หลังออกจากหอวิชายุทธ์ เสวียนเทียนยังคงมีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้า
ปราณเบิกนภา ศาสตร์เงาพยัคฆ์และเพลงกระบี่ดับเงาล้วนจดจำเก็บไว้ในสมองส่วนลึกของเสวียนเทียนแล้วมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่พอก็คือ เมื่อไม่ได้มองภาพท่าร่างเ่าั้ของเพลงกระบี่ดับเงาภาพนิมิตของความไม่มั่นคง ไม่สนคุณธรรม เดียวดายเข่นฆ่า จิตใจของเสวียนเทียนที่รู้สึกถึงสิ่งเ่าั้ก็เริ่มเลือนรางหายไป
สิ่งนี้ทำให้ในใจของเสวียนเทียนเกิดความเสียดายแต่เวลาที่อยู่ในหอวิชายุทธ์นั้นมีจำกัด เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องออกมาหากอยากเข้าไปอีกครั้งอย่างน้อยก็ต้องรออีกสามเดือนให้หลัง
แต่สติปัญญาของเขาเหนือล้ำกว่าผู้อื่นแม้จากภาพท่าร่างกระบวนท่าของเพลงกระบี่ดับเงาเ่าั้เขาจะยังไม่บรรลุเข้าสู่ภาวะจิตของ ‘ความเร็ว’ โดยแท้จริง แต่ก็เข้าใจ ‘ความเร็ว’ ขึ้นมามากพอแล้ว
เพลงกระบี่ถลาลมเองก็เป็เพลงกระบี่ที่เน้นความรวดเร็ว เฉียบไวเมื่อเสวียนเทียนเข้าใจ ‘ความเร็ว’ มากขึ้นความเข้าใจในตัวเพลงกระบี่ถลาลมก็เพิ่มมากขึ้นไปสู่ระดับใหม่ไปด้วยไม่เพียงก้าวข้ามขีดจำกัดพลิกแพลงได้ตามใจ เขายังรู้สึกราวกับได้หลอมรวมเข้าเป็หนึ่งเดียวกันกับกระบวนท่าของเพลงกระบี่ถลาลม
หลังออกมาจากหอวิชายุทธ์และคืนป้ายอนุญาตให้แก่ผู้าุโผู้รักษาหอแล้วเสวียนเทียนก็ตรงไปยังหมู่เขารอบนอกที่พำนักของศิษย์นอก
ระหว่างทางเสวียนเทียนก็ยังคงคิดย้อนไปถึงความรู้สึกมีอำนาจหนึ่งกระบี่ปลิดชีวิตของเพลงกระบี่ดับเงาไม่ทันรู้ตัวก็เดินผ่านยอดเขามาหลายลูกจนมาถึงกลางหมู่เขารอบนอกแล้ว
ด้านหน้าเป็ลานกว้างของศิษย์นอก เสวียนเทียนเลี้ยวตรงหัวมุมร่างก็พลันชะงัก ทางข้างหน้ามีคนอยู่สิบกว่าคนเรียงแถวหน้ากระดานปิดทางไม่มีช่องว่าง
เสวียนเทียนหรี่ตาลงเขาเข้าสำนักกระบี่์เพราะถูกเสวียนจีส่งคนมาไล่ฆ่าอยู่หลายปีดังนั้นเขาจึงเก็บเนื้อเก็บตัว ระมัดระวังอยู่เสมอ ตลอดมาไม่เคยหลุดร่องรอยอีกทั้งเหล่าศิษย์นอกของสำนักกระบี่์ต่างก็มีคนรู้จักไม่มาก
คนหนึ่งมีพันผ้าพันแผลอยู่ทั่วตัว จมูกเขียวหน้าบวม ร่างโตเหมือนวัวม้าร้องไห้ตีหน้าเศร้า พอมองมาที่เสวียนเทียนใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็โกรธแค้นคนผู้นี้คือจางหู่ที่เสวียนเทียนเพิ่งจะซ้อมยับไปบนลานประลองก่อนที่จะไปที่หอวิชายุทธ์นั่นเอง
ข้างกายจางหู่มีคนหนึ่งเตี้ยกว่าจางหู่สองสามเิเ แต่รูปร่างผอมมากมองไปค่อนข้างผอมดูเก้งก้าง ดวงตาเป็รูปสามเหลี่ยม ทำสีหน้าหดหู่อยู่ตลอดเวลา
คนผู้นี้ชื่อว่าหนิวจื้อเกา บุตรชายของผู้นำตระกูลหนิวแห่งอำเภอเป่ยโม่เสวียนเทียนจึงรู้จักเขา
หนิวจื้อเกาดูแล้วผอมเก้งก้างไปบ้างแต่ความสามารถบรรลุถึงระดับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว เก่งกาจกว่าจางหู่อยู่มากสำนักกระบี่์เป็สำนักขั้นหก มีพื้นที่กว่าพันลี้ เป็หนึ่งไม่เป็สองรองใครอำนาจอิทธิพลกว้างขวาง มีเพียงคนที่เข้าสู้ชั้นเบิกนภาถึงจะได้กลายเป็ศิษย์ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิบขั้นล้วนเป็ศิษย์นอก
ระดับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดพลังภายในในร่างลึกล้ำมากจนสามารถใช้ปราณกระบี่ทำร้ายคนได้ในบรรดาชั้นผู้ฝึกยุทธ์นับว่าเป็ยอดฝีมือ
ดังนั้น ลูกศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดในสำนักกระบี่์ ดูๆไปแล้วก็ได้รับความสำคัญกว่าศิษย์นอกธรรมดาทั่วไปอยู่มาก ได้รับยามากกว่ามีเวลามากกว่า และได้รับการสั่งสอนเื่วิถียุทธ์จากผู้าุโมากกว่า
ในสำนักกระบี่์ศิษย์นอกที่ระดับสูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดล้วนมีความรู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่าผู้อื่นอยู่ขั้นหนึ่งเพื่อแยกตนเองออกมาจากศิษย์นอกธรรมดาทั่วไปจึงเรียกตนเองว่าเป็ชนชั้นสูงของศิษย์นอก
ศิษย์นอกชั้นสูงเหล่านี้มีแววว่าจะเข้าสู่ชั้นเบิกนภาก่อนอายุยี่สิบปีมีความสามารถที่จะกลายเป็ศิษย์ในของสำนัก
ในสายตาของเสวียนเทียน ในสิบกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าศิษย์ชั้นสูงที่มีพลังในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ด รวมหนิวจื้อเกาแล้วมีอยู่ถึงห้าคนแต่ในห้าคนนี้ ความสามารถของหนิวจื้อเกาดูแล้วแข็งแกร่งที่สุดลูกศิษย์เ่าั้ล้วนเอาเขาเป็ศูนย์กลาง
ที่เหลือบ้างก็พลังวัตรอยู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก บ้างก็อยู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า
จางหลงหลังได้รู้ว่าน้องชายถูกเสวียนเทียนซ้อมจนยับ ในใจก็โกรธเป็ที่สุดแต่ว่าเขาเป็ลำดับหนึ่งในสามของศิษย์นอกปีนี้มีหวังว่าจะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันจัดอันดับครั้งใหญ่ เห็นแก่หน้าตาของตนจึงไม่ออกมาลงมือหาเื่เสวียนเทียนด้วยตัวเองแต่ส่งลูกน้องที่ติดตามเขาเหล่านี้มาเก็บเสวียนเทียนแทน
จางหลงปีนี้เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี พลังวัตรลุถึงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบมีแววจะเข้าสู่ชั้นเบิกนภากลายเป็ศิษย์ในศิษย์ในจะได้เรียนวิถีปราณและวิทยายุทธ์ของชั้นนิลความแข็งแกร่งมีกว่าศิษย์นอกมากมายนัก อำนาจก็มีมากกว่าอีกทั้งมีโอกาสได้รู้จักบุคคลที่ศิษย์นอกได้แต่ชะเง้อคอเฝ้าฝันถึง
ดังนั้นเพื่อเข้าใกล้ผู้ที่จะเป็ที่พึ่งในอนาคตข้างหน้าศิษย์นอกไม่น้อยล้วนยินดีติดตามจางหลงคอยรับคำสั่งเขาเื่ที่เสวียนเทียนก้าวเข้าสู่ระดับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกแพร่ไปทั่วราวกับไฟลามทุ่งนานแล้วจากการป่าวประกาศของหวงสือในบรรดาศิษย์นอกเกิดคลื่นระส่ำระส่ายเล็กๆ ลูกหนึ่ง เพื่อเป็หลักประกันจางหลงจึงส่งศิษย์ชั้นสูงที่อยู่ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดมา
ในอำเภอเป่ยโม่ ตระกูลหนิว ตระกูลเฉิงและตระกูลจางสามตระกูลทรัพยากรและการค้าถึงเจ็ดส่วนในอำเภอเป่ยโม่ ทรัพยากรและการค้าอีกสามส่วนส่วนใหญ่ก็พึ่งพิงอยู่กับอำนาจของสามตระกูลทั้งสิ้น
ตระกูลหวงเมื่อตั้งรกรากลงที่อำเภอเป่ยโม่จำต้องพัฒนากิจการของตระกูล้าเงินจำนวนมากมีเพียงต้องพัฒนากิจการของตระกูลให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้นถึงจะซื้อหายาชั้นดีมาคอยรักษาอาการาเ็ที่ได้รับได้
ตระกูลหวงแต่เดิมเป็ตระกูลขั้นห้าในราชวงศ์เสินเตานับว่าเป็ตระกูลที่ใหญ่มโหฬารตระกูลหนึ่งราชวงศ์เสินเตาที่เป็ผู้ครองอำนาจในราชอาณาจักรเสินเตายังเป็เพียงตระกูลขั้นหกที่รุ่งเรืองมากตระกูลหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าหลังจากตระกูลหวงประสบภัยร้าย มีสิบตายเก้าสายเืหลักแม้หลบหนีมายังอำเภอเป่ยโม่ แต่ละคนก็ได้รับาเ็หนักผู้ที่มีพลังวัตรสูงที่สุดก็ถอยกลับลงมาที่ขั้นเบิกนภาขั้นสาม
โดยเฉพาะเสวียนหงต่อสู้หนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเส้นปราณในร่างขาดสะบั้นเพราะแรงฮึดจากความรู้สึกอันแรงกล้าเท่านั้นถึงยื้อทนปกป้องสายเืหลักตระกูลหวงจนหนีเอาชีวิตรอดมาได้หลังรอตระกูลหวงลงหลักปักฐานที่อำเภอเป่ยโม่ได้ แม้ความตึงเครียดหายได้ไปแต่เส้นปราณทั่งร่างแต่ละชั้นๆ ก็ขาดสะบั้นแทบจะกลายเป็คนพิการความสามารถเหลือเทียบเท่ากับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก เทียบไม่ได้แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดที่ปล่อยปราณกระบี่ได้
หาก้ารักษาอาการาเ็จำเป็ต้องใช้ยาชั้นดีหาก้ายาชั้นดีก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ้าเงินก็ต้องพัฒนากิจการของตระกูล
จะพัฒนากิจการของตระกูลย่อมขัดผลประโยชน์โดยตรงกับสามตระกูลที่ครองอำเภอเป่ยโม่อยู่ตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจางไม่อนุญาตให้อำนาจใดในอำเภอเป่ยโม่มาแย่งผลประโยชน์ไปจากพวกเขาได้
ดังนั้นพอตระกูลหวงลงหลักปักฐานในอำเภอเป่ยโม่ก็เกิดความขัดแย้งกับตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจาง ตระกูลหวงจะพัฒนากิจการของตระกูลเท่ากับแย่งผลประโยชน์ของตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจาง กลายเป็ความขัดแย้งที่ไม่อาจคลี่คลายได้
มีแต่ต้องใช้อำนาจของตระกูลหวงเท่านั้นถึงจะเอาชนะตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจาง แล้วควบคุมอำเภอเป่ยโม่ได้มิเช่นนั้นจะถูกกีดกันจากตระกูลหนิว ตระกูลเฉิงและตระกูลจาง
ตระกูลหนิว ตระกูลเฉิงและตระกูลจางล้วนเป็ตระกูลขั้นเก้าหัวหน้าตระกูลล้วนมีพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นสาม เมื่อสามตระกูล คือ ตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจางร่วมมือกัน หากเทียบกับอดีตตระกูลขั้นห้าอย่างตระกูลหวงเห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังอ่อนกำลังกว่า ดังนั้นจึงส่งลูกหลานมายังสำนักมีชื่อต่างๆของอาณาจักรเสินเตา
ตระกูลเสวียนเป็ตระกูลขั้นสอง เป็ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเสินโจวไม่ว่าจะเป็เสวียนหงหรือตระกูลหวงล้วนไม่กล้าถ่ายทอดวิถีปราณวิทายายุทธ์ของตระกูลให้แก่ลูกหลานของตนป้องกันไม่ให้เปิดเผยร่องรอยจนได้ยินไปถึงหูของเสวียนจีและนำไปสู่หายนะของการสิ้นตระกูล ทำได้แค่ให้พวกเขาค่อยๆ เติบใหญ่ในสำนักเท่านั้น
เวลาผ่านมาถึงตอนนี้ ตระกูลหวงปักหลักที่อำเภอเป่ยโม่ได้สามปีกว่าแล้วจากจดหมายที่มาจากเสวียนหงผู้เป็บิดา เสวียนเทียนรู้ว่าตระกูลหวงยืนหยัดมั่งคงในอำเภอเป่ยโม่ได้แล้วกิจการของตระกูลนับวันยิ่งเติบโตขึ้นตอนนี้รับชาวยุทธ์กว่าร้อยชีวิตเข้ามาในตระกูลชาวยุทธ์เ่าั้บางส่วนก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาที่มีความแค้นกับตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจาง
ทว่ายิ่งตระกูลหวงเติบโตขึ้น ความขัดแย้งกับตระกูลหนิวตระกูลเฉิงและตระกูลจางก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่นานมานี้ยิ่งขัดแย้งกันรุนแรงขึ้นจนเหมือนเป็ไฟกับน้ำอยู่ร่วมกันไม่ได้ ดังนั้นพักนี้จางหู่จึงหาเื่เสวียนเทียนกับหวงสืออยู่ไม่เว้นวัน
“ตระกูลประสบทุกข์ยากสาหัส ตอนนี้พวกเรายังทัดทานไหวลูกอยู่ในสำนักกระบี่์ต้องร่ำเรียนให้ดี ตั้งใจฝึกฝนตระกูลหวงอยากยืนหยัดในอำเภอเป่ยโม่ต้องพึ่งความพยายามของคนรุ่นหลังอย่างพวกเ้าแล้วหาก้าแก้แค้น การยืนหยัดขึ้นในอำเภอเป่ยโม่นับเป็เพียงก้าวแรกก้าวเล็กๆเท่านั้น เทียนเอ๋อร์ อย่าทรยศความหวังของบิดาที่มีต่อเ้าล่ะ”
เสวียนเทียนคิดถึงถ้อยคำในจดหมายของเสวียนหงผู้เป็บิดาขึ้นมาในใจของเสวียนเทียนก็บังเกิดความโกรธเคืองต่อจางหู่และหนิวจื้อเกาที่อยู่ตรงหน้าเสวียนเทียนโกรธ จางหู่ยิ่งกว่าโกรธ แค่เห็นเสวียนเทียนก็พลันะโขึ้นมาว่า “หวงเทียนมาแล้ว มัน...มันนี่แหละที่อัดข้าเสียเป็แบบนี้ พี่หนิวพี่ต้องแก้เค้นให้ข้า อัดเ้าเืชั้นเลวคนนอกถิ่นนี่ให้ตายเสีย”
“ศิษย์น้องหวงเทียน ศิษย์พี่ผู้นี้รอเ้าอยู่นานแล้ว” หนิวจื้อเกาพูดออกมาเบาๆแม้ว่าจะไม่แสดงออกว่าโกรธเป็ฟืนเป็ไฟเหมือนกับจางหู่แต่ในน้ำเสียงก็เผยความเ็าออกมา
หนิวจื้อเกาเป็บุตรคนรองของผู้นำตระหูลหนิวเขามีพี่ชายคนหนึ่งชื่อว่าหนิวจื้อเฉียง
ความสามารถของตระกูลหนิวในอำเภอเป่ยโม่นับว่าเป็อันดับหนึ่งเป็เสาหลักให้กับตระกูลเฉิงกับตระกูลจาง ผู้นำตระกูลหนิวเจิ้นซานมีพลังวัตรถึงขีดสุดของชั้นเบิกนภาขั้นสามเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอำเภอเป่ยโม่
หนิวเจิ้นซานตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองว่าหนิวจื้อเฉียงและหนิวจื้อเกาแม้ว่าชื่อจะเชย แต่บุตรชายทั้งสองก็เป็หน้าเป็ตาให้เขาอย่างที่สุด
บุตรคนรองหนิวจื้อเกาปีนี้อายุสิบห้าปี เข้าสำนักก่อนเสวียนเทียนหนึ่งปีเมื่อครึ่งปีก่อนก็บรรลุพลังวัตรชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในบรรดาศิษย์นอก
บุตรคนโตหนิวจื้อเฉียงยิ่งได้ฉายาว่าเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเด็กรุ่นใหม่แห่งอำเภอเป่ยโม่กราบเข้าเป็ศิษย์ของสำนักขั้นหกอีกสำนักหนึ่งของอาณาจักรเสินเตา สำนักหมัดราชันย์ อายุเพิ่งสิบเจ็ดก็เข้าสู่ชั้นเบิกนภา กลายเป็ศิษย์ในของสำนักหมัดราชันย์เล่าลือกันว่าวันหน้าเขาคงประสบความสำเร็จก้าวไกลกว่าบิดา
เสวียนเทียนนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางวงล้อม ไม่พูดไม่จา เจตนาของพวกเขาเสวียนเทียนรู้แจ้งอยู่แก่ใจ ไม่ต้องถามให้มากความ
เห็นเสวียนเทียนไม่พูด หนิวจื้อเการู้สึกราวกับกำหมัดต่อยดอกฝ้ายรู้สึกขัดใจยิ่ง เสียงเขาแผดเสียงดังขึ้น “ศิษย์น้องหวงเทียนตอนที่เ้าอยู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็มีความสามารถที่จะท้าสู้กับศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าได้ยินมาว่าตอนนี้เ้าก้าวถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกศิษย์พี่ถึงอยากจะประลองแพ้ชนะกับเ้าสักสนามดูกันว่าเ้าจะเก่งสมคำเล่าลือหรือไม่ หรือเป็แค่อัจฉริยะจอมปลอมที่มีดีแค่ชื่อเ้าจะประลองกับข้าหรือไม่”
“ศิษย์พี่หนิว ถึงแม้จะเพิ่งเข้าสู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดเพียงครึ่งปีกว่าแต่ก็ล้มคนในขั้นเจ็ดจนไม่มีใครสู้ได้เขาจะเป็คู่ประมือของศิษย์พี่หนิวได้อย่างไร”
“ใช่ ศิษย์พี่หนิวเป็ถึงหัวกะทิของศิษย์นอกอย่างพวกเรา ต่อสู้ข้ามชั้นหรือเป็เื่ตลกชัดๆ ศิษย์พี่หนิวย่อมอัดเ้าฟันร่วงเต็มพื้นได้แน่”
“แค่กระบี่เดียวศิษย์พี่หนิวก็ทำให้เ้าแพ้ได้แล้วเ้าจะสู้อะไรกับศิษย์พี่หนิวได้”
“จะต้องใช้กระบี่หรือแค่นิ้วเดียวของศิษย์พี่หนิวก็บี้มันให้ตายเหมือนมดได้แล้ว”
“ใช่ อัจฉริยะท้าสู้ข้ามชั้นอะไรกัน เทียบกับศิษย์พี่หนิวมันก็เป็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง”