ตระกูลจิ่งมีร้านขายโอสถอยู่ในหมู่บ้านนี้หลายแห่ง ร้านที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในบริเวณที่คึกคักที่สุดในหมู่บ้าน พวกเขาใช้ชื่อง่ายๆ ว่าร้านยาตระกูลจิ่ง ตึกสามชั้นรูปแบบโบราณถูกสร้างอย่างประณีตงดงาม ปลายหลังคาทั้งสี่ด้านกระดกขึ้น มีกระดิ่งลมสีทองแขวนเอาไว้
ทุกคนเพิ่งมาหน้าประตูร้านโอสถ หลงจู๊ ผู้ดูแลร้านก็รีบออกมารอรับ
“นายน้อย คุณหนูจิ่งเซียง คุณชายจิ่งจื่อ คุณชายจิ่งเคอ……” หลงจู๊รูปร่างผอมบาง ดูแล้วน่าจะอยู่ใน่วัยกลางคน ยิ้มราวกับแสงสว่างอันอ่อนโยน ท่าทางซื่อสัตย์เชื่อถือได้ ขานนามคุณหนูคุณชายที่อยู่ตรงนั้นจนครบทุกคนอย่างนอบน้อม
เห็นอ๋าวหรานรู้สึกไม่คุ้นตา ถามจิ่งฝานอย่างสงสัยว่า “นายน้อย ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้คือผู้ใด? ”
จิ่งฝานมองอ๋าวหรานทีหนึ่งแล้วบอกว่า “ท่านนี้คือนายน้อยของหมู่บ้านสกุลอ๋าว นามอ๋าวหราน หรือคุณชายอ๋าว”
หลงจู๊ผู้นี้ไม่รู้ว่าแสดงละครเก่งหรือว่าใจริงๆ เสียงพูดยังสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ท่านนี้ก็คือคุณชายอ๋าวหรือ? ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
พูดจบก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “คุณชายอ๋าวอย่าได้ทุกข์ใจ ทำใจให้สบายเถิด”
อ๋าวหรานจึงต้องยกมือประสานแสดงท่าทางเคารพตอบรับว่า “ลำบากหลงจู๊เป็กังวลแล้ว”
เมื่อเข้าไปในร้าน จึงเห็นว่าภายในกว้างขวางมาก บนเสาและคานหลังคาล้วนมีลวดลายสีสันสดใสวาดเอาไว้ ดูงดงามเป็อย่างยิ่ง กำแพงทั้งสามด้านมีกล่องสีเหลี่ยมขนาดเล็กสำหรับใส่ยาวางเรียงไว้เป็ชั้นอย่างเป็ระเบียบ มีกลิ่นยาลอยอวลทั่วห้อง
จิ่งฝานมองดูอ๋าวหราน แล้วลูบศีรษะจิ่งเซียงพูดว่า “ชั้นบนเป็คลังโอสถและสถานที่สำหรับตรวจโรค เซียงเซียง พวกเ้าพาอ๋าวหรานขึ้นไปดู ข้าจะตรวจดูบัญชีกับหลงจู๊สักหน่อย อีกสักพักพวกเราค่อยไปกินข้าวกันที่เล่อฮวาทิง”
อ๋าวหรานกับจิ่งเซียงต่างพยักหน้าพร้อมกัน
จิ่งฝานเพิ่งจะพูดจบ จิ่งเคอก็พูดขึ้นว่า “ข้าพาฉีฉีไปเดินเล่นที่อื่น ไม่กินข้าวเที่ยงกับพวกเ้าแล้ว”
จิ่งเคอพูดจบ คนส่วนใหญ่ก็พูดขึ้นมาว่าจะแยกตัวออกไป ค่อยรวมตัวกันตอนค่ำ พรุ่งนี้ค่อยหาเวลาว่างมาตรวจโรค
ส่วนใหญ่แยกตัวออกไปคนเดียว เพราะกินข้าวรวมกันมากๆ รู้สึกทำตัวไม่ถูก มีเื่ให้ต้องระวังมาก กินคนเดียวหรือรวมกลุ่มกันคนสองคนที่ค่อนข้างสนิทกันจะดีกว่า อีกทั้งเทียบกับการมาตรวจโรคแล้วเด็กๆ ชอบออกไปเที่ยวเล่นเสียมากกว่า
จิ่งฝานพยักหน้า อนุญาตให้พวกเขาทำตัวตามสบาย
จิ่งฉีมองจิ่งฝานอย่างอาลัยอาวรณ์ “แล้วเจอกันนะคะพี่จิ่งฝาน”
คนส่วนใหญ่จากไป เหลือแค่จิ่งจื่อที่ยังรั้งอยู่ ร้านยาดูโล่งไปถนัดตา
ทั้งสามคนพูดพลางเดินขึ้นบันได “ที่ตรวจโรคชั้นล่างไว้สำหรับโรคทั่วไปที่พบเห็นได้บ่อย หรือไม่ก็สำหรับชาวบ้านทั่วไป”
ชั้นบนมีห้องอยู่หลายห้อง อ๋าวหรานยื่นศีรษะไปสำรวจ ห้องตรวจเกือบทุกห้องจะมีหมอนั่งประจำอยู่คนหนึ่ง เดินผ่านมานี้มีราวสิบกว่าห้องตรวจ
จิ่งเซียง “จิ่งจื่อ เหตุใดเ้าต้องมาตามติดกับพวกเราด้วย ไปเที่ยวเอาเองสิ”
จิ่งเซียงในขณะที่แนะนำร้านยาให้อ๋าวหรานฟังนั้น ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมเหน็บแนมจิ่งจื่อไปด้วย
จิ่งจื่อ “ฮึ เ้ายุ่งอะไรด้วย? ถ้าไม่ใช่เพราะจิ่งฝาน ข้าไม่มากับเ้าหรอก เด็กน้อย แค่เห็นก็อารมณ์เสีย”
จิ่งเซียงโกรธแล้ว “จิ่งฝานคือพี่ชายข้า ตามพี่ชายข้าก็เท่ากับตามข้า เชื่อไหมล่ะว่าข้าจะไม่ให้เ้าตามพี่ชายข้าแล้ว”
จิ่งจื่อส่งเสียงอ่อออกมาหนึ่งเสียง “เ้าเป็เด็กสามขวบหรือ? ยังชอบเล่นแย่งพี่ชายอยู่อีก?”
“โอ๊ย” จิ่งเซียงหยิกไปบนท่อนแขนเขา
จิ่งจื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เ้าเด็กบ้า มือหนักชะมัด”
จิ่งเซียงส่งเสียงฮึออกมาเสียงหนึ่ง แล้วไปหลบหลังอ๋าวหราน “อ๋าวหราน ปกป้องข้าที”
อ๋าวหรานกรอกตา “ข้าอายุปูนนี้แล้ว อย่ามาทารุณคนแก่อย่างข้าเลย”
จิ่งเซียงหยิกแก้มอ๋าวหราน “อายุปูนนี้ อายุเท่าไรล่ะ?”
อ๋าวหรานพูดอย่างเป็จริงเป็จัง “ใกล้จะเลยสามสิบแล้ว”
จิ่งเซียงหัวเราะดังลั่น “แล้วทำไมไม่มีเคราล่ะ? หน้าก็ยังขาวยังเยาว์ถึงเพียงนี้?”
จิ่งจื่อเห็นอ๋าวหรานประสบเคราะห์ รู้สึกมีความสุขบนความทุกของผู้อื่นอยู่เล็กน้อย “ขนยังขึ้นไม่ครบเลย”
อ๋าวหรานไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กโง่สองคนนี้