ตลอดทางที่เดินผ่าน ร้านรวงข้างทางล้วนแขวนธงโฆษณาเอาไว้ ธงเ่าั้ปลิวพลิ้วไสวไปตามแรงลม มองปราดเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ด้านข้างร้านค้ายังมีเพิงขายของเล็กๆ ตั้งอยู่มากมาย ส่วนมากขายของกระจุกระจิกเล็กๆ น้อยๆ ทำให้สาวน้อยหลายคนเดินดูเพลินจนไม่อยากกลับ ทุกคนไม่ได้รีบร้อน เดินไปเล่นไปเป็เพื่อนพวกนาง เพิงขายของโดยส่วนใหญ่เป็พวกของเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้นทุนต่ำ ราคาไม่แพง แต่สินค้านั้นมีมากมายหลายหลาย
อ๋าวหรานในฐานะที่เป็คนที่เพิ่งจะได้พบเห็นโลกใบนี้เป็ครั้งแรก จริงๆ แล้วก็ค่อนข้างสนอกสนใจอยู่ไม่น้อย แต่จะอย่างไรเสีย ก็ถือว่าเป็ชายหนุ่มที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้วจึงยังสำรวมกิริยาอยู่หลายส่วน
เดินไปเรื่อยๆ อ๋าวหรานก็เดินมาถึงหน้าเพิงขายของแห่งหนึ่ง ของที่ขายนั้นวางแสดงเอาไว้ล้วนดูสดสวยงดงาม
“คุณชายชอบปิ่นไม้นี่หรือ?” พ่อค้ามีน้ำเสียงตื่นเต้น
อ๋าวหรานสงสัย “ปิ่นไม้?”
อ๋าวหรานยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือปิ่นไม้ เพราะตามความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ไม้ไม่น่าจะโปร่งใสขนาดนี้ ในปิ่นไม้สีทองอ่อนนี้มีเส้นเล็กๆ บางเหมือนเส้นด้ายสีแดงราวกับสีของกำแพงวัง เส้นด้ายเส้นนี้เรืองแสงอยู่ อีกทั้งพื้นผิวยังเรียบราวกับหยก ััแล้วสบายมือเป็อย่างมาก
เ้าของเพิงขายของนั้นพยักหน้า เก็บความตื่นเต้นถามว่า “คุณชายเองก็มาจากที่อื่นเช่นกันหรือ? นี่คือกิ่งดอกจินมู่ที่มีชื่อเสียงมากของที่นี่”
อ๋าวหรานส่งเสียงอ้อออกมาเสียงหนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ โลกใบนี้ยังมีต้นไม้ที่อัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ในนิยายต้นฉบับแค่มีพูดถึงไว้ว่าดอกจินมู่เป็เหมือนกับดอกไม้ประจำชาติของพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเป็อาณาเขตของตระกูลจิ่ง ตัวดอกไม้นั้นงดงามมาก ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูกาลที่มันบาน ชาวบ้านบริเวณข้างเคียงจะจัดงานเฉลิมฉลองติดต่อกันสามสี่วัน ในหนังสือบรรยายบรรยากาศเช่นนี้ไว้นั้นก็เพื่อจะหาหญิงงามให้กับตัวเอก พวกดอกไม้อะไรพวกนี้ก็แค่เป็ส่วนเสริมประกอบฉากเพียงเท่านั้น
เ้าของเพิงขายของนั้นเห็นอ๋าวหรานถือปิ่นไม้อย่างล่องลอย จึงพูดว่า “คิดว่าคุณชายคงไม่เคยเห็นดอกจินมู่ ตามที่คนในหมู่บ้านบอก ภายในสองวันนี้ก็จะถึงฤดูกาลที่ดอกจินมู่จะบานแล้ว ในหมู่บ้านจะมีงานเฉลิมฉลอง คุณชายก็อยู่เที่ยวให้สนุกสิ”
อ๋าวหรานพยักหน้า หรือว่า่เวลาดอกท้อของตัวเอกคงใกล้จะมาถึงแล้วสินะ? มองปิ่นไม้นั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “ฝีมือของเถ้าแก่ไม่เลว”
เ้าของเพิงนั้นหน้าตาขาวสะอาด ดูเป็คนหนักแน่น แต่เมื่อได้ยินคำชมจากอ๋าวหรานก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาทันที เขายังทำท่าทางลูบหนวดเคราที่จริงๆ แล้วไม่มีอยู่อีกด้วย แย้มยิ้มเบิกบานพูดว่า “คุณชายท่านไม่รู้อะไร กิ่งดอกจินมู่นั้นแข็งเป็อย่างยิ่ง คนทั่วไปใช้มืดเหลายังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะแกะสลักออกมาเป็รูปดอกไม้ได้”
อ๋าวหรานลูบผิวไม้ในมือ เป็เช่นนั้นจริงๆ ความแข็งนี้นี่แหละที่เป็เหตุทำให้เขาคิดว่ามันเป็หยก
อ๋าวหรานกำลังฟังอย่างตั้งใจอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจิ่งเซียงเรียกเขา “อ๋าวหรานเ้าดูอะไรอยู่? ให้ข้าดูบ้าง”
อ๋าวหรานส่งปิ่นไม้ในมือไปให้ “กิ่งดอกจินมู่หรือ? เถ้าแก่ฝีมือไม่เลวนี่”
ได้รับคำชมพร้อมกันถึงสองครั้งทำให้เถ้าแก่ดีใจ รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า มองบรรดาคุณหนูคุณชายที่รุมล้อมเข้ามาพลางสั่นหัว “ผู้น้อยแซ่หยู คนในตระกูลของข้าน้อยล้วนเรียนวรยุทธ์พื้นฐานกันทั้งนั้น อย่ามองว่าข้าผอมบาง ที่จริงแล้วแรงเยอะ แล้วทั้งยังมีกำลังภายในอยู่เล็กน้อย ดูแล้วคุณหนูคุณชายทั้งหลายเองก็เป็ผู้มีวรยุทธ์เช่นกัน”
จิ่งเซียงกับพวกพี่สาวน้องสาวพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
เถ้าแก่เพิงขายของพูดต่อว่า “เพลงยุทธ์ในตระกูลของข้าน้อยธรรมดายิ่งนัก ยากที่จะอยู่ได้ในแผ่นดินใหญ่ที่ผู้แข็งแกร่งแ่าราวกับเมฆรวมตัวเช่นนี้ ตอนหลังก็ค่อยๆ ตกอับลง ต้นตระกูลเป็ผู้ใช้มีด หลังจากตกอับก็ไม่ได้ใช้มีดใหญ่สำหรับฆ่าคนแล้ว จึงคิดหาวิธีที่จะดำเนินชีวิตต่อไป สุดท้ายได้ใช้มีดแกะสลักเล็กๆ นี่แกะสลักของขาย และเพราะมีกำลังภายใน ของที่คนธรรมดาทั่วไปให้ตายยังไงก็ยังตัดไม่ได้แต่เราสามารถแกะสลักดอกไม้ออกมาได้ราวกับมีชีวิต ฝีมือแกะสลักนี้ถ่ายทอดมาถึงรุ่นข้าก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็อย่างมาก ฝีมือข้านี้ แม้แต่ท่านปู่ข้ายังบอกว่าข้าเป็อัจฉริยะ เขาถึงกับยอมรับว่าตนเองยังด้อยกว่า”
สองสามประโยคหลังเถ้าแก่น้อยแซ่หยูผู้นี้พูดอย่างได้ใจ
จิ่งจื่อถามอย่างสงสัย “เ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยพบเ้ามาก่อนล่ะ?”
เถ้าแก่น้อยแซ่หยูส่งเสียงเฮอะเบาๆ พูดอย่างยโสเล็กน้อยว่า “คนมีฝีมือเช่นพวกข้า จะหยุดนิ่งอยู่ในที่เดิมนานๆ ได้เช่นไร เช่นนั้นจะทำให้โลกทัศน์ของพวกข้าคับแคบ ขัดขวางความก้าวหน้าของตนเอง เช่นดอกจินมู่นี้ หากข้าอยู่บ้านตลอดเวลา ไม่ออกเดินทาง ก็คงจะไม่ได้พบมัน และไม่สามารถแกะสลักงานที่ราวกับทำจากขวานผีหัตถ์เทวะเช่นนี้ออกมาได้”
จิ่งฉีฟังแล้วก็อดพูดออกมาได้ “เ้านี่ช่างไม่ถ่อมตนเอาเสียเลย”
เถ้าแก่น้อย “ถ่อมตนไม่เพียงเป็การเหยียดหยามฝีมือของตนเอง ยิ่งกว่านั้นยังเป็การสงสัยในความสามารถของบรรพบุรุษหลายต่อหลายรุ่นของตระกูลหยูของข้า”
อ๋าวหรานยิ้ม เถ้าแก่น้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ
จิ่งเซียง “เ้านี่ช่างรู้จักพูดยิ่ง”
เถ้าแก่ได้ใจ พูดต่อว่า “บริเวณนี้ของพวกเ้าไม่เลว ดอกจินมู่นี้งดงามอย่างยิ่ง เมื่อได้มาเจอกับฝีมือของข้า ก็เรียกได้ว่าไม่โตเปล่าแล้ว
จิ่งจื่อส่งเฮอะออกมา
เถ้าแก่ถามอย่างสงสัยว่า “เป็อย่างไร คุณหนูคุณชายทุกท่านยังชอบอยู่หรือไม่? ถ้าชอบก็รีบซื้อเถิด ข้าน้อยอย่างมากจะอยู่ที่นี่ถึงแค่วันมะรืน เลยวันมะรืนไป หมู่บ้านนี้ก็จะไม่มีร้านเช่นนี้แล้ว”
คนตระกูลจิ่งนั้นไม่ขาดเงิน เมื่อชอบแน่นอนว่าต้องซื้อ จิ่งฝานถามว่า “ราคาเท่าไร?”
เถ้าแก่ยิ้ม “ทองคำห้าเหลี่ยง [1] ต่อหนึ่งอัน”
จิ่งเซียงพูดด้วยความโกรธ “ทำไมเ้าไม่ไปขโมยเสียเลยล่ะ?”
เถ้าแก่หยูส่ายหน้า “ของนี้มีตระกูลข้าเพียงตระกูลเดียวที่ทำขึ้นมาได้ ราคานี้ยุติธรรมไม่หลอกเด็กลวงผู้ใหญ่ หลอกลวงผู้ซื้อแน่นอน ถ้าข้าเอาไปขายที่อื่น ย่อมต้องได้ราคาดีกว่านี้เป็สิบเท่า”
จิ่งจื่อส่งเสียงเฮอะพูดว่า “ทองคำห้าเหลี่ยง พวกเราคนมากขนาดนี้หากซื้อทุกคน เ้าไม่กลัวว่าจะโดนเงินพวกนี้ทับตายหรือ?”
เถ้าแก่หยูพูดด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “เื่นั้นท่านไม่ต้องกังวล ด้านหลังข้ามีร้านแลกเงิน ท่านควักกระเป๋ามา ข้าก็เอาไปแลกเป็ตั๋วเงิน”
จิ่งจื่อ “……”
เถ้าแก่น้อยหน้าซื่อคนนี้หน้าตาก็ดูเป็คนจิตใจดีมีคุณธรรม แต่เมื่อยิ้มออกมากลับดูเ้าเล่ห์เป็อย่างยิ่ง
จิ่งเซียงยังอยากจะพูดต่อ แต่ถูกจิ่งฝานรั้งไว้ “ก็ไม่แพงเท่าไร ในเมื่อออกมาเที่ยว มีความสุขให้มากก็เพียงพอแล้ว ถ้าชอบก็หยิบไปเถิด”
จิ่งฉีพูดอย่างดีใจว่า “พี่จิ่งฝาน ท่านจะจ่ายให้หรือ?”
จิ่งฝานพยักหน้า
จิ่งฉีในแววตาทั้งคู่พราวระยับเหมือนดวงดาว “ขอบคุณค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าเอาอันนี้”
ที่นางถืออยู่ในมือคืออันที่ตอนแรกอ๋าวหรานเล็งไว้ งดงามจับตาเป็อย่างยิ่ง
เกี่ยวกับของพวกนี้ อ๋าวหรานที่เป็ผู้ชายไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาแล้ว นี่เขานำทุกคนมาติดกับเข้าให้แล้ว
ใครจะคิดว่าเ้าเด็กพวกนี้จะขี้เหนียวขนาดนี้ ตั้งใจพุ่งมาที่พวกเขาที่มีเงิน จิ่งฝานก็ใจใหญ่เสียจริง ไม่รู้จักต่อราคาเสียบ้าง
เด็กสาวสองสามคน แต่ละคนเลือกไปคนละอัน หนุ่มน้อยบางคนก็เลือกไปบ้างเหมือนกัน
จิ่งเซียงเห็นจิ่งฝานกับอ๋าวหรานล้วนเลือกไม่ทัน จึงอดถามไม่ได้ว่า “ไม่มีแล้วหรือ?”
เถ้าแก่หยูยิ้มจนตาปิดเข้าด้วยกันแล้ว “ไม่มีแล้วข้าก็ทำแค่ไม่กี่อันนี้ แต่ละอันล้วนไม่เหมือนกัน แต่ละอันมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น”
จิ่งเซียงมองจิ่งฝานกับอ๋าวหราน สีหน้าหมองเศร้า “ข้ามีแค่อันเดียว พวกเ้ามีสองคน จะให้ใครดี?”
อ๋าวหรานอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเราสองคนเป็ชาย หรือว่าจะให้ไปแย่งเครื่องประดับผมจากสาวน้อยเพียงคนเดียวอย่างเ้า”
จิ่งฝานเองก็ลูบหัวจิ่งเซียง “พี่ไม่เอา”
จิ่งเซียงร้องเฮ้อออกมาหนึ่งเสียง นางมองอ๋าวหรานแล้วพูดว่า “เดิมทีเป็เ้าที่ชอบ สุดท้ายกลับถูกพวกเราแย่งเอาไปหมด”
อ๋าวหรานยิ้มแล้วหยิกแก้มนาง “เ้าอย่าเศร้าไปเลย ถ้าจะทุกข์ก็ต้องเป็ข้าต่างหากที่ทุกข์ ข้าแค่ดูไปเรื่อยเปื่อย แค่นี้ก็ทำให้พี่ชายเ้าต้องเสียเงินไปมากมายแล้ว ตอนนี้ข้ายังคิดอยู่เลยว่าคืนนี้พี่เ้าจะถือโอกาสตอนข้าหลับ แอบเอาข้าไปขายเพื่อชดเชยกับเงินที่เขาเสียไปหรือไม่”
จิ่งเซียงส่งยิ้มร่าเริง “ท่านพี่ คืนนี้ถ้าจะปฏิบัติการละก็ ข้าจะช่วยท่านเอง”
จิ่งฝานก็แค่ยิ้มตอบกลับไป “เงินมีอยู่ก็รีบใช้ เผื่อวันใดแม้แต่โอกาสจะใช้ก็ยังไม่มี”
จิ่งเซียงพูดอย่างโมโห “พี่ท่านพูดเช่นนี้ ทำข้ากลัวนะ”
อ๋าวหรานหันศีรษะไปมองจิ่งฝาน เห็นแค่ปอยผมบดบังมุมปากที่โค้งน้อยๆ แลดูชั่วร้ายนั่น
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งเหลี่ยง เท่ากับ ห้าสิบกรัม