขา เขาก็รีบมุ่งไปยังห้องหนังสืออย่างรีบเร่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินนอนอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มหลังใหญ่ มองดูการตกแต่งทั้งหมดในห้อง ในใจของเขาก็มีไฟกองหนึ่ง แทบจะเผาไหม้ตัวเขาขึ้นมา
ในเวลานี้ในวินาทีนี้ เขาอยากจะถามสาวน้อยคนนั้นมากกว่า เหตุใดจึงดีกับเขาเช่นนี้ ในหัวใจของนาง เขาเป็เพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้นหรือ? หากเป็เช่นนี้จริง วันหลังเขาจะใช้ฐานะพี่ชายอยู่เคียงข้างนาง ปกป้องนาง ไม่ให้นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจใด ๆ แต่หากไม่ใช่…เขาอยากเปลี่ยนเป็อีกฐานะหนึ่งมาดูแลนาง
ถูกแล้ว! ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้ดีว่าที่ตน้าคือสิ่งใด นับจากแยกจากสาวน้อยนางนั้น ตกกลางคืนในยามหลับฝันล้วนเป็เงาร่างของนาง ในเวลานั้นเขาก็ตระหนักได้แล้ว
ทว่าเวลานั้นพวกเขาได้แยกจากกันแล้ว ขวางกั้นด้วยูเานับพันลูกแม่น้ำนับหมื่นสาย เขาแบกรับความแค้นของครอบครัวไว้ ในใจมีกลอนที่หนักอึ้ง จึงไม่อยากทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย บัดนี้ เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่สะกดกั้นไว้ยาวนานถึงเพียงนั้น ก็ออกจะควบคุมไม่ได้เสียแล้ว
“คุณหนู คุณชายจูมาแล้วขอรับ” ซั่งกวนเซ่าเฉินนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงที่อยู่ไม่ไกลอย่างชัดเจน
ด้วยระดับฝีมือของเขาในตอนนี้ ขอเพียงเขาเต็มใจฟัง เสียงของเรือนรอบๆบริเวณนี้ล้วนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
คุณชายจู? นั่นเป็ผู้ใดกัน? หรือว่าใน่ที่เขาไม่ได้ปรากฏตัว สาวน้อยคนนั้นได้รู้จักกับชายอื่น?
“ให้เขาเข้ามาเถอะ!” หลิงมู่เอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้อง น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างมาก ทั้งยังมีความเอ็นดูหลิงมู่เอ๋อร์อีกด้วย “ของที่เ้า้าข้าหามาให้เ้าแล้ว
“โอ้! เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ขอบคุณพี่ชายมาก” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะอย่างมีความสุข “จะนั่งเพียงครู่หรือไม่?”
“ไม่ล่ะ เ้าก็รู้นิสัยของท่านพ่อข้า เขาเข้มงวดกับพวกเรามาก ตอนนี้เป็เวลาเรียนหนังสือ ข้าไม่กล้าอยู่ที่นี่นานนัก” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างทำอะไรมิได้
“ตอนกลางคืนข้าจะทำของอร่อยให้พวกท่านกิน ปลอบใจปลอบใจพวกท่าน พวกท่านเรียนหนังสือทั้งวันเช่นนี้ เหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้ม
“ดีสิ” บุรุษผู้นั้นยิ้มบาง
“ยังมีเื่ใดอีกหรือไม่?”
“มู่เอ๋อร์ ได้ยินว่าวันนี้ที่บ้านเ้ามีแขกมา คนผู้นั้นยังเป็พี่ชายบุญธรรมของเ้าด้วย?”
“ใช่สิ ข้ามิใช่เชิญพวกเ้าทั้งครอบครัวหรือ? ท่านอาจารย์จูปฏิเสธในคำเดียวเสียแล้ว ข้าก็ไม่สะดวกที่จะเกลี้ยกล่อม”
“เ้าก็รู้นิสัยของท่านพ่อข้า เขาไม่ชอบการสมาคมกับผู้คน แม้จะบอกว่าเป็พี่ชายบุญธรรมของเ้า แต่สำหรับเขาแล้วก็ไม่ต่างกับการพบปะกับผู้คนนัก”
“ข้าเข้าใจ ดังนั้น จึงไม่เคยบังคับเขามาก่อน พี่จูยังมีเื่ใดอีกหรือไม่?”
“ไม่มีอะไร เพียงถามดูเท่านั้น มู่เอ๋อร์มีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่งแล้ว เหตุใดจึงได้มีพี่ชายบุญธรรมอีกเล่า?”
พรืด! หญิงสาวหัวเราะอย่างเฉิดฉัน “คำพูดนี้ของพี่จูช่างน่าสนุกนัก หรือคนที่มีพี่ชายบุญธรรมพวกนั้นล้วนไม่มีพี่ชาย? ข้ากับพี่ใหญ่มีนิสัยใจคอตรงกัน เมื่อก่อนก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขาหลายครั้ง ดังนั้น จึงสานสัมพันธ์เป็พี่น้องบุญธรรมกับเขา พี่จูมีความสนใจในตัวพี่ชายผู้นี้ของข้าหรือ? หากอยากพบล่ะก็ ข้าสามารถแนะนำให้พวกท่านรู้จักกันได้”
“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินฟังเสียงของพวกเขาหายไป เขามองเพดาน้า พูดเสียงเบาว่า “ดูท่า เด็กสาวตัวน้อยจะเติบโตแล้วจริง ๆ ”
ผู้ที่ชอบพอนางมีไม่น้อยเลย!
ในฐานะบุรุษ เขาสามารถตรวจสอบได้ถึงวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาถามถึงตัวเขาซึ่งเป็พี่บุญธรรมอย่างอ้อมค้อม ก็เพราะกลัวนางจะถูกคนแย่งชิงไปเท่านั้นเอง
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังต้องเข้าวังไปทำงาน นอนพักเพียงครู่เดียวก็จากบ้านสกุลหลิงไป ก่อนจากไป เขายังรับปากหยางซื่อว่าจะกลับมาพักบ่อย ๆ
เดิมเขาไม่คิดจะมารบกวนพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศัตรูที่อยู่ในที่ลับของเขาส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขา ทว่าพี่จูผู้นั้น ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
แม้ว่าจะมิได้พบคนผู้นั้น แต่จากท่าทีของหลิงมู่เอ๋อร์ก็สามารถรู้ได้ว่า นางมีความรู้สึกที่ดีอย่างมากต่อพี่จูผู้นั้น นั่นเป็คู่ต่อสู้ที่อันตรายอยู่บ้างผู้หนึ่ง
กิจการที่โรงหมอดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ถึงการคงอยู่ของเซียนแพทย์หลิงมู่เอ๋อร์ ผู้ที่มีโรคต่าง ๆ ที่รักษาไม่หายก็มาหานาง ในยามที่นางสามารถแก้ปัญหาที่หมอท่านอื่นแก้ไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า รักษาได้แม้กระทั่งโรคที่หมอหลวงรักษาไม่หาย ชื่อเสียงของนางก็ยิ่งพุ่งทะยานไปจนถึงจุดสูงสุด
คนที่มาด้วยความเลื่อมใสยิ่งมายิ่งมาก จึงยากที่หลิงมู่เอ๋อร์จะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางและผู้สูงศักดิ์พวกนั้น คนพวกนั้นเห็นว่าเซียนแพทย์เป็หญิงสาวงดงามเยาว์วัยนางหนึ่ง ก็เกิดความคิดที่จะรับนางเข้าไปอยู่ในเรือนหลัง ไม่ว่าใครก็กลัวความตาย โดยเฉพาะเหล่าคนที่มีอำนาจพวกนี้
พวกเขาคิดว่า นำหญิงสาวที่มีทักษะทางการแพทย์สูงส่งเช่นนี้เข้าไปอยู่ในเรือนหลัง ชีวิตน้อย ๆ ของพวกเขาก็จะสามารถอยู่ได้นานขึ้นอีกหลายปี เพียงแต่ความคิดเช่นนี้ เมื่อได้เห็นที่ชูเซ่อมักจะปรากฏกายเข้าออกคู่กับหลิงมู่เอ๋อร์เป็ประจำ และโดยเฉพาะในยามที่พบว่า ผู้บัญชาการองครักษ์หลวงเป็พี่บุญธรรมของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็ได้สลายไปราวกับหมอกควัน
“มู่เอ๋อร์ อากาศวันนี้ไม่เลว ไม่สู้ไปพายเรือในทะเลสาบเป็อย่างไร?” ซูเช่อขี่อยู่บนม้า พูดกับหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้า
หลิงมู่เอ๋อร์นวดหว่างคิ้ว กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “จวิ้นอ๋องน้อย ข้ายังมีคนไข้ที่ต้องดูแล ไม่มีเวลาว่างออกไปเที่ยวเล่น”
“มู่เอ๋อร์ยังโมโหเื่ครั้งก่อนอยู่หรือ? หลายวันมานี้เ้ามักจะไม่สนใจข้า ข้ารู้สึกแย่เหลือเกิน” เสียงเศร้าสร้อยของซูเช่อดังเข้ามาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์ยังติดใจอยู่บ้างจริง ๆ แต่ว่าซูเช่อเป็เพื่อนที่ไม่เลว ขอเพียงรักษาระยะห่างของเพื่อนไว้ นางก็จะไม่ผลักไสเขาออกไปไกลนัก
ม้าที่ควบอย่างรวดเร็วตัวหนึ่งหยุดลงตรงหน้าพวกเขา ม้าตัวนั้นควบตะบึงมาระยะหนึ่ง ในยามที่หยุดลงก็มีความรีบเร่งอยู่บ้าง ทำให้ม้าเหงื่อโลหิตที่อยู่ข้างกายของซูเช่อใ โชคดีที่ทักษะการขี่ม้าของคนทั้งสองไม่เลว หลังจากคนผู้นั้นหยุดลงอย่างกะทันหัน ซูเช่อก็ได้ปลอบประโลมม้าวิเศษด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซูเช่อเห็นผู้ที่มา ก็ยิ้มรับว่า “ที่แท้เป็ใต้เท้าซั่งกวน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้สนใจซูเช่อ แต่มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้า “มู่เอ๋อร์จะไปที่ใดหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกม่านออก ในดวงตางุนงนมีความประหลาดใจแทรกอยู่เล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่นี่
“เหตุใดพี่ใหญ่จึงอยู่ที่นี่ได้? เมื่อครู่ข้าเตรียมจะไปตรวจรักษา ไม่คาดว่าระหว่างทางรถม้าจะพัง เผอิญเจอกับจวิ้นอ๋องน้อยพอดี จวิ้นอ๋องน้อยตั้งใจจะไปส่งข้าระยะหนึ่ง” หลิงมู่เอ๋อร์เล่าตามความจริง
“ข้าจะส่งเ้าไปเอง ไม่ต้องรบกวนจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินยื่นฝ่ามือออกไปให้หลิงมู่เอ๋อร์
ดวงตาของซูเช่อหลี่ลง
ต่อหน้าผู้คนมากมาย บุรุษผู้หนึ่งยื่นมือไปให้สตรีนางหนึ่ง หากหญิงนางนั้นรับ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็มิอาจอธิบายอย่างชัดเจนได้แล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าคนทั้งสองมิใช่พี่ชายน้องสาวแท้ ๆ ต่อให้เป็พี่น้องแท้ ๆ ก็จะถูกผู้คนนินทาเป็แน่ ดังนั้น สาวน้อยนางนี้ย่อมไม่มีทางรับอย่างแน่นอน ใช่…หรือไม่?
[1] บุตรสาวย่อมใช้สกุลอื่น เป็สำนวนหมายถึง ผู้เป็บุตรสาวย่อมต้องออกเรือนแต่งไปใช้นามสกุลของสามี หรือ หมายถือสตรีที่มีใจเอนเอียงเข้าข้างคนรักของตน