ซูเมี่ยวหลันใกับการกระทำของกงอี่โม่ นางจึงไม่กล้าแอบกลั่นแกล้งใดๆ อีกอาหารเลิศรสสุราดีเยี่ยมถูกส่งถึงบนเนินเขาอย่างไม่ขาดสายทว่าสตรีสูงศักดิ์บางส่วนกลับใจนขอตัวกลับก่อนเวลาสุดท้ายบนเนินเขาบริเวณนั้นจึงกลายเป็ตำแหน่งที่คึกคักที่สุดในคฤหาสน์แห่งนี้
กงอี่โม่ชอบดื่มสุรา เนื่องจากสุราที่นี่รสชาติไม่แรงและกลมกล่อมติดอยู่ในลำคออย่างยาวนาน ทำให้ผู้คนลุ่มหลงไม่รู้ตัวทว่าแต่ก่อนตอนที่นางอยู่ในวังนั้น นางไม่มีโอกาสดื่มจนเมามายแม้แต่คืนเดียว
มีเพียงตอนนี้ที่นางวางแผนให้กงเจวี๋ยเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งช่วยเหลือตระกูลหลิวจนรอดพ้นได้สำเร็จนอกจากนี้นางยังออกมาจากวังแล้ว นางรู้สึกปลดปล่อยทุกอย่างแล้วจึง้าดื่มให้เต็มที่
ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็ผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแน่นอนก็มีบางส่วนที่เป็บุตรชายขุนนางที่ถูกตามใจและไม่มีหน้าที่การงานใดๆ เลยปกติพวกเขาเอาแต่เล่นไปวันๆตอนนี้เมื่อเห็นกงอี่โม่ที่อายุยังน้อยแต่กลับดื่มอย่างเต็มที่บรรยากาศบริเวณนี้จึงคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีพวกเขาต่างเล่นเกมด้วยกัน บ้างก็สนทนากับกงอี่โม่นางมีความรู้ความสามารถมากมาย ไม่ว่าจะสนทนาถึงประเด็นใดนางก็มีความเห็นแปลกใหม่น่าสนใจเสมอ
ทว่าเมื่อจันทราลอยสูงอยู่บนยอดไม้ นางพลันยกไหสุราขึ้นดื่มทันทีท่าทางตามสบายของนางทำให้ผู้คนหลงใหล ใครบางคนอาจไม่จำเป็ต้องทำอะไรเลยเพราะเนื้อแท้ของบุคคลผู้นั้นมีความโดดเด่นเป็ของตนเองดูเหมือนว่านางจะอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ก็ดูเหมือนว่านางอารมณ์ดีมาก ดังนั้นผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างนิ่งเงียบมีเพียงเสียงสุรากระฉอก ทำให้เส้นผมและชุดของนางเปียกชื้นแม้กระทั่งดวงตาเป็ประกายแวววาวของนางเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเปี่ยมไปด้วยความมึนเมา
“วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าการใช้ชีวิตเหมือนองค์หญิงจึงจะถือว่าได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง” ในกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าใครพลันรำพึงออกมากงอี่โม่ฉีกยิ้ม
“ท่านคิดว่าข้ามีชีวิตที่ดีหรือ?”
“แม้ว่าจะไม่มีพระยศองค์หญิงแล้วทว่าเมื่อเห็นองค์หญิงทำตัวเป็ธรรมชาติเช่นนี้ราวกับไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นไรก็สามารถทำตามใจปรารถนานี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือ?” เวลานี้คนอื่นๆ ก็เริ่มเมาแล้วเช่นกัน คุณชายอวี้จื่อชิงซื่อหลางขุนนางแห่งกรมยุติธรรมส่งยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น
“อย่าเรียกข้าว่าองค์หญิงอีกเลย” กงอี่โม่ยู่ปากโบกมือ
“อืม ทำตัวตามใจปรารถนา เอ่อ ตอนแรกข้าก็อยากทำตามใจปรารถนาอยู่เหมือนกัน”กงอี่โม่เงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับกำลังหวนคิดถึงความคิดที่เคยมีมานานั้แ่ตอนอยู่ตำหนักเย็น
เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ท่ามกลางแสงคบไฟ แสงดวงดาวจึงดูหม่นหมองทว่าใบหน้าด้านข้างของนางกลับงดงามยิ่งกว่าสิ่งใด ทำให้คนไม่อยากละสายตา
“บนโลกนี้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำตามใจปรารถนาบางทีแต่ละคนต่างก้าวเดินเพื่อคนอื่น ห่วงที่มีอยู่บนร่างกายทั้งหมดล้วนถูกคนที่ตัวเองใส่ใจคล้องไว้เป็ชั้นๆหากไม่มีคนเหล่านี้แล้วจึงจะเป็ความอิสระอย่างแท้จริง”
นางรำพึงรำพัน ไม่รู้เป็เพราะเหตุใด ความคิดง่ายๆในตอนแรกจึงถูกขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัดเดิมทีนาง้าแสวงหาชีวิตอิสระอย่างมีความสุขในยุทธภพไม่ใช่หรือ?
คำพูดของนางทำให้ผู้คนคิดทบทวนพวกเขาคาดไม่ถึงว่าสาวน้อยอายุเพียงสิบสองปีจะกล่าวปรัชญาชีวิตอันลึกซึ้งเช่นนี้ออกมาได้อาจเป็เพราะนางถูกฝึกฝนจากการใช้ชีวิตในพระราชวังกระมัง
ทว่าเซินสือเย่มองสีหน้าท่าทางโหยหาของกงอี่โม่ เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“เ้าเมาแล้ว”
เมื่อเขากล่าวจบดวงตาเป็ประกายของกงอี่โม่จึงมองไปทางเขา
“ข้าไม่ได้เมา”
“ไม่ดื่มแล้ว ไม่ดื่มแล้ว ข้าจะกลับ” เซินสือเย่ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
มีบางคนยังไม่ค่อยอยากกลับ ทว่าในที่แห่งนี้ผู้ที่มีฐานะสูงสุดก็คือเซินสือเย่พวกเขาไม่กล้าค้านความเห็นของคนเผด็จการอย่างเขาหรอก
“แล้วข้าล่ะ?”
กงอี่โม่ชี้ตนเองด้วยท่าทางซื่อๆ ท่ามกลางเปลวไฟั์ตาของนางดูงุนงงราวกับลูกแกะขี้เมา ทำให้ผู้พบเห็นอยากดูแลปกป้องนาง
“ข้าจะส่งเ้ากลับบ้าน”
พวกเขารู้ั้แ่แรกแล้วว่าตอนนี้กงอี่โม่ยืมที่พักของเซินสือเย่ทว่าแม้ว่าเซินสือเย่เป็คนไม่เคยสนใจผู้ใด แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากดังนั้นหากเขาบอกว่าไปส่งนาง คนอื่นๆ ก็จะรู้สึกวางใจจริงๆ
เมื่อดื่มสุราด้วยกันเช่นนี้พวกเขาและกงอี่โม่จึงสร้างมิตรภาพต่อกันอย่างประหลาดโดยไม่รู้ตัวเป็ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงแต่เป็ความเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้น
ประตูเมืองถูกปิดแล้ว ทว่าเซินสือเย่เป็ใคร เขาเคาะประตูให้ทหารเปิดประตูเมืองจากนั้นจึงประคองกงอี่โม่เดินเข้าไป
แม้จะอยู่ในสถานที่คึกคักแต่เมืองหลวงตอนกลางคืนที่ไม่มีความบันเทิงก็ยังคงเงียบสงบมาก นอกจากถนนหงหลิ่วแล้วสถานที่อื่นๆ ต่างเงียบสนิท มีเพียงโคมแดงอยู่หน้าประตูหนึ่งโคม้าเขียนนามสกุลต่างๆ เช่น ''หลี่'' หรือว่า ''เฉิน''
ดูน่าเกรงขามและเ็า
กงอี่โม่พิงเซินสือเย่ทั้งตัว เวลานี้นางรู้สึกว่านางยังคงมีสติอย่างชัดเจนทว่านางไม่อาจควบคุมมือและเท้าได้ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย
เซินสือเย่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไรเพราะเหตุใดเขาจึงปกป้องสาวน้อยที่เขาเพิ่งรู้จักได้ไม่นานมากเช่นนี้ วันนี้เขาถึงกับผลักซูเมี่ยวหลันที่เขาเคยรู้สึกดีด้วยเพื่อนางทว่าเวลานี้เมื่อได้กลิ่นหอมของสุราจากร่างของนางแล้วเซินสือเย่พลันรู้สึกว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
กงอี่โม่เอ่ยถามท่ามกลางความงุนงง
“เซินสือเย่อะไรกันเพราะเหตุใดท่านจึงชื่อนี้? ทำไมชื่อจึงประหลาดนัก?”
คำพูดของนางทำให้เซินสือเย่นิ่งงัน ความทรงจำพลันผุดขึ้นโดยไม่อาจควบคุม
บนถนนที่เงียบเชียบเช่นนี้ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดเหตุการณ์บางอย่างที่เขาลืมไปแล้วกลับผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนเขามองร่างสาวน้อยขี้เมาข้างกายตน จากนั้นจึงยิ้มอย่างราบเรียบ
“ถามท่านอยู่นะ!”กงอี่โม่รำพึงออกมา
เซินสือเย่เห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง เขาจึงลูบศีรษะนางอย่างอดไม่ได้
บางทีอาจเป็เพราะดื่มสุรา เขาจึงพูดเก่งมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึง้าเล่าถึงเื่ราวในอดีตให้กับสาวน้อยที่พิงร่างของเขาอยู่ในเวลานี้
“ท่านแม่ข้าเป็ผู้ตั้งชื่อนี้ให้ข้า”
“อ้อ?”
กงอี่โม่ตอบอย่างไม่ใส่ใจทว่าเซินสือเย่กลับอยากเล่าเื่ราวให้นางฟังอย่างตั้งใจ
“ท่านแม่ข้าก็เป็ผู้หญิงที่แปลกประหลาดเช่นกัน”
ไม่รู้เป็เพราะเหตุใดเขาจึงใช้คำว่า ''เช่นกัน'' ขณะที่เซินสือเย่กล่าวนั้น เขาดูเหมือนกำลังย้อนคิดถึงท่าทางของสตรีนางนั้นภาพปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาของเขา
“นางเป็บุตรสาวคนโตจากภรรยาเอกของเจิ้นกั๋วโหวเดิมทีนางควรเป็แบบอย่างด้านคุณธรรมอันดีงาม ทว่านางกลับไม่ใส่ใจทำตัวอวดดีตามใจปรารถนา นิสัยดุจเปลวเพลิง เนื่องจากนางมีความพิเศษเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีผู้คนไม่น้อยต่างขอแต่งงานกับนาง”
“ท่านพ่อของข้าก็เป็หนึ่งในนั้นเช่นกันทว่าเขาโชคดีมากเพราะเขาได้รับความสนใจจากนาง เขาจึงกลายเป็สามีของนาง”
กงอี่โม่กำลังตั้งใจฟัง สมองอันมึนงงของนางพลันปรากฏภาพเ้าสาวในชุดสีแดงทั้งรอยยิ้มและการขมวดคิ้วก็เป็ประกายโชติ่ดุจไข่มุก
เดิมทีเซินสือเย่รู้สึกเศร้าสร้อย เมื่อกล่าวถึงจุดนี้แล้วความรู้สึกของเขาจึงค่อยๆ กลายเป็ความทุกข์ใจ
“แต่ใครจะรู้? ท่านพ่อกลับไม่ได้สนใจนางเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาขอแต่งงานกับท่านแม่ของข้าก็เพื่อน้องสาวที่เป็หม้ายของท่านแม่หรือก็คือน้าของข้า เนื่องจากท่านย่าของข้าไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับน้าเขาจึงคิดถึงแผนการเช่นนี้ออกมา”
“ตอนแรกก็ยังดี เนื่องจากท่านย่าของข้ากล่าวไว้ว่านางจะยอมรับบุตรของมารดาข้าเป็ผู้สืบทอดเท่านั้นดังนั้นเขาจึงยอมฝืนใจสองสามครั้ง ภายหลังเมื่อมารดาของข้าตั้งครรภ์แล้วเขาจึงไร้ความเกรงใจใดๆ” สีหน้าของเซินสือเย่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน