บางทีหลินเฟิงก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าเวลาที่เขาเรียกจิติญญาแห่งความมืดออกมา เขาจะมั่นใจและเยือกเย็นมากขนาดไหน ความรู้สึกที่เหมือนควบคุมทุกอย่างได้ ทำให้หลินเฟิงสามารถสงบนิ่ง แม้แต่ในยามที่ลูกศรกำลังพุ่งทะยานมาที่หัวของเขา
ความสงบนิ่งแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้
หลินเฟิงก้าวเท้าไปข้างหน้าและใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวดั่งเงา ทันใดนั้นหลินเฟิงก็พุ่งมาที่ตรงหน้าของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถยิงธนูออกมาได้
ดาบในมือของหลินเฟิงตวัดฟันออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่คิดจะหลบหนีต้องเบิกตาโตด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นคลื่นดาบฟันมาหาตน แน่นอนว่าเพียงดาบเดียวก็สามารถคร่าชีวิตเขาได้
“ปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา แล้วฆ่ามันซะ” น่าหลันไห่ะโสั่งเสียงดัง ขณะที่ตัวเองถอยไปด้านหลัง ตอนที่หลินเฟิงพุ่งมาตรงหน้าของพวกเขา ในใจของน่าหลันไห่เต็มไปด้วยหวาดกลัว โดยเฉพาะตอนที่สบสายตาอันเยือกเย็นของหลินเฟิง น่าหลันไห่ก็ยิ่งรู้สึกหนาวสั่นไปถึงจิติญญา
เมื่อได้ยินคำสั่งของน่าหลันไห่พวกเขาก็ได้สติกลับคืนมา และรีบปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบของตัวเองทันที ทันใดนั้นก็มีแสดงสว่างเรืองรองขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด
หนึ่งในนั้นจิติญญาเถาวัลย์ ซึ่งเป็จิติญญาประเภทพืช เขาใช้จิติญญาของตัวเองลอบโจมตีหลินเฟิงจากด้านหลัง จิติญญาประเภทนี้จะทำให้ร่างกายของเ้าของมีความยืดหยุ่นกว่าคนปกติหลายเท่า ในอนาคตหากผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ จิติญญาเถาวัลย์จะทำให้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ตัวอ่อน ราวกับไม่มีกระดูก และสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้
ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ลงมืออย่างเงียบเชียบ เขาปล่อยให้เถาวัลย์แพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ และค่อยๆ ขยับเข้าไปหาหลินเฟิงอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าเถาวัลย์ของตัวเองใกล้จะแตะตัวของหลินเฟิงนั้น บนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมโหดขึ้นมา
ขณะที่กำลังชะล่าใจอยู่นั้น ก็มีแสงสว่างสีเงินแทงทะลุดวงตาของเขา ประกายแสงแห่งชีวิตถูกดาบอันหนาวเย็นดูดกลืนในพริบตา
ดาบ ไม่เพียงแค่เร็ว แต่ยังแม่นยำและทรงพลังมากอีกด้วย ไม่มีใครสามารถหลบวิถีดาบนี้พ้นได้
หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบในมืออย่างต่อเนื่อง ประกายแสงดาบวาดผ่านอากาศในยามราตรี พร้อมกับหยดเืที่สาดกระเด็นไปทั่วบริเวณ และร่างอันเย็นชืดอีกหนึ่งร่างที่ล้มลงกองกับพื้น
ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ไม่คณนามือของหลินเฟิงเลยสักนิด คนแล้วคนเล่าล้วนตกตายภายใต้คมดาบของหลินเฟิง ความแม่นยำและเร็วในการออกดาบของหลินเฟิง ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบซ่อนได้เลย
“จัดการ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหวีดหวิวของค้อนดาวตกดังมาจากด้านหลังของหลินเฟิง และพุ่งตรงไปที่หัวของเขา ถ้าหากถูกการโจมตีนี้เข้า แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่ก็ต้องสูญเสียพลังในการต่อสู้
“อย่าคิดว่าจะรอด!!!”
ขณะที่หลินเฟิงเตรียมจะหันหลังไปรับมือนั้น ด้านหน้าของเขาก็ปรากฏหอกยาวแทงเข้ามา หลินเฟิงในตอนนี้ถูกโจมตีกระหนาบข้าง เป็การผสานการโจมตีที่ไร้ซึ่งช่องโหว่ หลินเฟิงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตาย”
หลินเฟิงพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะเขวี้ยงดาบในมือออกไป เมื่อดาบหลุดออกจากมือ ก็พุ่งตรงไปแทงหน้าอกของคนที่อยู่ด้านหน้า
คนคนนั้นยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ก่อนจะก้มมองดาบที่แทงทะลุหน้าอกของตัวเองตาค้าง เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะกล้าสละดาบใน่เวลาเป็ตายแบบนี้
พวกเขาต่างก็อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เหมือนกัน ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งกว่า แต่ทว่าพวกเขาก็มีคนเยอะกว่า ขอเพียงแค่ใครสักคนสามารถโจมตีหลินเฟิงได้ หลินเฟิงจะต้องได้รับาเ็สาหัสแน่ๆ หรือไม่ก็อาจจะคร่าชีวิตของหลินเฟิงไปเลยก็ได้ แต่ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ ทำไมหลินเฟิงถึงสละดาบของตัวเองล่ะ???
สายตาของคนที่ใกล้ตายได้จ้องมองไปที่หลินเฟิง ถึงแม้ว่าเขากำลังจะตาย แต่เขาก็อยากจะเห็นว่าหลินเฟิงถูกค้อนดาวตกสังหารอย่างไร
“วูบ!”
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังสนั่นขึ้นมา ลำแสงดาบที่ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้ได้ตัดหัวเ้าของค้อนดาวตก ที่ยังหวดค้อนมาไม่ถึงร่างจนกระเด็นไปในอากาศ โดยที่ในมือของหลินเฟิงได้ถือดาบอ่อนที่เปื้อนเืเอาไว้
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” คนคนนั้นปิดเปลือกตาลง แล้วปล่อยให้ร่างล้มลงไปกองกับพื้นตามแรงโน้มถ่วง
ส่วนหัวที่ลอยอยู่ในอากาศเมื่อสักครู่ก็ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น ทุกคนในกลุ่มชะงักการโจมตีไปกะทันหัน เพียงแค่ดาบเดียวก็คร่าชีวิตสหายของเขาไปแล้วอีกหนึ่งคน พวกเขาย้อนถามตัวเองว่าสามารถรับผลที่จะตามมาแบบนี้ได้หรือไม่
สำหรับเคล็ดวิชาชักดาบ เมื่อได้ชักดาบออกมาแล้ว ดาบจะต้องได้ดื่มเื วินาทีที่ชักดาบออกมาจะก่อให้เกิดอำนาจที่น่าเกรงขามขึ้น และไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 คนไหนสามารถต้านทานได้
พวกเขาอาจลืมตัวไปชั่วขณะ แต่หลินเฟิงไม่ได้ลืม คลื่นดาบอันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง กว่าพวกเขาจะรู้สึกตัว คลื่นดาบก็ได้พุ่งทะยานเข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว เืสาดกระเซ็นกลายเป็แอ่งเื ทุกการโจมตีไม่มีเสียเปล่า หนึ่งดาบต่อหนึ่งชีวิต
ในใจของหลินเฟิงตอนนี้ไม่หลงเหลือความเมตตาใดๆ นอกจากความสงบนิ่ง และเ็าเท่านั้น
เมื่อน่าหลันไห่เห็นยอดฝีมือของตัวเองพากันล้มลงไปทีละคนสองคนดุจใบไม้ร่วง ก็ตัวสั่นด้วยความกลัว คนเหล่านี้เป็ยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 กับ 9 ทั้งยังเป็ส่วนหนึ่งของขุมพลังที่แข็งแกร่งในสังกัดของท่านเ้าเมือง แต่ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็เพียงฟางข้าวที่ถูกหลินเฟิงใช้ดาบฟันอย่างง่ายดาย
นี่มันอะไรกัน ทำไมดาบของหลินเฟิงถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ ยิ่งสบสายตาที่สงบนิ่งของหลินเฟิง น่าหลันไห่ก็ยิ่งหวาดกลัว ตอนที่หลินเฟิงกำลังไล่ฆ่าอยู่นั้น เขาดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคนเลย
เสียงดาบรุนแรงจนกลบเสียงฝนจนมิด ในลานกว้างแห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นดาบ และไม่มีที่ว่างสำหรับอย่างอื่น อีกทั้งคลื่นดาบก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“หนี”
น่าหลันไห่ได้สติจากอาการใ ในหัวของเขาเหลือเพียงแค่คำคำเดียว นั่นก็คือหนี! หนีไปให้ไกลจากปีศาจตัวนี้!!!
เขาหันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“คิดจะหนีตอนนี้ไม่รู้สึกว่ามันช้าไปหน่อยเหรอ” เสียงหยอกล้อดังขึ้นมาท่ามกลางความมืด ตอนนี้เสียงฟันดาบได้หายไปแล้ว เหลือเพียงแค่เสียงฝีเท้าของหลินเฟิงที่ย่ำลงกับโคลน
น่าหลันไห่ตัวแข็งทื่อ เขามองไปที่หลินเฟิงก่อนจะพยายามเค้นรอยยิ้มบิดเบี้ยวออกมา
“หลินเฟิง เ้าก็รู้ว่าเื่นี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า คุณหนูต่างหากที่อยากจะฆ่าเ้า ข้าแค่ทำตามคำสั่งของนางเท่านั้นเอง”
“ข้ารู้” หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ทำให้น่าหลันไห่ดีใจขึ้นมา ราวกับว่าเขามองเห็นความแสงแห่งหวัง
“แต่ว่านะ ก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง ต่อให้ตายไปก็ไม่น่าเสียดายเท่าไรหรอก จริงไหม” ประโยคถัดมาของหลินเฟิงทำให้น่าหลันไห่ใจนตัวแข็งทื่อ สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนตายนั่นก็คือ ลำแสงดาบ
แม้จะเห็นน่าหลันไห่ล้มลงไปกองกับพื้น แต่หลินเฟิงก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม เขาหันหลังให้กับศพที่นอนกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้น แล้วค่อยๆ เดินจากไป
“น่าหลันเฟิง”
เสียงกระซิบดังขึ้นแ่เบา ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา
หลินเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเห็นสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง เขาก็นั่งลงที่พื้นแล้วทำการบ่มเพาะพลังต่อ หมอกสีขาวถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง หยวนชี่ฟ้าดินในร่างของหลินเฟิงได้รวมตัวกันกลายเป็แก่นแท้ขึ้นมา จิติญญาแห่งความมืดสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้หลินเฟิงรู้ว่าตัวเองใกล้จะทะลวงคอขวดแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟิงก็มุ่งมั่นโคจรลมปราณในร่าง
ว่ากันว่าจิติญญาแห่งนักรบเป็ส่วนหนึ่งของิญญาผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อไรที่ก้าวผ่านและจิติญญาได้ตื่นขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์จะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
หลินเฟิงที่นั่งสมาธิบนพื้นดินเริ่มขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เขารู้สึกแปลกๆ มันเป็ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเรียกหาเขาอยู่
วินาทีต่อมา ความเ็ปราวกับร่างกายจะฉีกขาดออกจากกันก็แล่นขึ้นมา ทำให้หลินเฟิงรู้ว่า่เวลาที่อันตรายที่สุด มาถึงแล้ว
มีเพียงแค่ผู้ที่เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นเท่านั้นที่จะสามารถปลุกจิติญญาให้ตื่นขึ้นมาได้ นี่เป็สัจธรรมที่ทุกคนต่างก็รู้ และไม่มีใครสงสัยในสัจธรรมนี้ คนที่ขาดความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะทำอย่างไร จิติญญาแห่งนักรบก็ไม่มีวันตื่นขึ้น
ความเ็ปค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะคาดการณ์ผิดไป ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ามีคนกำลังฉีกทึ้งจิติญญาของเขาอยู่ จิติญญาที่สมบูรณ์แบบ กำลังถูกฉีกออกทีละชิ้นๆ ความเ็ปเหมือนจิติญญากำลังจะถูกฉีกนี้ ทำให้หลินเฟิงต้องกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นจนเืไหลออกมา
“เจ็บ ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้” หลินเฟิงประเมินความเ็ปในการปลุกจิติญญาให้ตื่นขึ้นต่ำเกินไป เมื่อเทียบความเ็ปที่เขาเคยได้รับก่อนหน้านี้กับความเ็ปที่เผชิญอยู่ตอนนี้แล้ว ความเ็ปในตอนนี้ทรมานกว่ามาก เดิมทีความเ็ปทางจิติญญาก็เป็สิ่งที่หนักหนากว่าความเ็ปทางร่างกายอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีใครสามารถอธิบายได้
ฝนค่อยๆ หยุดตก ตามร่างกายของหลินเฟิงยังคงเปียกชุ่ม ซึ่งแยกไม่ออกเลยว่าเปียกเพราะน้ำฝนหรือเหงื่อกันแน่ เขารู้เพียงแต่ว่าจะต้องอดทนและก้าวผ่านความเ็ปนี้ไปให้ได้
“อ้าก...!!!” เสียงร้องแหบๆ ดังออกมาจากปากของหลินเฟิง ความเ็ปไม่จางหายลงไปเลย กลับกันยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลินเฟิงอยากจะตายๆ ไปเสีย เพื่อไม่ต้องรับรู้ความเ็ปนี้
“ไม่ได้!!! ถ้าหากไม่สามารถทนความเ็ปนี้ได้ จิติญญาก็จะไม่ตื่นขึ้น และทั้งชีวิตของข้าก็จะต้องถูกคนอื่นข่มเหงอยู่ร่ำไป เหมือนตอนที่ข้ากับท่านพ่อถูกขับไล่ออกจากตระกูล ถูกตามฆ่าโดยหลินเชียนและน่าหลันเฟิง ถ้าต้องใช้ชีวิตที่ต้อยต่ำเช่นนั้น ตายไปซะยังจะดีกว่า”
หลินเฟิงกัดฟันอย่างอดทน แม้แต่ความเ็ปเจียนตายนี่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาได้ แม้แต่์ก็ขวางเขาไม่ได้
ความเ็ปไม่สามารถทำลายความปรารถนาอันหนักแน่นของหลินเฟิงได้ และดูเหมือนว่าความเ็ปค่อยๆ จางหายไป หัวใจที่ปวดร้าวก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น พิธีการปลุกจิติญญาน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“อ้าก...!!!”
เสียงร้องโหยหวนพลันดังขึ้น จู่ๆ ร่างของหลินเฟิงก็สั่นเทาจนน่ากลัว ความเ็ปที่เหมือนจะหายไปก็กลับมารุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้หลินเฟิงหลับตาลงด้วยความทรมาน ไม่ช้าเืก็ไหลออกมา
“์ ...ข้า!” หลินเฟิงกล่าวออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก ทั่วทั้งร่างสั่นระริกก่อนจะล้มตัวลงนอนไปกับพื้น สติค่อยๆ เลือนรางและทุกอย่างพลันมืดมิด
