เพียงพริบตาเดียว ซูฉางอันกับพวกก็ออกเดินทางได้ถึงสองวันแล้ว
ดินแดนทางเหนือไม่เหมือนในเมืองหลวง ที่แห่งนี้มีเพียงูเา เส้นทางคดโค้ง มีทางหลวงอยู่เพียงไม่กี่เส้น ดังนั้นแม้พวกเขาจะอยู่ในรถม้า แต่ก็ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็อย่างมาก
บัดนี้ก็เป็เวลาพลบค่ำแล้ว
“ซูเจว๋เย คุณชายกู่ ข้างหน้าก็เป็เมืองเป่ยหลานแล้ว วันนี้พวกเราจะพักที่นั่นก่อน พวกเราเดินทางรอนแรมมานานหลายวัน ลำบากทุกท่านแล้ว” หลิวต้าหงที่กำลังบังคับรถม้ากล่าวกับคนทั้งสองในรถม้า
“ดีเลย!” ซูฉางอันชะโงกหน้าออกมาจากรถม้า หลายวันมานี้ เขาอยู่แต่ในรถม้าไม่ต่างไปจากสตรีชนชั้นสูงที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ซูฉางอันรู้สึกว่าตัวเองแทบจะมีราขึ้นอยู่แล้ว
“เมืองเป่ยหลานงั้นรึ?” กู่หนิงชะโงกหน้าออกมา เขาทอดมองออกไป ทำให้พบว่าเบื้องหน้ามีเมืองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะ ในดินแดนทางเหนือ เมืองเดียวที่จะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ ก็คงจะมีแต่เมืองเป่ยหลานของจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่เท่านั้น
“ท่านองครักษ์หลิว หากจะไปที่ฉางอัน เราเดินทางไปที่เมืองฮวาโหลวใกล้กว่าไม่ใช่รึ? หากจะเดินทางอ้อมเมืองเป่ยหลานไป คาดว่าคงต้องเสียเวลาไปอีกหลายวันเลย” กู่หนิงเป็บุตรชายของไท่โส่วแห่งเมืองฉางเหมิน ย่อมมีความรู้ความสามารถอยู่บ้าง ที่เขาถามออกไปเช่นนั้น หาใช่เพราะไม่ไว้วางใจในตัวหลิวต้าหงแต่อย่างใด หากแต่กังวลว่าจะไปไม่ทันตอนสำนักเปิดการศึกษาต่างหาก
“ฮ่าๆ คุณชายกู่อย่าได้กังวลไปเลย ข้าน้อยเคยเดินทางไปกลับจากเมืองฉางอันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ย่อมรู้ดีแก่ใจ ไม่มีทางทำให้ทุกท่านเสียธุระอย่างแน่นอน” หลิวต้าหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริงแล้ว ที่มาเมืองเป่ยหลานในครั้งนี้ เพราะข้าน้อยมีเื่ส่วนตัวต้องสะสางเล็กน้อย ผู้ว่าจ้างอีกรายของข้าน้อยอยู่ที่นี่ ข้าน้อยต้องส่งคุณชายอีกท่านไปที่เมืองฉางอันเพื่อศึกษาต่อเช่นกัน ดังนั้นจึงเดินทางอ้อมมารับคุณชายท่านนี้ก่อน แล้วค่อยเดินทางไปที่เมืองฉางอันต่อ”
“อ้อ” กู่หนิงพยักหน้า หลิวต้าหงรับจ้างเป็องครักษ์มานาน ย่อมไว้วางใจได้อยู่แล้ว หากเขา้าจะมารับคนจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องเป็ห่วง แค่ต้องเดินทางเพิ่มอีกไม่กี่วันเท่านั้น แค่ไปถึงฉางอันได้ทันเวลา ไม่เสียการเสียงานก็พอแล้ว
“รับใครกัน?” ซูฉางอันยิ่งไม่สนใจเื่พวกนี้เข้าไปใหญ่ เขาเพียง้าให้องครักษ์หลิวสอนวิชาดาบแก่ตนเท่านั้น แต่หลายวันมานี้ พวกเขาต้องนอนกลางป่ากลางเขา ทำให้องครักษ์ทั้งหลายต้องผลัดกันเฝ้ายามในตอนกลางคืน ดังนั้นองครักษ์หลิวจึงไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อเข้าไปในเมือง คาดว่าหลิวต้าหงก็คงจะไม่ปฏิเสธเขาอีกแล้ว
“รู้สึกว่าเป็คุณชายของกู่จิ้นอ๋องน่ะขอรับ จะว่าไปแล้ว คุณชายท่านนั้นก็นับเป็ญาติห่างๆ กับคุณชายกู่เหมือนกันสินะ!” หลิวต้าหงตอบ
กู่เซียงถิงแห่งเมืองฉางเหมินเป็เครือที่แยกออกมาจากจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ หากจะบอกว่าเป็ญาติกับกู่หนิงก็คงจะไม่ผิด
“จิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่งั้นรึ?” กู่หนิงขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ค่อยชอบพวกคนในตระกูลกู่จิ้นอ๋องอยู่แล้ว ในตอนเด็ก ท่านอ๋องแห่งตระกูลกู่มักจะเชิญพวกเครือญาติเช่นพวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดอยู่เป็ประจำทุกปี แต่คนในบ้านนั้นมักจะดูถูกพวกญาติห่างๆ อย่างพวกเขามาโดยตลอด แม้บิดาของเขาจะเป็ถึงไท่โส่วแห่งเมืองฉางเหมิน แต่เมื่อนำไปเทียบกับคนในบ้านนั้นแล้ว ตำแหน่งของบิดาก็ต่ำต้อยสิ้นดี เหตุนี้ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือน อย่าว่าแต่พวกคุณหนูคุณชายในบ้านเลย แม้แต่พวกคนรับใช้ก็ยังไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ
แม้กู่หนิงจะเป็นักวิชาการ รู้เื่ความกตัญญู จงรักภักดี มารยาท และความถ่อมตนเป็อย่างดี แต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็เพียงเด็กอายุสิบหกเท่านั้น จึงอดรู้สึกแค้นเคืองคนในบ้านนั้นไม่ได้เสียที
“อืม คุณชายแห่งตระกูลกู่มีตำแหน่งสูงส่ง เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าคงต้องรบกวนให้เขานั่งร่วมกับทั้งสองท่านด้วย” หลิวต้าหงที่กำลังบังคับรถม้าไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกู่หนิง จึงกล่าวต่อไป
ในรถม้าทั้งสี่คัน คันหนึ่งเป็รถสำหรับให้องครักษ์ทั้งหลายได้พักผ่อน ในนั้นมีผู้ชายร่างใหญ่นั่งเบียดกันมากถึงสาม-สี่คน ย่อมรับคนเพิ่มอีกไม่ได้ ทางด้านรถม้าของจี้เต้ากับลิ่นหยูเอง แม้พวกเขาจะเป็บุตรของเศรษฐีในเมืองฉางเหมิน แต่หากจะพูดกันตามจริง พวกเขาก็เป็เพียงบุตรของทหารต่ำต้อยในกรมทหารเท่านั้น ทางด้านซูโม่ก็มีกายเป็หญิง แม้แผ่นดินต้าเว่ยจะเปิดกว้าง แต่หากชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในรถม้าคงถูกคนอื่นนินทาเป็แน่ จึงไม่พึงควรด้วยเช่นกัน มีเพียงซูฉางอันกับกู่หนิงเท่านั้น คนหนึ่งเป็เจว๋เยแห่งแผ่นดินต้าเว่ย อีกคนก็เป็เครือญาติกับจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ แม้จะเทียบกับจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าทำให้คุณชายตระกูลกู่ท่านนั้นเสียเกียรติเช่นกัน
กู่หนิงขมวดคิ้วมุ่นเป็ปม หากต้องอยู่ในรถม้าคันเดียวกับคุณชายของตระกูลกู่ตลอดทั้งวันแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ย่อมไม่น่าอภิรมย์เป็แน่แท้
“สหายกู่ เ้าเป็อะไรไปรึ?” ซูฉางอันสังเกตเห็นความผิดปกติของกู่หนิง พวกเขาอยู่ร่วมกันมาหลายวัน แม้ซูฉางอันยังคงมองว่ากู่หนิงเป็ศัตรูหัวใจ แต่นิสัยใจคอของกู่หนิงก็ยังเอาชนะใจเขาจนได้ อีกอย่าง เพราะทั้งสองมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงเผลอสนิทกันได้โดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีอะไร” กู่หนิงฝืนยิ้ม แล้วถอยกลับไปนั่งในรถม้าดังเดิม
“คนในจวนจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ไม่น่าคบหาด้วยใช่หรือไม่?” ซูฉางอันพูดกระซิบ
“อืม” กู่หนิงพยักหน้า เขาคิดลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อไปในที่สุด “อย่างไรเสีย จิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ก็เป็อ๋องของแผ่นดินต้าเว่ย ย่อมมีความผยองจองหองไม่มากก็น้อย ก็ไม่ใช่ว่าไม่น่าคบหาด้วยหรอกนะ เพียงแต่... เออ... แค่ทัศนคติต่างกันน่ะ พวกเขากับคนสามัญชนอย่างพวกเรา ไม่ค่อยมีเื่ที่พอจะคุยกันได้สักเท่าไหร่ หากอยู่ร่วมกัน เกรงว่าคงอึดอัดน่าดู”
สุดท้ายแล้ว กู่หนิงที่มีนิสัยเป็สุภาพบุรุษก็ไม่ยอมนินทาคนในบ้านของหัวหน้าตระกูลไปในทางไม่ดี เขาเพียงอธิบายบอกเล่าเื่ราวอย่างอ้อมค้อมและระมัดระวังเท่านั้น
ซูฉางอันไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจทันทีที่ได้ฟัง จึงกล่าวขึ้น “นั่นก็แปลว่าจิ้นอ๋องแห่งตระกูลกู่ดูถูกผู้อื่นน่ะสิ”
“อืม” กู่หนิงพยักหน้าแทนการตอบ ความโกรธเคืองที่มีต่อคนของตระกูลกู่ ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำพูดของซูฉางอันได้
“ก็ไม่เห็นจะเป็อะไรนี่ เขาดูถูกพวกเรา เราก็ดูถูกเขากลับสิ” ซูฉางอันโอบไหล่กู่หนิงอย่างสนิทสนม “พวกเราคุยกันเอง หากเขาสนใจจะฟังก็ฟังไป แต่หากไม่อยากฟังก็ให้เขาลงไปจากรถเสีย หรือเขาเพียงคนเดียว คิดจะให้พวกเราสองคนไปคอยรับใช้หรือเยี่ยงไร?” ซูฉางอันมีความคิดเรียบง่าย กู่หนิงเป็ศัตรูหัวใจของเขาก็จริง แต่นั่นเป็เื่ของคนภายในเมืองฉางเหมิน คุณชายตระกูลกู่ที่กำลังจะมาใหม่เป็คนนอก จะปล่อยให้เื่ภายในแพร่งพรายไปสู่คนภายนอกไม่ได้ ดังนั้นในครั้งนี้ เขาจึงเลือกที่จะอยู่ข้างกู่หนิงอย่างไม่ลังเล
เมื่อได้ยินดังนั้น กู่หนิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาพยักหน้าแล้วพูดตอบ “สหายซูพูดถูกต้องแล้ว ข้าคิดมากเกินไป ช่างน่าละอายเสียจริง”
“ทุกท่านขอรับ ถึงเมืองเป่ยหลานแล้ว!” ระหว่างบทสนทนา พวกเขาก็มาถึงที่เมืองเป่ยหลานแล้ว หลิวต้าหงจึงะโบอกทุกคน
พวกเขาลงจากรถม้า แล้วเตรียมตัวสำหรับการตรวจคนเข้าเมือง
เมืองเป่ยหลานเป็เมืองสำคัญของแผ่นดินต้าเว่ยในดินแดนทางเหนือ ซึ่งมักจะมีเผ่าปีศาจพยายามแฝงตัวเข้าไปในเมืองเพื่อสืบความเป็ไปของเผ่ามนุษย์อยู่เป็ประจำ ดังนั้นการตรวจสอบเช่นนี้จึงถือเป็เื่พบได้ทั่วไป ในยามปกติ พวกเราเพียงตรวจดูป้ายชื่อ และสอบถามที่อยู่เท่านั้น ทว่าวันนี้การตรวจสอบกลับเข้มงวดผิดปกติไปมาก ซูฉางอันเขย่งเท้าชะเง้อมองอยู่นาน ทั้งค้นตัว ตรวจป้ายชื่อ แม้แต่มาจากที่ไหน กำลังจะไปที่ใด และมาที่เมืองเป่ยหลานเพื่ออะไร จะไปเมื่อไหร่ก็ไม่เว้น นอกจากต้องตอบอย่างละเอียดแล้ว ยังต้องลงชื่ออีก
ซูฉางอันไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่เขาก็รู้ว่าเื่เช่นนี้ไม่ปกติ จึงกล่าวถามเสียงเบาหวิว
“พี่หลิว นี่มันเื่อะไรกัน? ในยามปกติ เมืองเป่ยหลานก็ตรวจสอบละเอียดเช่นนี้อยู่แล้วหรือ?”
“เปล่า!” คนที่ตอบคำถามเป็กู่หนิง เขามาที่เมืองเป่ยหลานทุกปี ปีละหนึ่งถึงสองครั้งเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคนในตระกูลกู่ แต่ขนาดวันเกิดปีที่แปดสิบของท่านอ๋องแห่งตระกูลกู่ ก็ยังไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดเช่นนี้เลย “เกรงว่าคงจะเกิดเื่บางอย่างขึ้นกระมัง”
“ดูเหมือนเผ่าปีศาจที่แผ่นดินทางเหนือจะก่อความวุ่นวายอีกแล้ว น่าจะทำเพื่อป้องกันเผ่าปีศาจเสียกระมัง”หลิวต้าหงพูดต่อประโยคกู่หนิง
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูฉางอันก็คิดถึงเื่ที่บิดาถูกส่งไปที่ด่านคุ่นหลงอย่างเร่งด่วน พลางก็อดเป็ห่วงไม่ได้
เพียงไม่นาน ก็ถึงคราวของซูฉางอันกับพวกแล้ว
หลิวต้าหงท่องยุทธภพมานาน เขายัดเงินประมาณสิบอีแปะเข้าไปในมือของทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมือง ทหารเ่าั้จึงไม่ได้สร้างความลำบากให้กับพวกเขา หลังตรวจเสร็จก็ปล่อยพวกเขาเข้าเมืองทันที
สมแล้วที่เมืองเป่ยหลานเป็เมืองสำคัญของแผ่นดินต้าเว่ย สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย บ้านเรือนเรียงราย ผู้คนเดินสัญจรขวักไขว่ เล่นเอาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเคยมาที่เมืองเป่ยหลานเป็ครั้งแรกตะลึงตาค้างไปตามๆ กันเลยทีเดียว
“เกรงว่าแม้แต่เมืองฉางอันก็คงไม่ดีไปกว่านี้แล้วเป็แน่” จี้เต้าที่เดินรั้งท้ายขบวนกล่าวชื่นชม
“บ้านนอกจริงๆ เมืองฉางอันยิ่งใหญ่และงดงามกว่าที่นี่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า” ซูฉางอันหาโอกาสพูดกัดแทะจี้เต้า เป็การแก้แค้นที่ตนเคยถูกรังแกในสำนัก
จี้เต้าอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ เล่นเอาเขาพูดไม่ออกไปเลย แต่เพราะตำแหน่งของซูฉางอัน เขาจึงได้เพียงมองมาด้วยความแค้นเคืองเท่านั้น ไม่กล้าลงไม้ลงมือเหมือนแต่ก่อน
“พี่กู่ ดูกำไลข้อมือนั่นสิ สวยจริงๆ”
“โม่โม่ชอบรึ? งั้นเราไปดูกันเถิด”
ขณะคนทั้งสองกำลังเถียงกัน เสียงของซูโม่กับกู่หนิงก็ดังมาจากข้างๆ เมื่อซูฉางอันหันไปมองก็พบว่าซูโม่จูงมือกู่หนิงออกไปด้วยความสนิทสนมเสียแล้ว พวกเขาเดินไปหยุดอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างทาง กำลังเลือกเครื่องประดับที่แสนประณีตบนนั้นอย่างสนุกสนาน กู่หนิงพูดบางอย่าง ทำให้ซูโม่ส่งเสียงหัวเราะที่ไพเราะราวกับกระดิ่งแก้วออกมาไม่หยุด
เมื่อเห็นดังนั้น ซูฉางอันก็ตัวแข็งไปในทันที ความได้ใจที่ทำให้จี้เต้าโกรธเคืองเมื่อครู่ก็พากันสลายหายไปหมด
“ริอยากเด็ดดอกฟ้า ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย” จี้เต้าก้าวเข้ามาข้างหน้า แล้วพูดด้วยสายตากลั่นแกล้ง
“...” ทีนี้ เป็ซูฉางอันที่รู้สึกพูดอะไรไม่ออก เขามองไปยังจี้เต้าด้วยสายตาโกรธเคืองไม่ต่างกัน แต่เพราะอีกฝ่ายมีร่างกายสูงใหญ่กว่ามาก จึงไม่กล้าลงไม้ลงมือด้วยเช่นกัน
“ปรองดองกันเอาไว้เถิด” ลิ่นหยูที่อยู่ข้างกันเดินเข้ามากล่อมคนทั้งสอง แม้ลิ่นหยูจะศึกษาเื่วิชาการต่อสู้ แต่กลับพูดน้อยบ่นน้อย ตลอดทางที่ผ่านมา เขาพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น และคนที่พูดน้อย เมื่อพูดสิ่งใด คำพูดของเขาก็มักจะมีน้ำหนักมากกว่าผู้อื่นเสมอ
ดังนั้น ซูฉางอันและจี้เต้าจึงเห็นแก่หน้าลิ่นหยู เลิกมองกันตาเขม็ง แล้วเดินตามขบวนไปพร้อมกับความโกรธที่ยังคงหลงเหลืออยู่
พวกเขาเดินๆ หยุดๆ จนในที่สุดก็ถึงจุดหมายเสียที
มันเป็จวนที่ใหญ่จนเกือบจะเท่าครึ่งของเมืองฉางเหมินเลยก็ว่าได้ ประตูสูงแปดฉื่อ กว้างสี่ฉื่อ ที่้าสุดมีป้ายที่เขียนว่าจวนจิ้นอ๋องติดอยู่! หน้าประตูมีองครักษ์อยู่แปดคนด้วยกัน พวกเขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ในมือถือดาบยาว ยืนตัวตรงตระหง่าน แลดูสง่างามและน่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง
ระหว่างทาง หลิวต้าหงเคยบอกเอาไว้ว่าเมื่อไปรายงานตัวที่จวนอ๋องแล้ว ทางจวนจะดูแลเื่ที่พักให้ ดังนั้นนอกจากชื่นชมความยิ่งใหญ่และหรูหราของจวน พวกเขาก็ไม่มีข้อสงสัยอื่นๆ อีก
ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว หลิวต้าหงเองก็ไม่กล้าเสียเวลา รีบพากลุ่มคนไปที่จวนอ๋องทันที แต่ในตอนที่เขากำลังจะรายงานตัวกับทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูนั่นเอง พวกเขาก็พบว่ามีผู้าุโท่านหนึ่งยืนอยู่หลังประตูจวน และกำลังหรี่ตามองมาที่พวกเขา
ผู้าุโท่านดังกล่าวอยู่ในชุดคลุมสีเทา เส้นผมขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งร่างกายก็ยังค่อมเล็กน้อย คล้ายจะมีอายุมากแล้ว
“ผู้มาเยือนใช่องครักษ์หลิวจากเมืองฉางเหมินหรือไม่?” ยังไม่ทันที่หลิวต้าหงจะได้กล่าวแนะนำตัว คนชราก็ถามขึ้นเสียก่อน
เสียงของเขาทรงพลังมาก ไม่เหมือนเสียงของคนแก่เลยสักนิด
“เป็ยอดฝีมือสินะ!” ซูฉางอันกระซิบบอกกับคนอื่นๆ ด้วยท่าทางจริงจัง
“เอ๋? เ้ารู้ได้อย่างไรรึ?” กู่หนิงรับรู้ได้ว่าซูฉางอันไม่ได้พูดล้อเล่น แต่คนชราผู้นี้เป็พ่อบ้านของจวนอ๋อง ซึ่งเขาเองก็เคยเจออยู่หลายหน แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดน่าแปลกเลยแม้แต่น้อย กู่หนิงจึงรู้สึกสนใจในสิ่งที่ซูฉางอันพูดเป็อย่างมาก
“ในหนังสือบอกเอาไว้ว่าพ่อบ้านของตระกูลใหญ่นั้น หากไม่ใช่คนที่มีความรู้มาก ก็ต้องเป็ยอดฝีมืออย่างแน่นอน” ซูฉางอันตอบ
“มีหนังสือเช่นนั้นด้วยรึ? หากมีเวลาว่าง สหายซูช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“ได้อยู่แล้ว” ซูฉางอันชอบที่จะแบ่งปันหนังสือของตนกับคนอื่นๆ อยู่แล้ว