เซินสือเย่ได้ยินเสียงแล้วจึงรีบเข้ามา เมื่อเห็นกงอี่โม่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางเขาคิดเข้าไปช่วยนางโดยอัตโนมัติ ทว่ากลับถูกซูเมี่ยวหลันขวางไว้ “พี่เซินท่านอย่าเข้าไป กระบี่ไร้ดวงตา หากท่านาเ็ไปจะทำอย่างไร?
“ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าใครกล้าทำร้ายข้า!” เซินสือเย่ร้อนใจมากใบหน้างามของเขาเต็มไปด้วยความอำมหิตเขาผลักซูเมี่ยวหลันออกแล้วเดินขึ้นไปด้านหน้า
เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทางเช่นนี้ ั์ตาของซูเมี่ยวหลันพลันสะท้อนประกายอาฆาตกงอี่โม่มีดีตรงไหน? ท่านพี่รัชทายาทชอบนางแม้กระทั่งเซินสือเย่ที่เพิ่งเคยเจอนางเพียงครั้งเดียวก็ยังปฏิบัติต่อนางเป็พิเศษเช่นนี้ช่างเป็ปีศาจจิ้งจอกจริงๆ ขอให้กงหานเยว่สังหารนาง ขอให้นางตายไปก็ดี
ในเมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ซูเมี่ยวหลันจึงไม่มีทางยอมปล่อยให้เซินสือเย่ทำลายแผนการนี้ดังนั้นนางจึงดึงอีกฝ่ายไว้ “พี่เซิน นี่คือเื่ภายในราชวงศ์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเรายื่นมือเข้าไปยุ่งได้ ถือว่าข้าขอร้องท่านก็ได้ อย่าไปเลย”
นางเงยหน้าพร้อมดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา ท่าทางสะท้อนถึงความงามที่หาพบได้ยาก
เซินสือเย่เหลือบมองนางด้วยสายตาคมลึกชั่วครู่ เขารู้สึกเบื่อหน่ายในฉับพลัน เพราะเหตุใดแต่ก่อนเขาจึงรู้สึกว่าซูเมี่ยวหลันแตกต่างจากพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆรอบกายเขาได้ล่ะ?
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เขาดึงมือของตนกลับคืนมาอย่างช้าๆจากนั้นจึงสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไป
เหล่าองครักษ์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ความกดดันบีบเข้ามาคมกระบี่แหลมคมสะท้อนประกายเย็นเฉียบท่ามกลางเสียงร้องะโอย่างอวดดีให้สังหารนางของกงหานเยว่
ตอนแรกกงอี่โม่ยืนอยู่เฉยๆ เท่านั้น ทว่าเวลานี้นางพลันก้มศีรษะ ยักหัวไหล่ท่าทางแปลกประหลาดยิ่งนัก
กงหานเยว่สังเกตอย่างละเอียด นางพบว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆสุดท้ายจึงกลายเป็การเงยหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น
นางมองกงหานเยว่ั์ตาแฝงไปด้วยความสงสารอย่างลึกๆ
“องค์หญิงใหญ่ท่านช่างโง่ยิ่งนัก”
กงหานเยว่ถลึงตาโกรธจัด สีหน้าโเี้ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่างทว่ากลับรู้สึกสะอึกจนพูดไม่ออก
“หากข้าโง่เหมือนท่าน ข้าจะต้องซ่อนตัวอยู่เงียบๆ อย่างแน่นอนอย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกคนอื่นหลอกใช้”
กงอี่โม่กล่าวเสียงต่ำ เมื่อกล่าวจบแล้ว นางก็ไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องอย่างโกรธจัดของกงหานเยว่แต่นางหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อและยกขึ้นมาอย่างช้าๆ
ทุกคนต่างมองตามโดยไม่รู้ตัว พวกเขาเห็นป้ายทองสะท้อนอย่างชัดเจน้าเขียนตัวอักษรสี่ตัวอย่างสวยงาม ''ดุจข้า (ฮ่องเต้) มาเอง'' ท่ามกลางแสงอาทิตย์
ทหารองครักษ์ตะลึงจนหน้าถอดสี พวกเขาต่างคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็ถึงป้าย ''ดุจข้ามาเอง''
เมื่อผู้ที่เข้ามาเพื่อช่วยเหลือจำนวนไม่น้อยเห็นทหารองครักษ์ทั้งหลายต่างคุกเข่าลงทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังแสดงท่าทีดุดัน พวกเขาจึงมองหน้าซึ่งกันและกันส่วนทิศทางที่ทหารองครักษ์หันไปก็คือร่างสง่างามร่างหนึ่ง แม้ไม่มีการกล่าวสิ่งใดแต่ท่าทางกลับกำลังเย้ยหยันทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า
นางดูใจเย็น สีหน้าไม่แยแส ไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด
ใช่สิ นางเป็องค์หญิงจาวหยาง และองค์หญิงจาวหยางผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์แล้วจะไม่เหลืออะไรเลยเพราะนางเป็สาวน้อยมหัศจรรย์
ทว่ากงหานเยว่ยังไม่ทันตั้งตัวจากความพลิกผันของเหตุการณ์เบื้องหน้าเวลานี้กงอี่โม่หยิบป้ายทองเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางหยุดอยู่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย
แม้ว่าตอนนี้กงอี่โม่อายุยังน้อย ทว่านางกลับสูงระดับเดียวกันกับกงหานเยว่แล้วนางคลี่ยิ้ม จับป้ายทองตบใบหน้าเกร็งค้างของกงหานเยว่เบาๆรอยยิ้มของนางช่างเ้าเล่ห์ยิ่งนัก
“เสด็จพี่ อันที่จริงข้าอยากพูดกับท่านทุกครั้งว่าคนเช่นท่านควรคลุกตัวอยู่ในจวนองค์หญิงกับเหล่าบุรุษคนโปรดของท่านไปตลอดชีวิตน่าจะดีที่สุดอย่ามาสร้างความอัปยศให้ตัวเองต่อหน้าคนฉลาดจะดีกว่า ไสศีรษะกลับไปเถิด”
ทุกครั้งที่ป้ายทองตบบนใบหน้าของกงหานเยว่นางรู้สึกถึงความเย้ยหยันและความหนาวเย็นแทงลึกถึงกระดูกนางมองกงอี่โม่ด้วยสายตาอำมหิต ความโกรธจัดและความเจ็บใจพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
เพราะเหตุใดเสด็จพ่อจึงลำเอียงเช่นนี้ เพราะเหตุใด?! เวลานี้บนโลกนี้มีป้ายทองดุจข้ามาเองอยู่หนึ่งคู่ป้ายหนึ่งอยู่ที่เอวของฮ่องเต้ อีกป้ายหนึ่งกลับอยู่ในมือของกงอี่โม่ถึงแม้นางจะถูกถอดพระยศแล้วกลับไม่มีการยึดป้ายนี้คืนแล้วการถอดพระยศจะมีความหมายอะไร?
ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงความผิดหวัง เสด็จพ่อลำเอียงถึงเพียงนี้เหตุการณ์ในตอนนี้ดำเนินมาถึงเช่นนี้แล้วสิ่งที่รอนางอยู่ก็คือความพิโรธของฮ่องเต้
“พวกเรากลับ”
คำพูดไม่กี่คำนี้ราวกับเป็การเค้นเสียงออกมาจากร่องฟันเลยทีเดียว
กงอี่โม่ไม่ได้สั่งห้าม ดังนั้นทหารองครักษ์จึงจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่เข้ามาเดิมทีบนเนินเขาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เวลานี้กลับกลายเป็สภาพยุ่งเหยิงทว่าในสภาพยุ่งเหยิงเช่นนี้มีเพียงกงอี่โม่เท่านั้นที่ยังคงยืนอย่างสบายใจอยู่ที่นั่นนางดูเย่อหยิ่งและโดดเดี่ยว
ชุดฝึกวรยุทธ์สีขาวบนร่างของนางถูกพัดจนเกิดเสียงเส้นผมของนางปลิวขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเล็กขาวราวกับหิมะดูเคร่งขรึมเ็า
ไม่มีทหารองครักษ์บังอีกแล้ว ผู้คนที่รีบตามมาจึงปรากฏอยู่เบื้องหน้าของนางดูเหมือนว่านางจะรู้สึกได้ นางจึงเงยหน้าขึ้น
มีบางคนเกิดมาเพื่อยืนในตำแหน่งสูงกว่าใคร
ทั้งๆ ที่เหลือบมองอย่างเฉยชาทว่าท่าทีอันเป็ธรรมชาติของนางกลับทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างยอมสยบให้แต่โดยดีพวกเขาเกิดความรู้สึกอยากคุกเข่าหมอบกราบอยู่ในใจ
นางดูสูงส่งไม่อาจเอื้อม เซินสือเย่ััถึงสายตาของนางนางหยุดสายตาบนตัวเขาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเบือนหนีหันไปมองทางด้านหลังของเขา ทว่าด้านหลังของเขาก็คือซูเมี่ยวหลัน
กงอี่โม่พลันคลี่ยิ้มทันที
ทว่ารอยยิ้มนี้กลับไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้พวกเขาััได้ถึงความโดดเดี่ยวและอึดอัดบนเนินแห่งนี้ต่างไร้สรรพเสียง มีเพียงเสียงของนางเท่านั้นที่ดังสะท้อนอยู่
“ซูเมี่ยวหลัน เ้าพยายามเชิญข้ามาร่วมงานนี้ไม่ใช่หรือ? บุปผาล่ะ? อาหารล่ะ? สุราล่ะ?”
เมื่อนางเอ่ยถามเช่นนี้ซูเมี่ยวหลันจึงรู้สึกว่าแผนการที่นางวางไว้มีสภาพราวกับเื่ตลกที่ใครๆต่างมองเห็น ร่างของนางสั่นระริกจนแทบจะล้มคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ากงอี่โม่
“มาทันทีเดี๋ยวมาทันทีแล้ว”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ กงอี่โม่จึงคลี่ยิ้มอีกครั้งทว่าครั้งนี้รอยยิ้มของนางยังแฝงไปด้วยความอ่อนล้าและความเดียวดาย
“อย่างนั้นหรือ?ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“ที่นี่ทิวทัศน์งดงาม ข้าก็จะดื่มสุราที่นี่ด้วยเช่นกัน” เซินสือเย่ทนมองนางในสภาพเช่นนี้ไม่ได้เลยเขาก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างไม่รู้ตัว
กงอี่โม่มองสภาพเละเทะเต็มพื้นอย่างอดไม่ได้จากนั้นจึงมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
“สวีหยวน อวี้จื่อชิง พวกเ้าตายแล้วหรือไง? ยังไม่รีบมาดื่มสุราอีก” เมื่อถูกมองจนรู้สึกขัดเขินเขาจึงเรียกสหายคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังของตน
ผู้ที่ถูกเรียกชื่อทั้งสองพลันตาเป็ประกาย ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกว่าการได้ร่วมดื่มสุรากับกงอี่โม่ถือเป็เกียรติอย่างหนึ่ง
“ที่นี่กว้างใหญ่ คงไม่ว่าหากมีข้าเพิ่มขึ้นอีกสักคนใช่ไหม?” หลี่เคอก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าวเขาส่งยิ้มอย่างสุภาพ ยังไม่ทันรอให้กงอี่โม่ตอบกลับ ก็มีคนอ้วนคนหนึ่งรีบชะโงกเข้ามา
“ยังมีข้า ยังมีข้าด้วย ข้าก็อยากกินอยากดื่มเหมือนกันบนเนินตรงนี้มีวิวสวยจริงๆ ทำไมไม่บอกกันั้แ่ก่อนหน้านี้ ปล่อยให้ข้าอยู่ข้างทะเลสาบด้านล่างจนถูกลมหนาวพัดใส่ตลอดครึ่งวันเช้าแล้วข้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
เมื่อเห็นว่ามีคนหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่เอ่ยปาก้าดื่มสุราในที่แห่งนี้กงอี่โม่จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ พวกเขาเห็นนางไร้พวกพ้องไม่อยากเห็นนางถูกคนอื่นรังแกอยู่คนเดียวจึงเสนอตัวกันเช่นนี้
กงอี่โม่คลี่ยิ้มน้อยๆอย่างอดไม่ได้ นางผายมือด้วยท่าทีราบเรียบ
“เช่นนั้นก็เชิญเถิด”
ขณะที่นางกล่าวประโยคนี้ ทุกๆ คนต่างรู้สึกถึงความเป็ธรรมชาติท่าทางสง่างามที่ผ่านการปลูกฝังมาอย่างดี ทำให้สตรีสูงศักดิ์บางส่วนที่ซ่อนตัวอยู่ต่างรู้สึกยอมรับนางอยู่ในใจ
“บางทีองค์หญิงก็คือองค์หญิง ไม่ว่าจะมีสถานะเช่นไรเนื้อแท้ของนางก็ยังเป็องค์หญิง”
ไม่รู้ว่าใครที่กล่าวขึ้นเช่นนี้ สตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ต่างนิ่งเงียบไปตามๆ กัน ไม่มีใครสักคนที่เอ่ยคัดค้าน