ในเมืองฉางเหมิน เวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปนานถึงสามวันแล้ว
หลายวันมานี้ ซูฉางอันได้ใช้ชีวิตอย่างตามใจและสุขสบายเป็อย่างมาก เขามีศักดิ์เป็ถึงเจว๋[1] หากจะว่ากันตามตำแหน่งและฐานะแล้ว ในเมืองฉางเหมินแห่งนี้ แม้แต่กู่เซียงถิงก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้เลย ไม่มีใครเรียกเขาว่าคุณชายซู และไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าคุณชายสุนัขอีกแล้ว แม้แต่จี้เต้า เมื่อพบเจอกับเขาก็ยังต้องเรียกเขาว่าซูเจว๋เยอย่างว่านอนสอนง่าย เื่แกล้งเขาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ขนาดแค่จะมอง จี้เต้าก็ยังไม่กล้าเลย
เขาชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก แต่อีกใจก็รู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย
ที่ชอบเพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ใครๆ ก็ต้องมองเขาทั้งนั้น ราวกับว่าในที่สุด เขาก็ได้เป็จุดศูนย์กลางของโลกทั้งใบเสียที แต่เขาก็รู้ดีว่าความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพราะแม้พวกเขาจะมองมาที่เขา แต่พวกเขาก็มองมาจากที่ไกลๆ เท่านั้น โลกทั้งใบยังคงอยู่ห่างจากเขาดังเดิม สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปก็คือ ก่อนหน้านี้เขาได้เพียงแหงนมองโลกทั้งใบอย่างคนต่ำต้อย แต่ในปัจจุบัน เขาได้ก้มมองโลกทั้งใบราวผู้อยู่เหนือกว่าเท่านั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป นั่นก็คือการที่เขายังคงอยู่เพียงลำพังนั่นเอง
วันนี้เป็วันออกเดินทางไปเมืองฉางอันของพวกเขา ซูฉางอันตื่นั้แ่เช้าตรู่พร้อมกับบ้านที่ว่างเปล่า เพราะกองทัพมีเื่ด่วน ซูไท่จึงต้องไปประจำการอยู่ที่ด่านคุ่นหลง ซึ่งเป็ด่านหน้าที่อยู่ติดกับดินแดนทางเหนือั้แ่เมื่อวานแล้ว เพราะตอนนี้ซูไท่เป็ถึงเชียนฮู่ จึงจำเป็ต้องแสดงตัวในสถานการณ์ และงานต่างๆ ของกองทัพมากกว่าแต่ก่อน แม้จะไม่มีอำนาจในการออกสิทธิ์ออกเสียง แต่เขาก็จำเป็ต้องไปนั่งฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ตอนออกเดินทาง สีหน้าของซูไท่ไม่น่าดูเลยสักนิด ซูฉางอันเคยถามเขา แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับมา ซูฉางอันเลยเลิกถามไปในที่สุด
ซูฉางอันไม่ค่อยชอบงานของซูไท่สักเท่าไหร่ เขางานยุ่งเกินไป... ั้แ่องค์มหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็สร้างผลงานมาโดยตลอด มหาจักรพรรดิเป็ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีพร้อมทั้งความสามารถและพร์ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะมีมนุษย์บรรลุการเป็นักรบแห่งดาราจักรมากมายระหว่างการครองราชย์ของพระองค์ องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงเทียมฟ้าภายในเมืองฉางอันจึงวางแผนาขึ้นมากมาย ทั้งโจมตีเผ่าปีศาจในดินแดนทางเหนือ ทั้งขยายอาณาเขตไปยังดินแดนของเผ่าหมานในทิศตะวันตก แต่เพราะสิบปีที่ผ่านมานักรบแห่งดาราจักรตายไปเป็จำนวนมาก บ้างก็ตายเพราะแก่ชรา ตายเพราะา หรือไม่ก็ตายเพราะเหตุไม่คาดฝันเฉกเช่นเหยากวง จนบัดนี้เผ่ามนุษย์เหลือนักรบแห่งดาราจักรเพียงเจ็ดคนเท่านั้น เหตุนี้ มหาจักรพรรดิจึงเพลาเื่การขยายดินแดนลงไปโข บิดาของซูฉางอันเองก็เช่นกัน เมื่อมหาจักรพรรดิ้าจะขยายดินแดนเขาก็ต้องไปเสียเืเสียเนื้อในา หากมหาจักรพรรดิ้าจะยุติาและหันมาพัฒนาประเทศ ซูไท่ก็ต้องไปประจำอยู่ที่ชายแดนเพื่อปกป้องบ้านเมืองต่อไป
ดังนั้น ั้แ่จำความได้ ซูฉางอันก็ได้อยู่กับบิดาเพียงน้อยครั้งเท่านั้น
เหตุนี้ ซูฉางอันจึงรู้สึกไม่ค่อยชอบมหาจักรพรรดิสักเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ว่าพูดสิ่งที่คิดออกมาไม่ได้ เพราะคนส่วนมากต่างก็ชื่นชอบมหาจักรพรรดิคนนี้เป็อย่างมาก แม้พระองค์จะรบเพื่อขยายอาณาเขตของประเทศชาติออกไป แต่บ้านเมืองก็ไม่เคยขาดทหาร หรือไร้นักรบเลยสักครา แม้เขาจะจองหองทั้งยังละโมบโลภมาก แต่ก็เก็บภาษีเพียงเล็กน้อย ทั้งบ้านเมืองก็ยังสงบสุข ไร้โจรขโมย แม้จะชิงบ้านเมืองมาจากฮั่นแล้วสร้างแผ่นดินต้าเว่ยขึ้น แต่เขาก็ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องทุกประการ
ใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็จักรพรรดิที่มีความสามารถ ซึ่งพันปีจะมีหน หากไม่ใช่เพราะบิดาต้องออกไปทำาข้างนอกอยู่เป็ประจำ ซูฉางอันก็คงชอบมหาจักรพรรดิไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรซูฉางอันก็รู้สึกไม่ชอบเขาอยู่ดี
ซูฉางอันกินซาลาเปาที่ซื้อมาจากร้านของน้าหวังจนหมด จากนั้นก็เลียน้ำมันที่ติดอยู่ตามฝ่ามือจนสะอาด แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าดาบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงภายในบ้าน เขาจุดธูปสามดอกแล้วกราบไหว้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็มองดูเปลวเพลิงบนนั้นแผดเผาธูปยาวั้แ่บนจนถึงเบื้องล่างด้วยสติเลื่อนลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จนเมื่อธูปถูกเผาจนหมดดอก เขาคว้าเอาดาบใหญ่แบกขึ้นไว้บนแผ่นหลัง จากนั้นก็ปิดประตูบ้าน โดยไม่ลืมที่จะตรวจสอบว่าลงกลอนประตูเอาไว้แ่าพอ เขาย่อมไม่อยากให้บิดากลับมาแล้วพบว่าโจรขโมยของในบ้านออกไปจนหมดเป็แน่
จากนั้นเขาหมุนตัวมุ่งหน้า เดินย่ำพื้นน้ำหิมะออกไปจากเมืองฉางเหมินในที่สุด ท่าทางของเขา ช่างดูคล้ายคลึงกับมั่วทิงอวี่ตอนจากเมืองฉางอันมากเสียเหลือเกิน
หน้าประตูเมือง กู่หนิงกำลังรอใครบางคน ซูโม่ ลิ่นหยู และจี้เต้าที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันเองก็เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีชายวัยกลางคนหลายคนยืนจูงรถม้าหลายคันอยู่ท่ามกลางหิมะยืนด้วย
“สหายซู เ้ามาแล้วหรือ?” กู่หนิงเดินเข้ามาหา เขาอยู่ในชุดคลุมนักวิชาการสีอ่อน เส้นผมถูกรวบแล้วปักด้วยหยกสีขาว ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แลดูสุภาพเรียบร้อยเช่นเดียวกับบิดาไม่มีผิด
“กู่... สหายกู่รอนานแล้ว” ซูฉางอันยังไม่ค่อยชินกับการเรียกขานเช่นนี้สักเท่าไรนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว การจะเรียกขานด้วยชื่อเฉกเช่นแต่ก่อนจึงนับเป็เื่เสียมารยาท เขาพยายามสั่งให้ตัวเองมองตรง อย่าลอกแลก แต่สายตาก็มักเผลอลอบมองไปยังซูโม่ที่อยู่ข้างๆ อย่างลืมตัวเสมอ เธออยู่ในชุดสีอ่อน รวบผมหางม้าเอาไว้ทั้งสองข้าง ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของซูฉางอัน เธอจึงยิ้มกลับมาให้ เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่แสนน่ารักภายใน
ซูฉางอันรู้สึกราวหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาเต้นที่ข้างนอกอยู่แล้ว เขากระแอมไอเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง พลางหมุนตัวกลับไปทักทายคนอื่นๆ “ข้าทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
คนอื่นๆ ทำความเคารพให้เป็การทักทาย ตอนนี้ซูฉางอันเป็ถึงเจว๋ พวกเขาจึงไม่กล้าเสียมารยาทด้วย
“สหายซูพูดเกินไปแล้ว พวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน มาเถอะ ข้าจะแนะนำให้รู้จัก ท่านผู้นี้เป็หัวหน้าองครักษ์หลิว” กู่หนิงชี้ไปที่ชายวัยกลางซึ่งกำลังเดินเข้ามาทางนี้พลางกล่าว
ชายวัยกลางคนนี้มีร่างกายกำยำใหญ่โต ใบหน้าเหลี่ยมและกว้าง ริมฝีปากหนา ที่มือถือดาบยาวมาด้วย ใบหน้าของเขามีร่องรอยแห่งความยากลำบากปรากฎให้เห็นอยู่มากจนปิดไม่อยู่ เพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าต้องผ่าน่ชีวิตที่แสนลำเค็ญมาไม่น้อยอย่างแน่นอน และซูฉางอันก็พอจะรู้จักชายคนนี้มาบ้างแล้ว
ชายคนนี้มีนามว่าหลิวต้าหง ถือว่าเขาโด่งดังพอสมควรในเมืองฉางเหมินเลยก็ว่าได้ เขาเป็หัวหน้าองครักษ์ กลุ่มของเขามีสมาชิกอยู่ราวเจ็ดถึงแปดคนเห็นจะได้ พวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างเมืองฉางเหมินและฉางอันทุกปี เมื่อมีผู้ว่าจ้างให้คุ้มกันพวกเขาก็จะทำหน้าที่เป็องครักษ์ แต่หากไม่มีงานองครักษ์เข้ามา พวกเขาก็จะขนสินค้าไปขายที่เมืองฉางอันแทน
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เื่ที่น่าประหลาดอะไร ในดินแดนต้าเว่ยมีกลุ่มองครักษ์รับจ้างเช่นนี้อยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน แต่เพราะเมืองฉางเหมินและฉางอันมีเขาโยวหยุนคั่นอยู่ ว่ากันว่าที่นั่นมีปีศาจร้ายคอยสร้างความวุ่นวายอยู่ไม่ขาด อย่าว่าแต่สามัญชนทั่วไปเลย แม้แต่พวกขุนนางของราชสำนักก็ยังต้องมีอาวุธวิเศษไว้คุ้มกายเลย จึงจะข้ามผ่านเขาโยวหยุนไปได้ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมาเช่นกัน ทว่าหลิวต้าหงกับพวกกลับสามารถเข้าออกเขาโยวหยุนได้เป็ว่าเล่น ในทุกๆ ปี พวกเขาจะรับจ้างอารักขาคนจากเมืองฉางเหมินไปที่ฉางอัน จากนั้นก็ออกเดินทางจากเมืองฉางอันมาที่เมืองฉางเหมินได้อย่างง่ายดายทุกที ทำให้ได้รับค่าจ้างที่น่าอิจฉาเหลือเกิน
ลือกันว่าหลิวต้าหงรู้ภาษาโบราณ สามารถสื่อสารกับปีศาจทั้งหลายได้ ในทุกๆ ปี เขาจะนำเครื่องบรรณาการไปถวายให้เป็ประจำ แบบนั้น เขาจึงสามารถเข้าออกเขาโยวหยุนได้อย่างตามใจ และหลิวต้าหงก็ไม่ได้ออกมาพูด หรืออธิบายใดๆ เกี่ยวกับเื่นี้เลยแม้แต่คำเดียว
ก่อนจะได้พบกับมั่วทิงอวี่ ซูฉางอันคิดเสมอว่าหลิวต้าหงเป็คนที่ละม้ายคล้ายกับนักดาบในหนังสือที่เขาอ่านมากที่สุดในเมืองฉางเหมินแล้ว เขาจึงรู้สึกเลื่อมใสและยกย่องต่อหลิวต้าหง อยากไปฝึกวิชากับเขา
ทว่าเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเอง เขากลับมองว่าหลิวต้าหงช่างธรรมดาเหลือเกิน ไม่ได้แตกต่างกับชายวัยกลางทั่วไปเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเขาจะเก่งไม่เท่าบิดาตนเลยด้วยซ้ำ
ซูฉางอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นดาบในมือหลิวต้าหง เขาก็ตาเป็ประกายอีกครั้ง
“เ้าใช้ดาบเป็งั้นรึ?” ซูฉางอันถามขึ้น
หลิวต้าหงชะงักนิ่งไป เขากำลังจะทำความเคารพต่อซูฉางอัน แต่กลับถูกซูฉางอันถามคำถามอย่างกะทันหันเสียก่อน จึงได้แต่กลืนคำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยกลับเข้าไปอีกครั้ง
“ขอรับ ข้าน้อยออกเดินทางอยู่เป็ประจำ จึงฝึกกระบวนดาบเอาไว้ป้องกันตัว” พูดไปพลาง เขาก็ชำเลืองมองไปที่ดาบที่มีขนาดไม่น้อยไปกว่าดาบของตน ซึ่งถูกซูฉางอันแบกเอาไว้ด้านหลังแวบหนึ่ง ดาบนั้นถูกซ่อนเอาไว้ในฝัก ทำให้เขามองไม่เห็นตัวดาบ เพียงแต่ฝักดาบนั้นแลดูเก่าและทรุดโทรมเป็อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคราบน้ำมันเปื้อนอยู่อีก หลิวต้าหงเองก็ฝึกดาบมานานหลายปี นอกจากขนาดที่ใหญ่โตของมันแล้ว เขาก็ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าดาบนั่นพิเศษตรงไหน จึงนึกสงสัยขึ้นในใจ จะว่าไปแล้ว ซูฉางอันก็มีตำแหน่งเป็ถึงเจว๋ นับเป็บุคคลที่ยิ่งใหญ่ไม่เบา ทำไมถึงพกดาบที่ผุผังเช่นนี้ได้?
“ข้าน้อยสังเกตเห็นว่าท่านเจว๋เองก็พกดาบอยู่ คาดว่าน่าจะรู้กระบวนดาบอย่างแน่นอน กระบวนดาบของข้าน้อยคงจะเทียบชั้นกับท่านเจว๋มิได้เป็แน่” แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ซูฉางอันก็มีตำแหน่งเป็ถึงบุคคลชั้นสูง หลิวต้าหงอยู่ในยุทธภพมานาน ย่อมรู้จักการเอาตัวรอดอยู่แล้ว
“ข้าใช้ดาบไม่เป็หรอก ดังนั้น จึงอยากขอให้เ้าช่วยสอนน่ะ” ซูฉางอันกล่าวตามความจริง ในตอนนั้น มั่วทิงอวี่บอกว่าจะสอนกระบวนดาบเขาก็จริง แต่เขาก็แสดงมันเพียงครั้งเดียว แล้วให้ซูฉางอันจดจำเอาเอง ซึ่งเขาเองก็จดจำมันได้แล้ว ตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาฝึกกระบวนดาบนั้นมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เป็เสียที
เขาคิดว่าตนเองก็นับว่าฉลาดอยู่ ทั้งยังขยันหมั่นเพียรอีก ดังนั้น บางทีอาจเป็เพราะการฝึกกระบวนดาบเป็เื่ที่ยากจนเกินไป ดังนั้น กระทั่งกระบวนดาบที่ง่ายขนาดนั้น แต่เขาก็ยังไม่เป็เสียที
“ไม่สมควรจะเป็เช่นนั้นเลยนี่? อัจฉริยะยอดนักดาบเป็อาจารย์ท่านมิใช่รึ?” หลิวต้าหงกล่าวถาม เขาเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองฉางอันและฉางเหมินอยู่หลายปี ย่อมรู้ข่าวสารข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว เื่ของมั่วทิงอวี่ เขาจำจนขึ้นใจมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว... ถูกยกย่องว่าเป็ยอดอัจฉริยะที่เก่งกาจมากที่สุดในรอบสิบปีของเผ่ามนุษย์ ในตอนนั้น แม้จะมีพลังอยู่เพียงระดับไท่ยี แต่กลับมีกระบวนดาบเก่งกาจเหนือใครในใต้หล้า สองปีต่อมา เขาสังหารนักรบแห่งดาราจักรด้วยพลังเพียงระดับไท่ยีเท่านั้น คนในใต้หล้าจึงเรียกเขาว่าอัจฉริยะยอดนักดาบมั่วทิงอวี่ แล้วซูฉางอันที่เป็ศิษย์ของเขาจะใช้ดาบไม่เป็ได้อย่างไรกัน?
“เขาเคยสอนข้าจริง” ซูฉางอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย หากตนบอกว่ายังฝึกไม่สำเร็จ เกรงว่าคงต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าซูโม่เป็แน่ เขาคิดอยู่นาน จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้ายังแสดงมันออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น”
“เอ๋?” หลิวต้าหงชะงักนิ่งไป แต่เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจแล้ว ในตอนนั้น มั่วทิงอวี่ที่มีพลังอยู่เพียงระดับไท่ยีสามารถสังหารนักรบแห่งดาราจักรได้ด้วยดาบเดียว แสดงว่ากระบวนดาบของเขาต้องลึกล้ำเป็อย่างมาก และในตอนนี้ ซูฉางอันก็ยังไม่มีแม้แต่พลังในระดับหลอมจิตเลยด้วยซ้ำ ก็ไม่ใช่เื่แปลกที่เขาจะแสดงกระบวนดาบพวกนั้นออกมาไม่ได้ แบบนี้ก็น่าลำบากใจแล้วสิ ซูฉางอันเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่ ส่วนมั่วทิงอวี่ก็เป็ศิษย์ของเหยากวง กระบวนดาบของเขาไม่ใช่อะไรที่ต้องมาหวงหรอก เพียงแต่ หากเขาสอนกระบวนดาบแก่ซูฉางอันจริงๆ เช่นนั้นฐานะของเขาก็จะกลายเป็เื่ลำบากใจเสียแล้ว แม้จะนำไปพูดโอ้อวดในยามดื่มเหล้ากับเพื่อนว่าตนอยู่ในระดับเดียวกับมั่วทิงอวี่ได้ก็จริง นั่นเป็เื่ที่น่าภูมิใจไม่หยอก แต่หากเื่นี้ไปถึงหูของพวกคนที่มีจิตคิดไม่ซื่อล่ะก็ เกรงว่าตนคงต้องเดือดร้อนเป็แน่ แต่ซูฉางอันก็มีตำแหน่งเป็ถึงเจว๋ ซูฉางอันขอให้ตนสอนดาบต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หากตนปฏิเสธ เช่นนั้นก็จะเท่ากับการหักหน้าเขา... เขาคิดอยู่นานจึงจะกล่าวขึ้น
“ท่านเจว๋พูดล้อข้าเล่นแล้ว ข้าไม่กล้าสอนดาบท่านหรอก แต่หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนดาบ พวกเราก็มาหารือแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
“งั้นก็ดีเลย” ซูฉางอันไม่ได้คิดอะไรมากมาย ขอแค่ได้เรียนวิชาดาบ ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น “เช่นนั้นหากว่างเมื่อใด ท่านก็ช่วยสอนข้าด้วย”
“ได้เลย” หลิวต้าหงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มคนพูดคุยกันอยู่อีกพักหนึ่ง จึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วเตรียมออกเดินทางในที่สุด
หลิวต้าหงพาสมาชิกไปทั้งหมดเจ็ดคนด้วยกัน พวกเขามีรถม้าอยู่สี่คัน โดยกู่หนิงกับซูฉางอันนั่งอยู่ด้วยกัน จี้เต้ากับลิ่นหยู และซูโม่นั่งอยู่บนรถม้าอีกคัน ส่วนรถม้าคันสุดท้าย เป็รถม้าที่มีเพื่อให้คนของหลิวต้าหงได้พักผ่อนนั่นเอง ระหว่างทาง พวกเขาอาจต้องพักอยู่ตามป่าเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจำเป็ต้องมีคนเฝ้ายามในตอนกลางคืน รถคันนั้น มีไว้เพื่อให้คนที่เฝ้ายามได้นอนหลับพักผ่อนในตอนที่พวกเขาออกเดินทางในตอนกลางวันนั่นเอง
“ทุกท่าน โปรดนั่งให้ดี พวกเราจะออกเดินทางแล้ว!” หลิวต้าหงะโขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จากนั้นจึงะโบอกกับคนทั้งหลาย เมื่อพูดจบก็เหวี่ยงแส้ลงบนตูดม้าทันที
ม้าตัวนั้นส่งเสียงร้องเพราะความเ็ปจากแส้ แล้วจึงก้าวขาไปข้างหน้าตามคำสั่ง
ซูฉางอันเลิกม่านหน้าต่างบนรถม้าขึ้น แล้วหันกลับไปมองเมืองฉางเหมินเป็ครั้งสุดท้าย
ตอนนี้ก็เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว หิมะพริ้วไหว เมืองฉางเหมินเต็มไปด้วยควันไฟจากครัวเรือน บนถนนมีเงาของศิษย์ที่เพิ่งเลิกเรียนวิ่งไล่กันไปมา
[1] เจว๋เย กับโหวเย เป็ชื่อเรียกของคนชั้นสูงค่ะ ส่วนคำว่า ‘เย’ ที่ต่อด้านหลัง มีความหมายประมาณว่านายท่าน หรือใต้ท้าวอะไรทำนองนั้นค่ะ คนจีนมักจะใช้เรียกต่อท้ายตำแหน่ง หรืออาจต่อท้ายเพื่อเป็การยกย่อง หรือแสดงถึงการให้เกียรติค่ะ